📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 632

บทที่ 632 - สำรวจใจถามตนเอง คลายกังวล
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง

สวมอาภรณ์ยาวสีม่วงอ่อน ดูเย็นชาเยี่ยงหิมะ บรรยากาศโดดเดี่ยวเย็นชาโดยไม่ต้องแสร้งทำ

เหวินหลิงเจา

ครั้งหนึ่ง นางเคยเป็นภรรยาของซูอี้ หญิงงามผู้ทะนงตนแห่งชนรุ่นเยาว์ในเมืองกว่างหลิง และหนึ่งในศิษย์ผู้เจิดจรัสที่สุดในตำหนักเทียนหยวนผู้ได้รับความนิยมจากผู้มีฝีมือนับไม่ถ้วน

ทว่านับแต่ซูอี้สะบั้นความสัมพันธ์กับนางโดยไม่มีพิธีรีตอง นางก็แทบไม่ได้ปรากฏในสายตาของซูอี้อีกเลย

ซูอี้เองก็ไม่ได้ใส่ใจการกระทำของนางอีกต่อไป

นาน ๆ ครั้ง เขาจะได้ยินเหวินหลิงเสวี่ยกล่าวถึงความรู้สึกผิดของเหวินหลิงเจาต่อสิ่งที่ตัวนางเคยทำในคราก่อน

ในเรื่องความรู้สึกผิดนี้ ซูอี้เองก็รู้ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ

เหมือนเช่นเนื้อหาในจดหมายที่เขาเคยเขียนส่งให้เหวินหลิงเจา ‘หนึ่งแตกต่าง สองไม่อาจบรรจบ แต่ละชีวิตแยกย้ายตามเส้นทางของตนเอง’

ทว่าซูอี้ไม่คาดว่าเหวินหลิงเจาจะปรากฏตัวในงานเลี้ยงนี้ด้วย

ควรค่าจดจำว่าในอดีต ไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่ใด เหวินหลิงเจาจะจงใจเลี่ยงไม่เผยโฉม

“เหตุใดพี่ข้าจึงอยู่ที่นี่กัน…”

เหวินหลิงเสวี่ยเองก็แปลกใจมาก

ผู้อื่นในโถงต่างสังเกตเห็นว่าบรรยากาศผิดแปลก พวกเขาต่างหันมองเหวินหลิงเจา

หญิงสาวผู้เดียวดายเดินมาหยุดที่กลางโถง เผชิญหน้าซูอี้ผู้นั่งอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นจึงก้มหัวกล่าวว่า “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพ่อแม่ของข้า บุญคุณนี้ข้าจะตอบแทนยามสบโอกาสในภายหน้า”

นางรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อกล่าวออกมา

หลังกล่าวจบ มือหยกขาวทั้งสองก็กำชายแขนเสื้อไว้แน่น หัวยังไม่เงยขึ้น ร่างบอบบางแข็งทื่อ

รอบข้างตกสู่ความเงียบ

เมื่อเห็นเช่นนี้ เหวินหลิงเสวี่ยก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

ในใจของนาง ซูอี้นั้นดีมาก และพี่สาวของนางก็ดีเยี่ยมเช่นกัน ทว่าโชคดีที่ทั้งสองไม่อาจอยู่ด้วยกันได้

จวบจนยามนี้ ทั้งคู่กลายเป็นคนแปลกหน้า!

เหวินหลิงเสวี่ยรู้ว่าพี่สาวของนางก็แค่หัวดื้อและมีนิสัยไม่ยอมคน เหตุที่นางหนีจากบ้านยามต้องแต่งงานนั้นไม่ใช่เพราะนางดูแคลนซูอี้ แต่เป็นเพราะนางปฏิเสธการแต่งงานนี้ ไม่ต้องการให้ชะตาของนางถูกผู้อื่นควบคุมตามใจ

เหวินหลิงเสวี่ยเองก็รู้ว่าซูอี้ไม่เคยเกลียดเหวินหลิงเจา กระทั่งรู้แก่ใจว่าเหวินหลิงเจากระทำเช่นนั้นเพราะเหตุใด

แต่การเข้าใจไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับอยู่ดี

นิสัยของซูอี้เย่อหยิ่งภาคภูมิยิ่งนัก เขาจะไม่มีวันพยายามรักษาหรือฟื้นสายสัมพันธ์ระหว่างเขาและเหวินหลิงเจา

จนกระทั่งคู่รักในนามกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน!

“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก”

ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองเหวินหลิงเจาที่ก้มหัวอยู่ไกล ๆ ด้วยสีหน้าเฉยเมย “เจ้าเป็นพี่สาวของหลิงเสวี่ย ต่อให้ผู้ตกอยู่ในอันตรายคือเจ้า ข้าก็จะไม่ดูดาย”

เหวินหลิงเจาตกใจราวไม่อยากเชื่อ

แต่หลังจากใคร่ครวญความหมายคำพูดของซูอี้ นางก็พอเข้าใจ

สุดท้ายแล้ว ซูอี้ก็ช่วยพ่อแม่ของนางเพราะเห็นแก่หลิงเสวี่ย

และกระทั่งคำพูดที่บอกว่าต่อให้นางตกอยู่ในอันตราย เขาก็จะไม่นิ่งดูดาย นั่นก็เพราะหลิงเสวี่ยเช่นกัน…

“สิ่งที่เกิดขึ้นคราก่อนนั้นเหมือนเช่นเมฆาเคลื่อนคล้อยในใจข้า ข้าไม่เคยใส่ใจ”

ซูอี้กล่าวหลังจากลังเลอยู่นาน “หวังว่าเจ้าจะคิดเช่นนั้นเช่นกัน”

เหวินหลิงเจาเงียบอยู่นาน จากนั้นจึงพยักหน้า “ขอบคุณ”

จากนั้น นางก็หันหลังกลับ

ซูอี้มองอีกฝ่ายจากไป ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

ความบาดหมางและความขัดแย้งในคราแรกนั้นไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย แต่เป็นที่ชัดเจนว่าเหวินหลิงเจายังไม่ได้ปล่อยวางเรื่องนี้

เหตุที่เขาพูดมากขึ้นในคืนนี้ นั่นก็เพราะเขาไม่ต้องการให้เหวินหลิงเสวี่ยกังวลเรื่องนี้

ส่วนเหวินหลิงเจาจะเห็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือไม่ นั่นเป็นกงการของนาง

ซูอี้ไม่ต้องการให้ตนใจอ่อนเพราะเหวินหลิงเจาก้มหัวให้เขาก่อน และถือโอกาสผ่อนความสัมพันธ์ระหว่างกัน

นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาเลย

ต่อจากนั้น บรรยากาศงานเลี้ยงก็กลับสู่ความรื่นเริงอย่างรวดเร็ว

ทุกผู้ต่างดื่มฉลองให้ซูอี้ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเก่า ๆ บางผู้ทอดถอนใจ บางผู้หัวเราะ และบางผู้ไร้วาจา…

ทว่าทุกคนต่างพูดว่าพวกตนและซูอี้ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันเลย

ในหมู่พวกเขา ส่วนใหญ่ยังเป็นนักรบปุถุชนกันอยู่ และยังค้นหาวิถียุทธ์ของตนไม่พบ

ส่วนซูอี้ เขาเป็นเทพเซียนเดินดินในขอบเขตรวบรวมดาราไปเรียบร้อยแล้ว

แม้ว่ายามนี้พวกเขาจะยังสามารถกินดื่มฉลอง หัวเราะเฮฮาต่อกันได้ แต่การรวมตัวเช่นนี้ก็จะน้อยลงทุกที

ต่อให้พวกเขาจะอยากพบซูอี้ในภายหน้า ก็คงยากขึ้นทุกที…

พญาพยัคฆ์จะไม่อยู่ร่วมฝูงกับแกะ

ยิ่งระดับฝึกฝนสูง การค้นหาวิถีของพวกเขายิ่งแตกต่างจากทุกคนที่นี่โดยสิ้นเชิง

เรื่องทั้งหมดนี้ถูกกำหนดไว้แสนนาน และในช่วงเวลาถัด ๆ มา ระยะห่างระหว่างพวกเขาและซูอี้ก็จะห่างไกลกันขึ้นเรื่อย ๆ

ซูอี้ไม่ได้คิดมากนัก

สหายเก่าอยู่ดี แม้จะงก ๆ เงิ่น ๆ ไปบ้าง แต่ก็เพียงพอให้สุขใจ

หลังจบงานเลี้ยง

เมื่อเห็นว่าฉาจิ่นยังคงหยอกล้อทารกมารในอ้อมแขน ซูอี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ส่งนางให้สหายเต๋าหนิง”

ฉาจิ่นอึ้งไป “แต่ข้าคิดว่า…”

ก่อนที่นางจะทันพูดจบ นางก็ดูจะตระหนักสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ใบหน้างดงามของนางแดงก่ำขึ้นทันควัน ส่งเสียงแหลมสูงราวยุงบิน

หนิงซือฮวาแย้มยิ้มพิลึก ฉวยโอกาสคว้าตัวทารกมารไป จากนั้นก็กระซิบข้างหูฉาจิ่น “อย่าลืมบอกสหายเต๋าซูให้เปิดค่ายกลเก็บเสียงนะ”

ฉาจิ่น “…”

จู่ ๆ ใบหูขาวกระจ่างของนางก็แดงก่ำทั้งหู

การพบพานหลังแยกจากนั้นหอมหวานยิ่งกว่ายามแรกแต่งงาน หยาดฝนกลับมาพบพานหลังแล้งแสนนานโนเวลกูดอทคoม

คืนนี้ย่อมเปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างไม่อาจพรรณนา

เช้าถัดมา

เมื่อซูอี้ลุกจากเตียง ฉาจิ่นยังคงหลับใหล เส้นผมสีปีกกาบนใบหน้าของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าเรียวเช่นไข่ห่านปรากฏร่องรอยความเหนื่อยล้า

เมื่อคืนวานนางล้าเหลือเกิน ไม่รู้ว่าต้องกระสับกระส่ายไปมามากเพียงไร การผันผ่านของเวลาถูกหลงลืม กายใจจมสู่เกลียวคลื่นแห่งความปีติถาโถมรุนแรง

จิตเหม่อลอย ใจละล่อง ไม่รับรู้สิ่งอื่นใด

ซูอี้กระปรี้กระเปร่านัก หลังลุกขึ้นมาอาบน้ำ เขาก็ฝึกฝนวิถีเต๋าเช่นกาลก่อน

เขาในยามนี้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นปลาย ห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบไปเพียงไม่ไกล คงไม่นานก่อนที่เขาจะเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบ

“ต่อมา หลังจากง่วนกับเรื่องผิวเผินเหล่านี้ ข้าจะเก็บตัวอีกสักพักเพื่อฝึกปรือ สำรวจตนเอง เตรียมทะลวงสู่วิถีวิญญาณ”

ซูอี้ตัดสินใจตามความคิดเดิม

การที่เขากลับมายังต้าโจวในยามนี้ไม่ใช่แค่เพื่อกลับมาเยือนสถานพำนักเก่า สะสางมหาวิธี

แต่เป็นการเตรียมพร้อมทะลวงสู่วิถีวิญญาณด้วย!

ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคือขอบเขตหลักแรกของวิถีวิญญาณ

ยามเมื่อเปิดวิถีใหม่ที่สูงกว่า เข้าสู่ขอบเขตนี้ วิญญาณ ร่างกาย การฝึกฝน กระทั่งชีวิตของผู้ฝึกตนจะเปลี่ยนแปลงมหันต์ราวผีเสื้อฟักจากดักแด้

ทว่าก่อนจะเยื้องย่างสู่ขอบเขตดังกล่าว เขาก็ต้องผ่านมหาหายนะเสียก่อน!

ซูอี้คาดไว้แล้วว่าหายนะที่เขาจะได้เผชิญจะแตกต่างจากผู้ฝึกตนคนใด ๆ บนโลกนี้แน่นอน

กระทั่งหากอิงตามประสบการณ์ในอดีตชาติของเขา เป็นไปไม่ได้เลยหากจะคาดหยั่งว่าหายนะนี้จะน่ากลัวเพียงไร!

เหตุผลนั้นง่ายมาก รากฐานแห่งมหาวิถีที่เขาสร้างขึ้นในวิถีต้นกำเนิดนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดประวัติศาสตร์แห่งเก้ามหาแดนดิน!

กล่าวได้ว่าไม่เคยมีอยู่ และทั้งหมดนี้หมายความว่าหายนะที่เขากำลังจะเผชิญก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน!

เพราะเหตุนี้ นับแต่จากต้าเซี่ยมา ระหว่างทางสู่ต้าโจว ซูอี้จึงคิดว่าจะรับมือกับหายนะนี้เช่นไรมาตลอด

สุดท้าย เขาก็ได้คำตอบว่าเขาควรเริ่มจากหัวใจตนก่อน!

ดังนั้นเขาจึงจะออกเยี่ยมสถานที่อันคุ้นเคย เดินบนถนนเดิมที่ตนทำยามเวียนวัฏสงสาร เรียบเรียงประสบการณ์ในอดีต และสะสางมหาวิถี

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยต้นแครฝรั่งให้กลายเป็นภูตในเรือนเล็กเหมยอำพัน หรือการช่วยเหลือเมืองกว่างหลิงให้พ้นภัยสัตว์ปีศาจ หรือการกวาดล้างผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ ปกป้องโลกาจากภัยพิบัติก็ตาม อันที่จริง สำหรับซูอี้ พวกมันล้วนแต่เป็นผลกรรมแห่งโลกา

“การฝึกฝนและตั้งคำถามไม่ได้ไร้เมตตา มีความลับแห่งชะตามากมายหลายแขนง จวบยามนี้ หากหันหลังมองเส้นทางที่เดินในกาลก่อน สำรวจใจถามตนเอง ความกังวลและความอับอายก็ไม่ควรมีอยู่”

ซูอี้ลอบกล่าว

ใจกายของเขาว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ บรรยากาศของเขาเฉยชาขึ้นทุกขณะ

และยังเป็นจากวันนี้เองที่ซูอี้เริ่มเก็บตัวฝึกฝนในซากปรักหักพังในหอเซียนดาบ เมินทุกเรื่องราวจากโลกภายนอก

ในช่วงเวลาว่าง เขาจะออกมาชี้แนะหนิงซือฮวา เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่นและคนอื่น ๆ ในการฝึกฝนและผ่อนคลาย

วันถัดมา

หยวนเหิง ไป๋เวิ่นฉิงและเก๋อเฉียนมาถึงยังซากของหอเซียนดาบ

ก่อนหน้านี้ ทั้งสามถูกซูอี้ส่งไปยังขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาและหุบเขามารบุปผาโลหิต เพื่อสังหารเหล่าผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้

จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินทางไปพบซูอี้ที่หุบเขามารบุปผาโลหิต เขาจึงได้เรียนรู้จากปากของราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิงว่าซูอี้ล่วงหน้าไปยังทะเลวิญญาณโกลาหลแล้ว และออกเดินทางทันที

การมาถึงของพวกหยวนเหิงเองก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮา

โดยเฉพาะหยวนเหิง การเปลี่ยนแปลงของเขายิ่งใหญ่เสียจนหนิงซือฮวา เถาชิงซานและคนอื่น ๆ ต่างตะลึง

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หยวนเหิงเปลี่ยนจากผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญสู่ขอบเขตรวบรวมดารา ใครเล่าจะไม่ทึ่งกับเรื่องนี้?

นี่ยังทำให้ผู้คนตระหนักลึกซึ้งด้วยว่า การที่ได้ฝึกตนกับซูอี้นั้นไม่ต่างจากเกาะชายเสื้อเขาสู่ความรุ่งเรือง

และในวันเดียวกัน ซูอี้ก็ขอให้หยวนเหิงอารักขาเหวินฉางไท่และฮูหยินของเขากลับต้าโจว

ยังมีผู้ฝึกตนบางผู้ซึ่งจากไปด้วยกัน เช่นมู่ซี เชินจิ่วซง และคนอื่น ๆ

ยามนี้ ผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้ในต้าโจวถูกซูอี้กวาดล้าง และพวกเขาไม่เต็มใจจะซ่อนในหอเซียนดาบต่อ จึงวางแผนออกไปท่องโลกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์

ซูอี้ไร้ข้อคิดเห็นต่อเรื่องนี้

เขาสามารถปกป้องคนเหล่านี้ได้ครู่หนึ่ง แต่ไม่ใช่ชั่วชีวิต เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังต้องเดินตามวิถีของตนในภายหน้า

เหวินหลิงเจาเองก็จากไปพร้อมเหวินฉางไท่และฮูหยินของเขาเช่นกัน โดยหมายจะกลับไปตั้งรกรากที่เมืองกว่างหลิง

ซูอี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก

ทว่า เนื่องจากเหวินหลิงเสวี่ย เขาจึงยังส่งยันต์ลับให้เหวินหลิงเจาหนึ่งชิ้น

กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปอีกสามวัน

ในขณะที่ซูอี้กำลังหล่อหลอมอุปกรณ์ประกอบค่ายกลนั้นเอง จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็เดินอาด ๆ มายังหน้าห้องโถงและคุกเข่าลง

เขาคืออิงเชวีย

“ทายาทแห่งมังกรเกล็ดดำอิงเชวีย ขอกล่าวขอบคุณคุณชายซูที่ช่วยชีวิต!”

เขาเปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณและเลื่อมใสจากก้นบึ้งแห่งหัวใจ

อิงเชวียคิดว่าตนตายแล้วแน่แท้ ทว่ายามลืมตาตื่น เขาเกือบคิดเสียแล้วว่าตนอยู่ในปรภพ

จนกระทั่งเมื่อเขาได้รับรู้เรื่องราวจากหนิงซือฮวา อิงเชวียจึงรู้ว่าซูอี้ได้ดึงเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยอำนาจอัศจรรย์สุดเหลือเชื่อ!

ซูอี้เหลือบมองอิงเชวีย พลางกล่าวสบาย ๆ “ลุกขึ้น ข้ามีเรื่องหนึ่งให้เจ้าทำพอดี”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset