📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 642

บทที่ 642 - เหล่าวีรชน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา!
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

วังวนพาดกลางอากาศ หมุนวนช้า ๆ

ประหนึ่งเหวลึกไร้ที่สิ้นสุด กลืนกินอสนีบาตที่ฟาดเข้ามาเรื่อย ๆ ประกายแสงเจิดจ้าสาดส่อง สะท้อนกับท้องฟ้าเกิดเป็นแสงสีงดงาม

เคร้ง!

แม้แต่ดาบลายสนเบญจอัสนีของซงจั่งเฮ่ออย่างกับโดนมือใหญ่ที่มองไม่เห็นชักจูงฉุดกระชาก สั่นสะท้านดังหึ่งอยู่กลางอากาศ

ประหนึ่งเสียงครวญครางอาดูร

ฝูงชนที่หลบไปไกลแล้วตาโตอ้าปากค้างกันหมด หน้าตาเหลือเชื่อ ประหนึ่งได้เห็นภาพปฏิหาริย์ชวนทึ่ง

“หยุดยั้งไว้ได้… แบบนี้เลยหรือ!?”

กู้ซานตูตาค้าง

“นี่หาใช่การหยุดยั้ง แต่เป็นการถล่มฝ่ายเดียวต่างหาก!”

เฉาอิ๋งพึมพำ

ดาบนี้ของซงจั่งเฮ่อเพียงพอจะสร้างภัยต่อขอบเขตสยายวิญญาณแล้ว

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ อานุภาพของมันถูกยับยั้งอย่างสมบูรณ์ เป็นผลให้อานุภาพของดาบนี้ยังไม่ถูกปลดปล่อย ก็โดนพลังวังวนลึกล้ำเกินหยั่งนั้นกำราบเสียแล้ว!

ประหนึ่งได้พานพบคู่ปราบ!

ด้วยเหตุนี้ จึงดูเหมือนซูอี้สลายพลังดาบสุดสยองนี้โดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย

“นี่มันวิชาวิเศษวิโสจากที่ใดกัน?”

เมิ่งจิ้งไห่สะท้านใจ

เขาทึกทักเอาเองว่าหากเป็นตน ถ้าหมายจะหยุดยั้งดาบนี้ จำต้องทุ่มกำลังทั้งหมด

ทว่าซูอี้กลับทลายการโจมตีสุดสยองนี้ในคราเดียวอย่างง่ายดาย!

แล้วหันมองคนอื่น ๆ ในที่นี้ ไม่มีผู้ใดไม่ตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ละคนเสียท่าทีกันหมด

ซงจั่งเฮ่อในอึดใจนี้ ประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองมากไปกว่านี้ เขาคำรามเสียงยาว

“กลับมา!”

แขนเสื้อเขาพลิ้วสะบัด ผมเผ้าไหวพลิ้ว เขาใช้ทุกวิชาที่ตนมี

เคร้ง!

ดาบลายสนเบญจอัสนีเล่มนั้นเปล่งแสงเจิดจ้า สุดท้ายก็สลัดพันธนาการออก เหินกลับมาอยู่ในมือซงจั่งเฮ่อ

ทว่าเจ้าสำนักเบญจอัสนีผู้นี้กลับโซซัดโซเซ สีหน้าซีดเผือดลงอย่างมาก สภาพยับเยินนิดหน่อย สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนแคลงใจ

ห่างออกไปไม่ไกล ซูอี้ยกกาสุราที่มือซ้ายขึ้นดื่มหนึ่งอึก ส่ายหัวน้อย ๆ พลางกล่าว “วิถีเบญจอัสนีไม่ควรฝึกฝนเช่นนี้ ข้ามีกระบวนดาบหนึ่ง ประเดี๋ยวจะเปิดหูเปิดตาให้เจ้า”

ขณะที่พูด เขาทำนิ้วเป็นรูปดาบ เชิดขึ้นกลางอากาศ

ทำท่าคล้ายชักดาบออกจากฝัก รวดเร็วเด็ดขาด

ตูม!

พลังวังวนที่กลืนกินอานุภาพดาบของซงจั่งเฮ่อมีอาณาเขตสิบจั้ง ปะทุเสียงร้องน่ากลัวออกมาในนาทีนี้ ก่อนจะกลายเป็นปราณดาบเจิดจ้าไร้สิ่งใดทัดเทียมในพริบตา

ทะยานขึ้นฟ้า!

ปราณดาบยาวเพียงสามฉื่อ ส่องประกายหลายสี เจิดจ้าแวววาว โดยมีทองแก พฤกษ์เขียว น้ำยิ้ม ไฟเปี้ย และดินโบ่ว*[1] รวมเป็นแสงเบญจอัสนีเทวะ

ทุกลำแสงอัสนีเทวะวาดลวดลายเป็นบัญญัติลึกล้ำเจือจาง โดยแบ่งเป็นแสงเต๋าสีทอง สีเขียว สีดำ สีแดง สีเหลือง ทั้งหมดห้าสี

หากมองดูดี ๆ ภายในทุกบัญญัติต่างมีเงาเสมือนปรากฏ แม้จะเลือนรางอย่างมาก ทว่าลมปราณที่เปล่งออกมานั้นกลับแข็งแกร่งจนเพียงพอให้ทั้งเทวดาและผีสางต้องผวา

ตู้ม!

บนนภา สายลมและหมู่เมฆเข้ามารวมตัว

ดาบหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้า ปราณแห่งเบญจอัสนีก่อเกิด กลายเป็นบัญญัติเบญจอัสนี ช่วงชิงพลังแห่งฟ้าดิน!

เป็นวิชาลับที่สืบทอดกันในสายคุรุสวรรค์มหาวิถี…

ตราเบญจอัสนีขจัดมาร!

ชั่วพริบตานั้น ทุกคนปวดแสบที่ตา จิตใจสั่นสะท้าน ต่างตะลึงกับพลังที่แผ่ซ่านออกจากปราณดาบนี้

ห่างออกไปไม่ไกล ม่านตาของซงจั่งเฮ่อเบิกกว้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อเผชิญกับดาบนี้ วิถีเต๋าทั้งตัวของเขาถูกปรามลงอย่างรุนแรง จนขนตั้งชัน ความกลัวก่อตัวในใจอย่างระงับไม่อยู่

ภายใต้วิกฤตชีวิตเช่นนี้ ซงจั่งเฮ่อตะโกนลั่นราวกับเอาชีวิตทั้งหมดเข้าแลก

“ขึ้น! ขึ้น! ขึ้น!”

พลังอัสนีดุดันชั้นแล้วชั้นเล่าพวยพุ่งออกจากร่างผอมบางของเขา และหลอมรวมเข้าไปอยู่ในดาบลายสนทั้งหมด

แสงเทวะจากดาบเจิดจรัส อัสนีกราดเกรี้ยว ดาบหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ วาดออกเป็นม่านดาบอัสนีวงกลมชั้นแล้วชั้นเล่าดั่งเกลียวคลื่น

วิชาเบญจอัสนีคูนภา!

ม่านดาบเปรียบดั่งคูนภาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า บดบังขวางกั้นลมฝนทั่วแปดทิศ กีดกันศัตรูไว้นอกคู

ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ดูออก เจ้าสำนักแห่งสำนักเบญจอัสนีอย่างซงจั่งเฮ่อทุ่มกำลังทั้งหมดโดยไม่สนสิ่งใดแล้ว ไม่ต่างจากการเอาชีวิตเข้าสู้ พลังที่ใช้นั้นดุดันกว่าก่อนหน้านี้มาก

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง…

“ไป!”

ปลายนิ้วของซูอี้จิ้มออกไปที่อากาศ

ปราณดาบสามฉื่อล้อมรอบบัญญติเบญจอัสนี ฟาดฟันลงไปฉับพลัน

ตึง!

ม่านดาบที่มีอัสนีบาตผสมผสานระเบิดออกประหนึ่งเศษแก้วหลิวหลี

จากนั้น ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่… รวมเป็นม่านดาบทั้งหมดเก้าชั้น ล้วนล่มลงด้วยปราณดาบสามฉื่ออันดุดัน เสียงระเบิดดังสนั่นดังก้องอยู่ในปฐพีในอึดใจต่อมา

แสงฝนเจิดจ้าสาดกระเซ็นกระจายออกไป

วิชาเบญจอัสนี เปราะบางเสียไม่มี!

ซงจั่งเฮ่อตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาหลบหลีกไม่ทันแล้ว และทำได้เพียงชูดาบตอบโต้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี

เคร้ง!!!

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ทุกคนใจสะท้านกันหมด เสียงกระแทกนั้นดังจนเจ็บม่านหู เลือดลมพลุ่งพล่าน

ในสายตาฝูงชน ภายใต้แรงดันจากปราณดาบสามฉื่อ ดาบลายสนเบญจอัสนีสั่นเทือนครวญครางอย่างหนัก

ส่วนซงจั่งเฮ่อที่มือกุมดาบลายสนเบญจอัสนีแม้จะต้านดาบนี้ไว้เต็มที่ ทว่าเส้นเอ็นปูดโปนอยู่เต็มหน้าผากเขา สีหน้าซีดเผือดลงเรื่อย ๆ หยดเลือดไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด จนหน้าอกถูกย้อมเป็นสีแดง

ตู้ม!

พสุธาใต้เท้าซงจั่งเฮ่อถล่ม ร่างของเขาโอนเอนสั่นระริกประหนึ่งเจ้าเข้า สุดท้ายก็รับแรงของดาบนี้ไม่ไหว

สองเข่ากระแทกพื้น!

ดาบลายสนเบญจอัสนีในมือเขากระเด็นออกไป

ปราณดาบสามฉื่อไม่ลดพลัง ฟันลงไปที่ศีรษะของเขา

“ข้ายอมแพ้!”

ซงจั่งเฮ่อผู้คุกเข่ากับพื้นตะโกนลั่นด้วยความผวา

ปราณดาบสามฉื่อชะงักงันโดยห่างจากศีรษะสามชุ่น

หากฟันลงมา เขาต้องตายแน่นอน!

แม้จะเป็นเช่นนั้น พลังคมกล้าที่ปลดปล่อยออกจากปราณดาบสามฉื่อก็ยังทะลุผิวของซงจั่งเฮ่อเข้าไป

สายเลือดไหลออกจากหัวของซงจั่งเฮ่อ ลงมาตามหว่างคิ้วและสันจมูก

แดงฉานแยงตา

ทั้งหมดเงียบกริบ ได้ยินแม้เสียงเข็มตก

“แค่ดาบเดียวก็แพ้เลยหรือ!?”

คนใหญ่คนโตอย่างกู้ซานตูและเฉาอิ๋งชาไปทั้งหัว สูดหายใจเข้าลึก

แต่ละฉากเมื่อครู่เกิดขึ้นไวมาก ตั้งแต่ซูอี้ตวัดดาบฟาดฟัน ยันซงจั่งเฮ่อโดนกำราบจนคุกเข่ากับพื้น จวบจนซงจั่งเฮ่อตะโกนร้องขอความเมตตา ดูเหมือนเชื่องช้า แท้จริงแล้วเกิดขึ้นในชั่วพริบตาโuเวลกูดฺอทคoม

คนเหล่านี้ไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ผลแพ้ชนะก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว!

“แข็งแกร่งเหลือเกิน…”

เมิ่งจิ้งไห่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ความตะลึงตื่นกลัวโถมทับในใจ

หันมองคนอื่น ๆ ในที่นี้ ต่างนิ่งอึ้งด้วยความตื่นตกใจอยู่ที่เดิม

ใครเล่าจะดูไม่ออก หากไม่ใช่ว่าซูอี้รามือในนาทีสุดท้าย เจ้าสำนักเบญอัสนีอย่างซงจั่งเฮ่อต้องโดนฟันร่างแยกแน่นอน

“นี่เขาแข็งแกร่งจนเกินมนุษย์มนาไปหรือเปล่า…”

หน้าตาหลานซัวเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พลางพูดพึมพำ

“เกินมนุษย์มนาอย่างนั้นหรือ?”

หยวนเหิงอดหัวเราะไม่ได้

เขาเคยเห็นกับตาตัวเองว่าซูอี้กำราบนักดาบหญิงขอบเขตสยายวิญญาณ ชิงซวงด้วยวิธีการใด

เทียบกันแล้ว ความพ่ายแพ้ของซงจั่งเฮ่อยังกระจอกกว่าไม่น้อย ย่อมไม่เรียกว่าเกินมนุษย์มนา

ภายในสถานที่ต่อสู้…

ปราณดาบสามฉื่อสลายหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง

ซงจั่งเฮ่อรู้สึกเหมือนได้เฉียดเข้าใกล้ยมโลก เหงื่อซึมออกมาทั่วตัว ใบหน้าชรานั้นซีดเซียวไร้สีเลือด สติหลุดลอย

เขาโดนซูอี้ถล่มจนคุกเข่ากับพื้นภายในดาบเดียว!

สำหรับคนใหญ่คนโตเฉกเช่นเขา ช่างเป็นเรื่องที่สะใจยิ่ง

“ตอนนี้ เจ้าคิดว่าสำนักเบญจอัสนีของพวกเจ้าต้องให้ข้าผู้นี้ขอโทษหรือไม่?”

ซูอี้ถือกาสุราเข้าไปถาม

สีหน้าทุกคนซับซ้อนขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ คนใหญ่คนโตไม่น้อยต่างคิดว่าขอเพียงซูอี้ยอมถอยสักก้าว ขอโทษขอโพยสำนักเบญจอัสนี ความขัดแย้งหนนี้ย่อมคลี่คลายลง

กระทั่งพวกกู้ซานตูกับเฉาอิ๋งยังคิดใช้โอกาสนี้ ร่วมมือกับสำนักเบญจอัสนีปราบปรามซูอี้ให้หนัก

ทว่าบัดนี้ ใครเล่าจะกล้าคิดเช่นนี้อีก?

แม้แต่กู้ซานตูและเฉาอิ๋งยังพรั่นพรึงจนเหงื่อท่วม นึกโชคดีในใจที่ก่อนหน้านี้ไม่รีบร้อนออกตัวเป็นปรปักษ์กับซูอี้

มิฉะนั้น จุดจบของพวกเขาอาจไม่อนาถเท่าซงจั่งเฮ่อ แต่แน่นอนว่าคงไม่ดี!

ดูจากจุดจบของพวกยุยงอย่างส่านอวิ๋นฉีและฮูหยินฮัวถิงก็รู้แล้ว

สีหน้าซงจั่งเฮ่อวูบไหว

ครู่ใหญ่ เขาก้มหน้าเอ่ยอย่างขมขื่น “ก่อนหน้านี้ สำนักเบญจอัสนีของข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ล่วงเกินสหายเต๋าซู ข้าทราบแล้วว่ากระทำความผิดใหญ่หลวง ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าขอออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก”

ทุกคนตะลึงกันหมด!

ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าซงจั่งเฮ่อจะตัดสินใจเช่นนี้ เป็นราคาที่แพงเหลือเกิน

และหลังจากนั้น ภาพอันน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น

ซงจั่งเฮ่อพลันโค้งคำนับแนบพื้น โขกศีรษะพลางกล่าว “ข้าขอขอบคุณสหายเต๋าที่ปรานีไม่เอาชีวิต หากเป็นไปได้ หวังว่าสหายเต๋าจะไม่เป็นปฏิปักษ์กับสำนักเบญจอัสนีของเรา ข้าขอสาบานด้วยชีวิต นับจากนี้ไป ทุกคนในสำนักเบญจอัสนีไม่บังอาจมองสหายเต๋าเป็นศัตรูอีก!”

บรรยากาศเงียบงัน เสียงแน่วแน่ของซงจั่งเฮ่อดังสะท้อน

คนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งเข้าใจขึ้นมาราง ๆ สีหน้าหลากหลายอารมณ์ยิ่งขึ้น

ไม่ต้องสงสัย ซงจั่งเฮ่อตระหนักได้แล้วจริง ๆ ว่าหากล่วงเกินซูอี้เพราะเหตุนี้ เป็นไปได้สูงว่าสำนักเบญจอัสนีของพวกเขาจะซ้ำรอยตำหนักมารเทียนอวี้!

เพราะเหตุนี้ เขาจึงยอมคุกเข่าโขกศีรษะ ขอเพียงซูอี้ยอมปรานีเมตตา!

ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อเห็นซงจั่งเฮ่อทำเช่นนี้ จูคุนหยางและหยวนซั่วต่างรู้สึกโศกศัลย์อยู่ในใจ สีหน้าอาดูร

ก่อนมาร่วมงาน พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าการที่แค่ปราบปรามซูอี้หมายให้อีกฝ่ายขอโทษ จะกลายเป็นภัยได้ปานนี้!

กระนั้น เวลานี้ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็คงสายไป

“ข้าไม่เคยเชื่อคำสาบาน แต่เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ถึงขั้นล้างบางสำนักเบญจอัสนีของพวกเจ้าเพียงเพราะเรื่องวันนี้”

ซูอี้เอ่ยเรียบ ๆ

ซงจั่งเฮ่อโล่งอกได้เสียที เขาคำนับด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณสหายเต๋าซูที่ใจกว้างให้อภัย!”

“แม่นางหลานซัวดูสิ สิ่งนี้เรียกว่าเชือดไก่ให้ลิงดู หลังจากจบเรื่องนี้ ผู้ใดในที่นี้จะกล้ากำแหงอีก?”

หยวนเหิงส่งกระแสปราณเสียงเบา

หลานซัวผงะ หันมองซูอี้ผู้ยืนมือไพล่หลังอยู่กลางสนาม แล้วหันมองเจ้าสำนักเบญจอัสนีซงจั่งเฮ่อซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม หวนนึกถึงฉากการต่อสู้เมื่อครู่ รู้สึกเหมือนฝันไปอย่างนั้น

ซูอี้ไม่สนใจซงจั่งเฮ่ออีกต่อไป

เขากวาดสายตามองทุกคนในที่นี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “จุดประสงค์ที่สำนักอนธการสยบนภาจัดงานชุมนุมล่องเมฆาขึ้นในวันนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มเต๋าต่าง ๆ บาดหมางกันเอง ซึ่งนับเป็นเรื่องประเสริฐสำหรับปวงชนในใต้หล้าด้วยเช่นกัน”

ผู้ใดที่สายตาของซูอี้กวาดผ่าน ต่างก้มหัวด้วยสัญชาตญาณ ไม่กล้าสบตากับเขา

“ข้าไม่ขอเปลืองน้ำลายมากไปกว่านี้”

ซูอี้เอ่ยราบเรียบ “ขอถามเพียงประโยคเดียว มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่”

เสียงนั้นเปรียบเสมือนระฆังรุ่งอรุณ ดังก้องอยู่ท่ามกลางผาซงเทา

คนใหญ่คนโตทั้งหมดในที่นี้ต่างใจสะท้าน

ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าหากคัดค้าน จะพบจุดจบเช่นไร?

เหล่าวีรชนในที่นี้ต่างก้มหน้าก้มตา เนิ่นนานไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยวาจา

ชุดสีเขียวครามของชายหนุ่มพลิ้วไหว เขายกกาเหล้าขึ้นมากระดก

สายตาทอดมองออกไปไกล มองเห็นหมู่เมฆลอยละล่อง ตะวันตกอาบแสงสีทอง เสียงกิ่งก้านกระทบกันไพเราะดุจเสียงสวรรค์

วันนี้คือวันที่สิบเก้าเดือนหนึ่ง

ซูอี้ยืนตระหง่านอยู่บนผาซงเทา ณ ยอดหุบเขาวิญญาณล่องเมฆา ฝีมือดาบปราชัยเจ้าสำนักเบญจอัสนีซงจั่งเฮ่อ ผู้คนล้วนสะท้าน!

……………………….

[1] ทองแก พฤกษ์เขียว น้ำยิ้ม ไฟเปี้ย และดินโบ่ว คือเบญจธาตุที่เกี่ยวข้องกับการดูดวง เป็นวิธีการดูพื้นดวงตามศาสตร์ดูดวงของจีน

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset