📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 330

บทที่ 330 - ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง เกิดสีโปร่งใส
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“เมื่อบรรลุปรมาจารย์ขั้นห้าแล้ว ดาบเก้าคุมขังจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีกหรือไม่?”

ในตอนที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ซูอี้มิอาจทนความอยากรู้ได้

เมื่อบรรลุถึงปรมาจารย์ขั้นห้า ก็สามารถหลอมเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณออกมาได้ ทำให้อวัยวะทั้งห้าที่เหมือนกับเตาหลอมห้าธาตุ หมุนเวียนรวมกันเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทำให้การฝึกฝน จิตวิญญาณ และร่างกายแปรสภาพจากด้านในสู่ด้านนอกพร้อมกัน!

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูอี้จึงตัดสินใจลองทำดู

เขาเก็บดาบโบราณสีเงินในมือไว้ พลางลุกขึ้นจากโต๊ะหนังสือ เดินมาบนเตียง และนั่งทำสมาธิ

ครืน

เมื่อลมปราณขับเคลื่อนไปทั่วร่าง ภายในร่างซูอี้ราวกับแม่น้ำแยงซี เกิดเสียงที่เหมือนกับควบม้า พลังธาตุแท้ที่โหมซัดไหลผ่านไปทั่วร่าง ชะล้างเส้นลมปราณทั่วร่าง หลังจากอวัยวะภายในเกิดการหลอมแต่ละครั้ง มันจะกลับไปเลี้ยงทั่วร่าง และก่อเป็นวัฏจักร…

ผิวของเขาสว่างไสว บนร่างค่อย ๆ สะท้อนธาตุไม้ ทอง ไฟ และน้ำ สี่แสงแห่งจิตวิญญาณที่งดงามออกมา ทั่วร่างอาบไปด้วยลมปราณศักดิ์สิทธิ์

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เป็นเวลาสามวันเต็มที่ซูอี้นั่งทำสมาธิ โดยไม่ได้ออกไปไหน ประหนึ่งรูปปั้นดิน มีเพียงบางครั้งที่กินโอสถพยัคฆ์มังกรเก้าชีพจรเท่านั้น

และในค่ำคืนวันที่สามนั้นเอง

ตูม! ตูม!

ภายในห้อง ในร่างซูอี้เกิดเสียงราวกับพายุโหมพัดรุนแรง และเหมือนกับมีภูเขาขนาดใหญ่หลายลูกปะทะกันอยู่ภายใน

ทั้งที่เป็นเพียงเสียงขับเคลื่อนลมปราณ แต่กลับทำให้ผู้คนหวาดกลัวยิ่ง

ปราณและจิตวิญญาณของเขา คล้ายกับเขื่อนที่แตก ชั่วพริบตาหนึ่งทั้งหมดพลันพรั่งพรูออกมาจากเตาหลอมม้าม

พุ่งตรงไปตลอดทาง ราวกับบุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่*[1]

ตูม!

พริบตานั้น ซูอี้ที่นั่งทำสมาธิอยู่พลันสั่นไหว คล้ายกับมีม่านกั้นที่มองไม่เห็นถูกทะลวงเปิดออก พลังทั่วร่างราวกับพายุคลื่นที่ทลายภูเขาลงมา และระเบิดแตก

เลือดลมปราณเขาเดือดพล่าน การขับเคลื่อนลมปราณดั่งการเผาไหม้ พลังการบำเพ็ญมหาศาลทำให้เตาหลอมอวัยวะทั้งห้าหมุนโคจรขึ้นมา เกิดการผสานพลังร่างกายกับจิตวิญญาณ ลมปราณทั้งในและนอกล้วนเกิดเป็นวัฏจักรสมบูรณ์แบบในยามนี้

ฟึบ!

พลันร่างเขามีลำแสงสีเหลืองหนากว้างพุ่งขึ้นไปบนฟ้า แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็พุ่งสูงถึงแปดร้อยจั้ง

แสงเบญจธาตุ ธาตุดิน!

ในตอนนี้เอง การบำเพ็ญที่ซูอี้ทุ่มเทแรงกาย โดยใช้วิธีเหมือนโรมรุกบุกตะลุย ได้ทะลวงม่านกั้นสุดท้ายอย่างสบาย และก้าวเข้าไปสู่ปรมาจารย์ขั้นห้า!

ครืน!

ลมปราณทั่วร่างเขา สูงราวกับน้ำขึ้น และพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ

แสงเบญจธาตุสีครามธาตุไม้ สีขาวธาตุทอง สีดำธาตุน้ำ สีแดงธาตุไฟพลันลอยสูงขึ้นพร้อมกัน พุ่งสูงไปถึงแปดร้อยจั้ง และตอบรับกับแสงเบญจธาตุสีเหลืองธาตุดิน

จนท้ายที่สุด แสงเบญจธาตุห้าชนิดก็พุ่งสูงขึ้นพร้อมกัน จากความสูงแปดร้อยจั้งไปถึงหนึ่งพันจั้ง!

เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณนั้น คล้ายกับห้าธาตุรวมกันเป็นหนึ่ง ก่อตัวเป็นวงกลมราวกับวงแหวนเดียวกัน!

“แสงเบญจธาตุที่สูงหนึ่งพันจั้ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในเก้ามหาแดนดินนี้ไม่เคยมีผู้ใดทำได้เลย…”

ซูอี้รู้สึกภูมิใจในตัวเองทันที

ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาสอนศิษย์คนเล็กชิงถังฝึกฝนการบำเพ็ญ ด้วยพรสวรรค์ที่มากพอจะสร้างความน่าทึ่งให้กับโลกอย่างชิงถัง สุดท้ายก็หลอม ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ออกมาสูงเพียงแค่หนึ่งร้อยจั้งเท่านั้นในขณะมีการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตหลอมกำเนิด

และเขาในโลกนี้ ก็สร้างความสำเร็จที่ไม่เคยเกิดที่ใดมาก่อนในขณะมีระดับการฝึกฝนนี้ ซึ่งคือเรื่องมหัศจรรย์ที่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!

ยามนี้ ในหัวซูอี้ได้ยินเสียงคำรามของดาบดังออกมาอย่างเลือนราง

ตัวดาบที่ถูกพันด้วยตราผนึกโซ่ตรวนศักดิ์สิทธิ์เก้าชั้นสั่นขึ้นมาเล็กน้อย พลางแผ่พลังที่ลึกลับแปลกประหลาดออกมา และรวมเข้าไปภายในร่างของซูอี้

การเปลี่ยนแปลงที่ล้ำลึกและมหัศจรรย์นี้ถูกซูอี้รับรู้ได้ในทุกรายละเอียด

ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ทันที รากฐานของเขาได้แปรสภาพมาถึงระดับปรมาจารย์ขั้นห้าแล้ว และเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งขึ้น

แสงเบญจธาตุห้าชนิดผสานเข้าด้วยกัน รวมตัวกันเป็นหนึ่ง แปรสภาพเป็นสีโปร่งใสมีชีวิตชีวา

โปร่งใสดั่งหยก ขมุกขมัวดั่งความยุ่งเหยิง

และเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์!

“ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง มีสีโปร่งใส รูปร่างราวกับยุ่งเหยิง ไร้แก่นสาร ลมปราณสลัว! นี่… หรือจะเป็นขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตนี้?”

ซูอี้ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าเหลือเชื่อและมหัศจรรย์นี้

เดิมที แสงเบญจธาตุที่หลอมออกมาด้วยธาตุวิถีของเขา ในเก้ามหาแดนดินนี้ เรียกได้ว่าไม่ซ้ำใครในโลก และโดดเด่นมาก

แต่ด้วยพลังแปลกประหลาดที่เกิดจากดาบเก้าคุมขัง ทำให้ ‘แสงเบญจธาตุ’ หลอมรวมกันได้อย่างแท้จริง!

การเปลี่ยนแปลงนี้ ด้วยประสบการณ์ในชาติก่อนของซูอี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!

จากนั้นซูอี้ก็สัมผัสได้ถึงพลังธาตุแท้ภายในร่างตัวเอง ได้แปรสภาพเป็นสีโปร่งใสมีชีวิตชีวา!

คล้ายกับขมุกขมัวไร้แก่นสาร แต่จริง ๆ แล้วพลังเกาะรวมกันอย่างขีดสุด ทั้งหนักทั้งหนา มีพลังมหาศาล ลมปราณราวกับความยุ่งเหยิง!

ไม่แปลกใจที่การแปรสภาพนั้นจะน่าทึ่งยิ่ง

เป็นเวลานาน การแปรสภาพทั้งหมดถึงได้หยุดลงอย่างเงียบ ๆ

เสียงการขับเคลื่อนลมปราณบนร่างซูอี้ พลันเงียบสงัดลง

เขาลืมตาขึ้นมาจากการนั่งทำสมาธิ ดวงตานิ่งเรียบลึกซึ้ง ลมปราณทั่วร่างแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายที่มีชีวิตชีวาและเลือนราง

“เป็นดั่งที่คาดไว้ เมื่อธาตุวิถีทั่วร่างบรรลุไปถึงขีดสุด ก็สามารถดึงพลังเก้าดาบคุมขังออกมาได้ด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รากฐานที่สร้างในตอนบรรลุได้รับการยกระดับไปด้วย!

แววตาของซูอี้เปล่งประกายดั่งดารา มุมปากวาดขึ้นเล็กน้อย เกิดความรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

นี่คือความรู้สึกถึงความสำเร็จที่อธิบายไม่ได้ ซึ่งทำให้ผู้คนมีความสุข และสุดจะพรรณนาได้โนเวลกูดอทคoม

เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ ความสุขต่าง ๆ ในโลกก็ดูจืดชืดและน่าเบื่อทันที

พรึบ!

จิตสัมผัสของซูอี้แผ่ขยาย เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ก็ปกคลุมไปทั่วทั้งลานซงเฟิงเปี๋ย

พลังใบและกิ่งของต้นสนทุกต้นในลานบ้าน ฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ แสงจันทร์และแสงดาวปกคลุมในความมืดมิด รวมทั้งเสียงร้องของแมลงที่อยู่มุมกำแพง ร่องรอยเล็กน้อยของกระแสอากาศที่เคลื่อนไหวไปมา…

ราวกับทุกอย่างอยู่ต่อหน้า!

ในห้องอีกด้านหนึ่ง ฟางหยวนกำลังหลับสบาย การเปลี่ยนแปลงของลมปราณบนร่างเขา และกระแสอากาศที่เกิดจากการหายใจ ทั้งหมดอยู่ในสายตาของซูอี้

ด้วยจิตสัมผัสที่แผ่ขยายออกไป แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ก็แผ่ขยายในขอบเขตหนึ่งร้อยจั้ง การเคลื่อนไหวทั้งหมดในลานซงเฟิงเปี๋ยล้วนรับรู้ได้อย่างชัดเจน

จนกระทั่งจิตสัมผัสแผ่ขยายไปถึงสองร้อยจั้ง ซูอี้ถึงได้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย

ซูอี้จึงเก็บจิตสัมผัส และสะบัดมือออกมา

ฟึบ!

ปราณดาบสีใสแผ่ออกมา สะท้อนแสงสว่างไปทั่วห้อง

ปราณดาบวูบวาบ เลือนรางมีชีวิตชีวา มีจังหวะวิถีลึกลับที่ไหลเวียน บางครั้งก็มีเงาแสงของแสงเบญจธาตุเปล่งประกายออกมา ช่างลึกลับยิ่ง

เมื่อจ้องมองปราณดาบนี้ชั่วครู่หนึ่ง ซูอี้จึงเอ่ยขึ้น “เมื่อเทียบกับปรมาจารย์ขั้นสี่ พลังปราณดาบที่ข้าควบคุมในยามนี้แข็งแกร่งกว่าหลายเท่า และพลังก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ซึ่งมิอาจนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย”

“ด้วยพลังปราณดาบนี้ ไม่ต้องใช้ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ก็สามารถสังหารเทพเซียนเดินดินขอบเขตไร้เบญจธัญขั้นสมบรูณ์แบบอย่างโหยวเทียนหงได้!”

นี่คือปรามาจารย์ขั้นห้า หลังจากผ่านการสั่งสมประสบการณ์ต่าง ๆ ในปรมาจารย์ขั้นสี่ สุดท้ายก็บรรลุการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระดับนี้

ไม่เพียงแต่เป็นการบำเพ็ญ แม้แต่จิตวิญญาณ ร่างกายและรากฐานต่างก็ได้รับการแปรสภาพทั้งหมด!

ในสถานการณ์นี้ กำลังรบทั่วร่างของซูอี้ มิอาจเทียบกับก่อนหน้าได้

ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่ ซูอี้ก็นำดาบโบราณสีเงินออกมา

ดาบเล่มนี้ คือดาบล้ำค่าโบราณที่โหยวเทียนหงเหลือเอาไว้ คาดว่าน่าจะได้มาจากซากโบราณในส่วนลึกทะเลวิญญาณโกลาหล ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ วิธีการหลอม หรือพลัง ต่างก็อยู่ในระดับสูงสุดของศาสตราวิญญาณวิถีต้นกำเนิด

แต่จิตวิญญาณชือหลง*[2] ที่ถูกผนึกไว้ภายในดาบนี้ ได้ถูกนกกระจอกเพลิงยมโลกกลืนกินไปแล้ว จึงทำให้ความสามารถของดาบนี้ลดลงไปอย่างมาก

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ดาบนี้ก็ยังคงเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยาก และเพียงพอจะเป็นที่หมายตาของเทพเซียนเดินดิน

และในตอนนี้ ซูอี้ก็กำลังกวัดแกว่งปราณดาบสีใสออกมาเก้าครั้งด้วยกัน

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

ดาบโบราณสีเงินหักไปทีละน้อย และส่งเสียงไพเราะขึ้นมา

ภายใต้ปราณดาบสีใสของซูอี้ ของโบราณชิ้นนี้เป็นเหมือนกับอาวุธมีดธรรมดา ที่ถูกตัดจนหักออกมาง่าย ๆ!

ซูอี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเผยความรู้สึกพึงพอใจออกมา

เขานำดาบนิลกาฬกลืนฟ้าออกมา และทำการ ‘ให้อาหาร’ ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าโดยใช้เศษวัตถุวิญญาณที่ได้มาจากดาบโบราณสีเงิน เพื่อเพิ่มพลังให้แก่ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า

หากไม่รีบเพิ่มระดับของดาบเล่มนี้ เกรงว่าคงจะไม่คู่ควรกับพลังใหม่ที่เขามีในตอนนี้…

“ด้วยพลังในร่างตอนนี้ เทียบเท่ากับร่างทองคำของผู้ฝึกบำเพ็ญวิถีพุทธระดับวิถีต้นกำเนิด และสามารถฝึกร่างกายด้วยเคล็ด ‘ดาบแห่งดวงดาว’ ได้แล้ว!”

“และตอนนี้ ข้าได้หลอมเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง มากพอที่จะสังหารศัตรู เปิดใช้ ‘เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ’ ได้”

“พลังจิตวิญญาณก็สามารถฝึกบำเพ็ญ ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ ได้…”

ซูอี้ครุ่นคิด

ระดับการบำเพ็ญปรมาจารย์ขั้นห้า ทำให้มีโอกาสได้แสดงวิชาที่มิอาจแสดงได้ในอดีต

และเมื่อผ่านการคัดเลือกจากซูอี้ สุดท้ายก็เลือก ‘ดาบแห่งดวงดาว’ ‘เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ’ ‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ เป็นเป้าหมายในการฝึกบำเพ็ญขั้นต่อไป

อย่าง ‘เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ’ คือเคล็ดวิชาดาบยอดเยี่ยมที่ซูอี้สร้างขึ้นในชาติก่อน และมีชื่ออยู่ใน ‘สามสิบสามอันดับยอดวิชาดาบแห่งเก้ามหาแดนดิน’

นี่คือวิชาวิถีดาบค่ายกลสังหาร มีพร้อมทั้งรุกและรับ เหมาะสมต่อการใช้ร่วมกันกับเพลงดาบสุดปรีดี

‘เคล็ดวิชาหนึ่งลมปราณผนึกจิต’ เป็นวิชาฝึกจิตวิญญาณ มุ่งเป้าไปที่พลังจิตสัมผัสโดยเฉพาะ มีพลังแข็งแกร่งกว่าเพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณ รุนแรงจนมิอาจมีสิ่งใดเทียบ

ส่วน ‘ดาบแห่งดวงดาว’ เป็นส่วนหนึ่งของวิชามารฝึกร่าง แค่แสดงออกมา ราวกับดวงดาวที่อยู่บนฟ้า ซึ่งมีพลังทำลายล้างอย่างมาก

นี่คือการบำเพ็ญปรมาจารย์ขั้นห้าของซูอี้ในตอนนี้ สามารถควบคุมและแสดงทั้งสามวิชาได้ และความลับในนั้น เกี่ยวข้องกับการใช้พลังห้าธาตุ

หากซูอี้ไม่ได้กลั่นเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณออกมา คงไม่มีโอกาสได้แสดงวิชาเหล่านี้ในโลกใบนี้แน่

ต่อจากนั้น ซูอี้ก็ไม่ได้ออกไปไหน เขาแทบอุทิศตนเพื่อฝึกฝน!

มีฟางหยวนอยู่ด้วย ซูอี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารสามมื้อในแต่ละวันอีกแล้ว

วันแรกของเดือนห้ามาถึงอย่างรวดเร็ว

ห่างจากเหตุการณ์ต่อสู้บนเขาจิ่วจี้ ประมาณสิบวัน

ในสิบวันนี้ ไม่เกิดเรื่องใหญ่อะไรภายในมหานครหลวงอวี้จิง และเงียบสงบมาก

แต่กองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่ในมหานครหลวงอวี้จิงต่างก็รู้ดี ว่านี่คือความสงบก่อนพายุจะมา

ทุกคนต่างรู้ การต่อสู้ของซูอี้กับซูหงหลี่สองพ่อลูก ใกล้จะเปิดฉากขึ้นแล้ว!

“อีกสามวัน คือวันที่สี่เดือนห้า สองพ่อลูกตระกูลซู ไม่ว่าจะเป็นซูหงหลี่ หรือว่าซูอี้ ล้วนสามารถอดทนกักเก็บอารมณ์ได้ดีจริง ๆ…”

ในวังหลวง จักรพรรดิโจวรู้สึกทอดถอนใจ

[1] บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ เป็นสำนวนจีน มีที่มาจากลำไผ่เมื่อแตกแล้ว รอยแตกที่ว่าก็จะทำให้ไม้ที่เคยแข็งตั้งตรง แหวกแยกหักโค่นลงอย่างง่ายดาย

[2] ชือหลง คือชนิดของมังกรประเภทหนึ่งที่ไม่มีเขา

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset