📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 512

บทที่ 512 - เตรียมการเป็นอย่างดี
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เจียงหลีรู้สึกรังเกียจและเกลียดชังเถาอวิ๋นฉือเข้ากระดูกดำ

ครั้งเมื่อตอนอยู่ที่เมืองผี มันเป็นเพราะการยั่วยุจากเถาอวิ๋นฉือที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับซูอี้

และวันนี้ในโรงหลอมอาวุธ เถาอวิ๋นฉือผู้นี้ก็ยังเป็นต้นเหตุชักจูงศิษย์พี่ของนางอวี่เหวินซู่ขัดแย้งกับซูอี้อีกครา

จนถึงตอนนี้ ชายน่ารังเกียจผู้นี้ก็ยังคงวางแผนที่จะจัดการกับชิวเหิงคง!

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนสำนักเดียวกัน ป่านนี้เจียงหลีคงตวัดดาบบั่นคออีกฝ่ายให้ตายไปให้พ้นหูพ้นตาแล้ว

ในเวลาเดียวกัน อวี่เหวินซู่เริ่มไม่พอใจเช่นกันและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ศิษย์น้องเถา! เจ้าอ้างชื่อสำนักเพื่อหาเรื่องศิษย์น้องชิวอยู่บ่อย ๆ เช่นนี้ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าวันใดวันหนึ่งหากศิษย์น้องชิวทนความไร้สาระของเจ้าไม่ไหว เขาอาจขอร้องให้สหายซูอี้ของเขามาจัดการกับเจ้า?”

หลังจากตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ เถาอวิ๋นฉือก็สั่นเทาและพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ศิษย์พี่อวี่เหวินข้าเพียงแค่…”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้ข้าฟังทั้งนั้น! จงจำไว้ในครั้งต่อไปหากยังประพฤติตนไม่เหมาะสมเช่นนี้อีก ข้าจะเป็นคนแรกที่ลงโทษเจ้า!”

อวี่เหวินซู่กล่าวอย่างเย็นชา

ในฐานะนักดาบ เขาเกลียดผู้ที่มีนิสัยเช่นเถาอวิ๋นฉือมากที่สุด นิสัยดั่งจิ้งจอกตัวร้ายปลิ้นปล้อนหลอกลวงและไม่อาจเชื่อถือได้

เถาอวิ๋นฉือรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับปลาตาย

เขาตระหนักว่าขณะนี้ได้ทำให้ทั้งเจียงหลีและอวี่เหวินซู่ขุ่นเคืองแล้ว ซึ่งเขาเดาได้เลยว่านับจากนี้ การใช้ชีวิตอยู่ในสำนักดาบเทียนชูของเขาในอนาคตย่อมไม่ราบรื่นอย่างแน่นอน…

ทว่าขณะที่อวี่เหวินซู่ เจียงหลี และกลุ่มของพวกเขากำลังจะจากไป ร่างของชายผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในม่านฝนระยะไกล

ชายผู้นี้สวมชุดคล้ายนักปราชญ์ ผิวพรรณขาวผ่องใบหน้าไร้หนวดเครา จากรูปลักษณ์ ชายผู้นี้น่าจะมีอายุราวสามหรือไม่เกินสี่สิบปี ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งลึกล้ำอย่างที่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณควรจะเป็น

แม้เดินผ่านฝนอันกระหน่ำหนัก ทว่าร่างกายและเสื้อผ้าของเขากลับแห้งและสะอาดราวกับไม่มีเม็ดฝนสักเม็ดที่เล็ดลอดถึงกายเขาเลย

“ท่านพ่อ? ท่าน… ทำไมท่านถึงมาที่นี่?”

เจียงหลีตกตะลึง ดวงตาอันสวยงามของนางเบิกกว้าง

ชายผู้มาใหม่ผู้นี้คือเจียงเซียวเชิง ผู้นำตระกูลเจียงซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่สุดของต้าเซี่ย!

อวี่เหวินซู่ และคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงความเคารพชายผู้มาใหม่

ด้วยฐานะผู้นำของตระกูลเจียง เจียงเซียวเชิงมีศักดิ์อันยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับเจ้าสำนักดาบเทียนชู!

หากโจวเฟิงจื่อหรือผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสำนักดาบเทียนชูอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว พวกเขาเองก็จำเป็นต้องเคารพเจียงเซียวเชิงอยู่สามส่วนเช่นกัน!

“หากข้าไม่มา คืนนี้ทุกอย่างคงไม่จบลงด้วยดี”

เจียงเซียวเชิงถอนหายใจ สีหน้าของเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย

เจียงหลีประหลาดใจและถามกลับ “ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร?”

เจียงเซียวเชิง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คืนนี้ถือว่าโชคดีสำหรับพวกเจ้าที่ไม่ได้ทำให้คุณชายซูขุ่นเคือง ไม่เช่นนั้นต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดถูกคุณชายซูกุดหัวจนสิ้น พรุ่งนี้เขาก็จะยังสามารถเดินเตร่ไปไหนต่อไหนได้ตามปกติโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากตระกูลหรือว่าสำนักใดเลยแม้แต่ปลายเล็บ!”

เมื่อได้ยินเจียงเซียวเชิงพูดประโยคนี้ เจียงหลี อวี่เหวินซู่ และคนอื่น ๆ ต่างตัวสั่น สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนไป

สิ่งนี้หมายความว่า?

ซูอี้ไม่เพียงแต่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ยังมีภูมิหลังที่เหนือจินตนาการอีกด้วย!

ไม่เช่นนั้นผู้ที่มีสถานะสูงส่งเช่นเจียงเซียวเชิงคงไม่พูดคำเหล่านี้จริงหรือไม่?

“ท่านพ่อ…”

เจียงหลีกำลังจะอ้าปากถามอะไรบางอย่าง แต่เจียงเซียวเชิงกลับขัดจังหวะด้วยการโบกมือและเอ่ยออก “อย่าแพร่งพรายสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้แม้แต่ครึ่งคำ!”

เสียงนั้นเด็ดขาดและทรงพลัง

ใบหน้าอันงดงามของเจียงหลีแปรเปลี่ยนไป นางรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

อวี่เหวินซู่และคนอื่น ๆ ต่างพากันเงียบกริบ

เจียงเซียวเชิงกล่าวขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะโง่แค่ไหน พวกเขาก็พอตระหนักได้ว่าซูอี้ไม่เพียงมีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาอยู่อย่างสิ้นหวัง แม้กระทั่งสถานะของตัวตนเช่นซูอี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำให้ขุ่นเคืองได้!

คิดได้ดังนั้น…

เถาอวิ๋นฉือ กู่เถิงอิง และผู้อื่นต่างก็รู้สึกหวาดกลัวถึงแก่นแท้

มีเพียงชิวเหิงคงที่เต็มไปด้วยความสับสน

สหายเต๋าซู เขา… มีภูมิหลังอื่นที่เป็นความลับอีกเช่นนั้นหรือ?

ไม่อย่างนั้นเหตุใดคนอย่างผู้นำตระกูลเจียงจึงเอ่ยถึงซูอี้อย่างเป็นปริศนาเช่นนี้?

“ท่านพ่อ แต่การตายของผู้อาวุโสโจวคงไม่สามารถปิดบัง…”

เจียงหลีกล่าวด้วยเสียงต่ำ

สีหน้าของเจียงเซียวเชิงซับซ้อนขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เดี๋ยวจะมีผู้อื่นมาสะสางปัญหานี้เอง!”

ฝนในฤดูใบไม้ร่วงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระหน่ำลงมาประหนึ่งน้ำตก

“วันที่สิบห้าเดือนเก้า หลังจากซูอี้เข้ามาในเมือง ในคืนเดียวกันนั้นในหอโคมเขียวฮ่วนซีชา เขาได้ฆ่าซือคงเป้าแห่งสำนักอสูรเทียนเยียน และเฒ่าปีศาจฮว่าถู”

“ในคืนวันที่สิบหกเดือนเก้า เหนือทะเลสาบชูอวิ๋น ผู้อาวุโสใหญ่ฮั่วเทียนตูแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาก็ได้ถูกซูอี้สังหาร”

“และคืนนี้ที่แอ่งเกล็ดทอง โจวเฟิงจื่อผู้อาวุโสคนใหม่ของสำนักดาบเทียนชูยังถูกซูอี้สังหารโดยใช้เพียงสามดาบ”

“ในเวลาเพียงสามวัน ตัวตนขั้นวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเหล่านี้ล้วนตกตายด้วยน้ำมือของซูอี้เพียงผู้เดียว ไม่ต้องพูดถึงระดับการฝึกตนที่ห่างชั้น เอาแค่เพียงมองว่ามีตัวตนใดบ้างที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณได้ถึงสี่คนเช่นนี้ยังหาได้มีไม่ในรอบสามร้อยปีที่ผ่านมา!”

บนยอดเขาของภูเขาเทียนหมาง ในเรือนแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมผู้หนึ่งกำลังนั่งอ่านรายงานในมือพร้อมแย้มยิ้มอย่างมีนัยยะ

เวิงจิ่วแสดงสีหน้าแปลกประหลาดและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน “การฆ่าหาใช่เรื่องใหญ่ แต่ทุกครั้งที่เราต้องตามเช็ดล้างให้เขา มันช่างดูน่าอายเกินไป”

ชายวัยกลางคนถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “แต่ถ้าหากทบทวนคิดให้ดี เราไม่สามารถตำหนิซูอี้สำหรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้”

เวิงจิ่วพยักหน้าและพูดว่า “หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น และคนผู้นั้นตกเป็นเป้าของกลุ่มกำลังยิ่งใหญ่ทั้งหลายเช่นสำนักอสูรเทียนเยียน วังเทพสวรรค์เมฆา และสำนักดาบเทียนชู ผู้น้อยเกรงว่าคนผู้นั้นคงจะตายไปหลายสิบครั้งแล้วระหว่างสองสามวันที่ผ่านมา อีกทั้งการตายนั้นจะเงียบเชียบราวกับไม่มีสิ่งใดเคยเกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ซูอี้หาใช่คนธรรมดา ถ้าจะโทษ… ก็โทษได้เฉพาะกลุ่มกำลังใหญ่เหล่านั้นที่คิดอ่านพลาด คิดว่าตนเองกำลังรับมือกับผู้ฝึกตนเล็กจ้อยจากอาณาจักรที่ห่างไกล ซึ่งท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าพวกเขากลับเตะแผ่นเหล็กหนาเข้าให้เสียเอง”

ชายวัยกลางคนโบกมือและกล่าวว่า “ช่วงนี้อาจมีปัญหาวุ่นวายมากเสียหน่อย และเราคงต้องลำบากลำบนตามล้างตามเช็ดให้ซูอี้ต่อไปอีกสักพักหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับการตามเช็ดล้างเพียงเท่านี้กับการซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน อย่างหลังย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”

เวิงจิ่วหรี่ตาและพยักหน้าโuเวลกูดoทคอม

“ทว่า เจียงเซียวเชิงไม่พอใจกับการจัดการของเราหรือไม่?”

ชายวัยกลางคนถาม

เวิงจิ่วส่ายหัวและกล่าวว่า “ผู้นำเจียงเป็นคนที่มีสติปัญญาและไหวพริบเฉียบแหลม เนื่องจากฝ่าบาทได้ทรงรับสั่งว่าต้องการปกป้องซูอี้ ผู้นำเจียงจึงย่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แอ่งเกล็ดทองในคืนนี้ ตระกูลเจียงไม่ได้สูญเสียแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้นำเจียงจะมีความขุ่นเคืองใดได้”

ชายวัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “เจ้าจงเขียนจดหมายไปถึงเจ้าสำนักดาบเทียนชู กล่าวกับเขาว่าตราบใดที่ไม่เคลื่อนไหว ข้าสามารถชดเชยให้สำนักดาบเทียนชูด้วย ‘ศิลาแก่นแท้ปราณขั้นวิถีวิญญาณ’ แต่หากพวกเขาปฏิเสธไม่เชื่อฟัง จงเอ่ยย้ำให้ชัดเจนว่าข้าจะจัดการกับผู้ที่กระด้างกระเดื่องไม่รับฟังคำสั่งของข้าจนถึงที่สุด”

ประโยคนี้เอ่ยออกอย่างราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยความดูถูกอย่างเปี่ยมล้น

เวิงจิ่วตกใจและพูดว่า “ฝ่าบาท! ศิลาแก่นแท้ปราณขั้นวิถีวิญญาณมีค่าสูงล้ำ มันเพียงพอให้สำนักดาบเทียนชูฝึกฝนผู้ใดก็ได้อีกหนึ่งคนก้าวไปสู่ขั้นวิถีวิญญาณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ! ตอนนี้เพื่อช่วยซูอี้ปัดกวาด… มันคุ้มค่าแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ชายวัยกลางคนหัวเราะ “มันก็แค่เพียงศิลาแก่นแท้ปราณขั้นวิถีวิญญาณ จะเทียบกับการซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้อย่างไร อีกทั้งมันยิ่งกว่าคุ้มค่าหากเราสามารถใช้มันแลกเปลี่ยนในการผูกสัมพันธ์กับซูอี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น!”

พูดจบประโยค ชายวัยกลางคนก็หันมองไปที่เวิงจิ่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “เฒ่าจิ่ว เจ้ารับใช้ข้ามานานมากแล้ว เจ้าเคยเห็นคนเช่นซูอี้ที่ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยตรรกะสามัญอย่างนี้มาก่อนอย่างนั้นหรือ?”

เวิงจิ่วส่ายหัว

“ผู้น้อยไม่เคยเห็นมาก่อน และก็ไม่เคยได้ยินแม้แต่น้อย”

ดวงตาของชายวัยกลางคนหรี่ลงและเสียงของเขาลุ่มลึกขึ้น “คนหนุ่มผู้ที่อยู่เพียงแค่ขอบเขตเปิดทวาร ไม่เพียงแต่มีพลังการต่อสู้ที่ท้าทายฟ้าดิน ซึ่งสามารถสังหารฆ่าผู้ฝึกตนขั้นวิถีวิญญาณได้ อีกทั้งยังมีวิธีซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน และวันนี้เมื่อตอนอยู่ในโรงหลอมอาวุธ ด้วยทักษะการหลอมสร้างดาบอันน่าอัศจรรย์ แม้แต่อวี๋ซูเหยาและพวกตาเฒ่าที่แสนจะหยิ่งผยองต่างก็พากันก้มหัวด้วยความชื่นชม ความสำเร็จทั้งหมดนี้… ต่อให้นับย้อนไปสามหมื่นปียังไม่รู้ว่าจะเจอหรือไม่”

จากนั้นชายวัยกลางคนก็มองขึ้นไปดูท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไกลโพ้นและกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหากปรากฏการณ์แสงสว่างแห่งโลกกว้างนั้นมาถึง ตัวตนเช่นซูอี้จะยิ่งเจิดจรัส ผู้ใดในหมู่พวกเราสามารถเทียบเคียงพรสวรรค์ของเขาได้? เฉิงผูผู้นั้นเคยกล่าวเอาไว้ โลกอนาคตจะเป็นเวทีให้สำหรับคนรุ่นเยาว์แข่งขันกัน ส่วนตัวตนเฒ่าชราที่ตอนนี้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกนั้นถูกกำหนดให้ถูกก้าวข้ามอย่างไม่ต้องสงสัย!”

เวิงจิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อยและพอเข้าใจได้บ้างแล้วว่าเหตุใดชายวัยกลางคนจึงประเมินซูอี้ไว้สูงนัก

ยามดึก

สวนน้อยนภาเมฆ

ภายนอกฝนตก ลมกระหน่ำพัด

ในห้องหลัก แสงสว่างจากเทียนไหววูบวาบสร้างบรรยากาศให้อบอุ่น

“เสร็จแล้ว”

ซูอี้เอามือออกจากหน้าท้องที่เรียบเนียนไร้ที่ติของเยว่ซือฉานก่อนจะถอนหายใจยาว

จากนั้นชิงหว่านจึงช่วยนำผ้านวมมาห่มร่างเยว่ซือฉานอย่างเรียบร้อย

เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันแดงระเรื่อของเยว่ซือฉาน ซึ่งมันยิ่งทำให้นางดูงดงามยิ่งกว่าเดิม ชิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและเอ่ยชม “พี่สาว เจ้าสวยมากยามที่เจ้าอาย”

เยว่ซือฉานเอียงอาย ขนตานางสั่นเล็กน้อยและพูดว่า “ถ… ถ้าเป็นท่านบ้างจะไม่อายหรือ…”

ชิงหว่านเบิกตากว้างไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าความคิดนางโลดแล่นไปถึงที่ใด แต่ทว่าหน้าเล็ก ๆ ของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับแอปเปิ้ลสุกลูกใหญ่ กระทั่งใบหูของนางก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดง มือทั้งสองข้างจิกกระโปรงอย่างไม่รู้ตัว นางไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายอย่างไร

การกระทำที่เอียงอายยิ่งกว่าของอีกฝ่ายทำให้เยว่ซือฉานตกตะลึงจนพูดไม่ออก สาวสวยคนนี้ที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้… เขินอายได้ขนาดนี้เลยหรือ?

ซูอี้นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเกียจคร้าน มองดูเยว่ซือฉานและชิงหว่านภายใต้แสงเงาของตะเกียง เขารู้สึกว่าแม้คืนนี้จะเป็นคืนฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บ แต่ทว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้ามันช่างสวยงามราวกับเต็มไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม

เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่มีทีท่าที่จะออกไป เยว่ซือฉานก็อดทนต่อความเขินอายของนางและสวมใส่เสื้อผ้าของนางภายใต้การห่มคลุมของผ้านวมจนเรียบร้อยก่อนที่จะลุกออกจากเตียงโดยตั้งใจจะจากไป

ซูอี้หยิบแผ่นหยกออกมาแล้วยื่นให้ “สิ่งที่สลักอยู่ในแผ่นหยกนี้คือ ‘คัมภีร์ดาบดาราพินาศ’ มันเหมาะกับเจ้าซึ่งมี ‘กายวิญญาณหยั่งเห็นลึกล้ำ’ ที่สุดและเมื่อใช้เคล็ดวิชานี้ร่วมกับดาบที่ข้าสร้างให้เจ้า ต่อให้เจ้าต้องต่อสู้กับตัวตนเช่นอวี่เหวินซู่ในงานชุมนุมมวลพฤกษาที่กำลังจะถึง มันก็เพียงพอที่เจ้าจะไม่พ่ายแพ้ต่อเขา”

เยว่ซือฉานตกตะลึง

ตอนนี้เองที่นางตระหนักว่าซูอี้ได้วางแผนทุกอย่างล่วงหน้าไว้ราวกับคิดเกี่ยวกับนางมานานแล้ว เริ่มตั้งแต่การหลอมดาบในวันนี้จนถึงการมอบเคล็ดวิชาให้นาง และช่วยให้นางได้มีอวี่เหวินซู่เป็นหินลับคมดาบของนาง!

หัวใจของหญิงสาวเต้นระรัว และดวงตาที่เย็นชาของนางเริ่มอ่อนลงและฉายแววอันไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่อเห็นว่านางกำลังจะกล่าวขอบคุณ ซูอี้จึงยกมือขึ้นหยุดและเอ่ยว่า “อย่าขอบคุณข้า ข้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อให้เจ้ารู้สึกซาบซึ้งหรือต้องเอ่ยคำขอบคุณ ข้าเพียงแค่อยากเห็นเจ้าผู้ที่ได้รับคำชี้แนะจากข้าสามารถเจิดจรัสได้เหนือผู้อื่นและยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในโลกหล้านี้”

เยว่ซือฉานตะลึงงันก่อนจะกัดริมฝีปากสีชมพูของนางเบา ๆ และพยักหน้า “เข้าใจแล้ว!”

ขณะนี้ใบหน้าเล็ก ๆ อันงดงามของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความสงบ

เช้าวันรุ่งขึ้น

ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณ

นอกนครหลวงจิ๋วติ่งมีเรือเหาะขนาดใหญ่ที่มีความยาวกว่าหนึ่งร้อยฉื่อปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงอันแพรวพราวจากระยะไกล

ที่ดาดฟ้าหัวเรือ

ชายหนุ่มรูปงามที่มีผมสีม่วงและมงกุฎทองคำและสวมชุดสีหยกยกมือขึ้นชี้ไปยังทิศทางของเมืองจิ๋วติ่งและตะโกนว่า

“มุ่งตรงไปที่ภูเขาเทียนหมาง ข้าจะไปพบกับจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยโดยตรง!”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset