📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 149

บทที่ 149 - ประกาศิตพันธนาการวิญญาณ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

สีหน้าของฉาจิ่นพลันมืดหม่น ถ้อยคำกล่าวออกอย่างสับสน “เหตุใดเจ้าไม่ปลิดชีพข้าเสีย?”

ซูอี้เก็บดาบบงการฟ้าดิน และพูดว่า “เมื่อใดที่ศิษย์พี่ของเจ้ารู้ว่าเจ้าถูกจับโดยข้า เขาย่อมจะมาช่วยเจ้าไม่ใช่หรือไร?”

ฉาจิ่นสะดุ้งทันทีเมื่อเข้าใจเจตนาของซูอี้ นางกัดฟันกรอดก่อนจะกล่าวด้วยอาการขุ่นเคือง

“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านคิดใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อให้ศิษย์พี่ปรากฏตัว!”

“นับว่ายังฉลาดอยู่บ้าง”

หลังสิ้นคำเย้ยหยัน ซูอี้คว้าคอขาวประหนึ่งหิมะของฉาจิ่น ก่อนจะใช้กำลังพลิกร่างของนางให้หันหลังให้ตัวเขา

ฉาจิ่นสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันที ก่อนจะกล่าวอย่างร้อนรน “เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกัน!?”

มือใหญ่ของซูอี้บีบคอของนางแรงยิ่งขึ้น ทำให้ทั้งตัวนางไร้เรี่ยวแรงขัดขืนและหายใจลำบาก ด้วยท่าทางและระยะห่างอันใกล้ชิดนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกทั้งโกรธและอับอายอย่างสุดจะพรรณนา

ซูอี้เพิกเฉยต่อความขมขื่นของอีกฝ่าย เขาเหยียดนิ้วชี้ขวาออกก่อนจะกดลงบนผิวใต้คอระหงของฉาจิ่น จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วประหนึ่งพู่กัน ขีดเขียนลวดลายลึกลับอย่างตั้งใจ

ความรู้สึกขนลุกขนพองอย่างฉับพลันนี้ทำให้ร่างกายของฉาจิ่นแข็งทื่อ ลมหายใจของนางถี่รัว อีกทั้งยังครางโดยไม่รู้ตัว

บนผิวสีขาวและเนียนนุ่มของนาง มันปรากฏรอยแผลเป็นสีเลือดตามที่นิ้วชี้ของซูอี้ขีดลาก รอยแผลเป็นนั้นยิ่งนานยิ่งชัดเจนและยิ่งเห็นเป็นโครงร่างอักขระอักษร ซึ่งแลดูลึกลับน่าดึงดูด ทว่าแฝงด้วยความอันตรายอย่างยิ่งยวด

ในระหว่างกระบวนการนี้ ร่างกายที่บอบบางของฉาจิ่นสั่นสะท้านราวกับลูกนก ใบหน้าที่บอบบางของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาคู่งดงามประหนึ่งหยดน้ำค้างยามสารทฤดูเผยซึ่งทั้งความอับอาย ความแค้น และความเจ็บปวด

ทว่า ยิ่งนานอาการเจ็บปวดยิ่งรุนแรง ส่งผลให้ริมฝีปากแดงของนางหุบอ้าไม่หยุดหย่อน เสียงหอบหายใจถี่รัวทำลายความเงียบสงัดของห้องโถง แม้เสียงนี้จะมาจากความเจ็บปวด แต่มันกลับส่งกลิ่นอายอันมีเสน่ห์ ซึ่งอาจทำให้เลือดลมของใครก็ตามที่รับฟังนั้นเดือดพล่านได้โดยง่าย

ทันใดนั้น ปลายนิ้วของซูอี้ทิ่มกระแทกอย่างรุนแรง

หากมองจากมุมสูง จะแลเห็นว่าบนแผ่นหลังใต้คอขาวประหนึ่งหิมะของฉาจิ่น ปรากฏตัวอักษรขนาดเท่าฝ่ามือสีแดงสดซึ่งขยับไปมาอยู่เล็กน้อยราวกับมันมีชีวิตก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างเงียบงันใต้ผิวหนัง

“อ่า~”

ฉาจิ่นเปล่งเสียงอุทานออกมา คิ้วของนางขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งผลแอปเปิ้ล นางกัดริมฝีปากของนางด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้นเมื่อซูอี้ปล่อยมือซ้ายที่บีบคอของนาง ทั้งร่างนางก็ทรุดลงราวกับไร้เรี่ยวแรง ทั้งร่างสั่นงันงกและยังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น

ศีรษะของนางมึนงง นางรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของนางถูกฉีกทึ้ง มันเจ็บปวดแทบไม่อาจต้านจนแม้แต่ดวงตายังแข็งค้าง ขณะนี้มีเพียงเสียงหายใจถี่รัวของนางดังขึ้นในห้องเท่านั้น

ซูอี้ถอนหายใจยาวเช่นกันยามจบขั้นตอน

เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินให้ตัวเองหนึ่งจอกแล้วดื่มหมดในรวดเดียว

“เจ้าทำสิ่งใดกับข้ากัน!”

หลังจากนั้นไม่นาน ฉาจิ่นก็กลับมารู้สึกตัว เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจระงับความกลัวในหัวใจได้อีกต่อไป ทั้งร่างยังสั่นอย่างไม่อาจควบคุม

นางสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันรุกล้ำเข้าไปในจิตวิญญาณของนางโดยที่นางไม่อาจต้านได้แม้แต่น้อย

สิ่งที่ไม่รู้จักนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ฉาจิ่นนั้นไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือชีวิตยังคงอยู่แต่ต้องอยู่อย่างตรอมตรมยิ่งกว่าตาย

“นามของมันคือ ‘ประกาศิตพันธนาการวิญญาณ’ มันเป็นเพียงกลเม็ดเล็กจ้อยซึ่งไม่แพร่หลายนัก เมื่อใดที่เจ้ามีพลังถึงขั้นวิถีต้นกำเนิด เมื่อนั้นเจ้าจึงจะสามารถลบล้างมันออกด้วยตัวเองได้”

ฉาจิ่นตกตะลึง

วิถีต้นกำเนิด?

นั่นคือระดับแห่งเทพเซียนเดินดินไม่ใช่หรือ!?

“ม… มันทำอะไรได้?” ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง

ซูอี้เอ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์ “อำนาจของมันนั้นเรียบง่าย แม้มีชีวิตอยู่แต่ไม่อาจสุขสบาย ทว่าอยากตายกลับไม่มีทางจะสมหวัง ทุก ๆ สามเดือนนับจากนี้ไป อำนาจของคาถาลับนี้จะปะทุขึ้นหนึ่งครั้ง ทุก ๆ ครั้งมันเปรียบดั่งถูกลอกหนังเฉือนเนื้อ ที่หัวใจราวกับถูกดาบนับพันทิ่มแทง ความทรมานที่บังเกิด คนธรรมดาย่อมไม่อาจจะทานทน”

“หากเจ้าแก้คาถาลับนี้ไม่ได้ภายในครึ่งปี วิญญาณของเจ้าจะถูกกัดเซาะจนหมดสิ้น และทั้งตัวของเจ้าจะกลายเป็นเหมือนศพที่เดินได้ ต่อมาเจ้าจะได้เห็นผิวหนังของเจ้าค่อย ๆ เน่าเปื่อย ท้ายที่สุด ทั้งร่างจะละลายกลายเป็นโคลนตม…”

แม้น้ำเสียงของซูอี้จะสงบนิ่ง แต่ฉาจิ่นกลับสั่นสะท้านไม่อาจควบคุม

“เจ้ามันปีศาจ!!”

นางกรีดร้องใจสลาย ใบหน้าของนางซีดเผือด การแสดงออกของนางเต็มไปด้วยทั้งความกลัวและความโกรธ

มีเพียงผู้กล้าแท้จริงเท่านั้นที่สามารถยิ้มเย้ยต่อชีวิตและความตายได้อย่างไม่ยี่หระ

แต่กระนั้นฉาจิ่นนางไม่ใช่ผู้กล้า ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่นางเผชิญอยู่ไม่ใช่ชีวิตและความตาย แต่เป็นสถานการณ์ที่โหดร้ายซึ่งนางไม่สามารถตายหรืออยู่อย่างสงบได้

ซูอี้เหลือบมอง “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าลืมกล่าวบอก ผู้ใดที่ถูกสะกดด้วยคาถานี้ เพียงความคิดเดียวจากผู้ร่ายจะทำให้ผู้ถูกสะกดได้รับความเจ็บปวดอย่างสุดแสนทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ราวกับถูกเฆี่ยนตีด้วยหวายนับพันเส้น”

เพียงสิ้นประโยค

“ไม่!!!”

ฉาจิ่นส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด มือทั้งสองกุมหัวแน่นก่อนจะกลิ้งไปบนพื้นอย่างควบคุมไม่ได้

ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตวิญญาณนางเป็นอย่างไร ความตายย่อมดีกว่าชีวิตเช่นนี้อย่างไม่อาจเทียบเปรียบ!

ในโลกของผู้บ่มเพาะ การฆ่านั้นไร้ความหมาย หลายคนต่างมองว่าชีวิตและความตายเป็นเรื่องปกติ

แต่วิธีการเฉกเช่นแบบซูอี้ การร่ายคาถาลับเพื่อควบคุมชีวิตและความตายของผู้อื่นนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่ผู้ใดจะทานทน

ในเวลานี้เองที่ฉาจิ่นเข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของบุรุษหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวที่นางล่วงเกินอย่างลึกซึ้ง ความหฤโหดเช่นนี้ไม่อาจเป็นของมนุษย์ได้ มีเพียงปีศาจในตำนานเท่านั้นที่พึงมี!

เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่

ฉาจิ่นรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงหายไป แต่ความทรมานที่ผ่านมาทำให้สภาพของนางขณะนี้น่าอับอายอย่างยิ่งยวด

เมื่อมองไปที่ซูอี้อีกครั้ง ดวงตาของนางจึงเต็มไปด้วยความกลัวอย่างล้ำลึก

“นับจากนี้ไป ชีวิตของเจ้าจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าอีกต่อไป เมื่อใดที่โทสะของข้าสงบลง ข้าอาจให้โอกาสเจ้าเป็นอิสระ แต่ก่อนหน้านั้น หากเจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้า จงจำไว้ข้ายินดีทุกคราที่จะเห็นเจ้าต้องทุกข์ตรม!”

ซูอี้เอ่ยคำอย่างเฉยชาnᴏᴠᴇʟɢu.ᴄoᴍ

“เจ้าค่ะ”

ฉาจิ่นสะกดข่มความโกรธและความทุกข์ในใจของนางอย่างสุดฤทธิ์ ก้มศีรษะลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา หาได้มีสักครั้งไม่ที่นางต้องเผชิญกับการทรมานที่โหดร้ายเช่นตอนนี้

สิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ โลกนี้กลับมีคาถาลับที่สามารถสะกดข่มดวงวิญญาณ ซึ่งทำให้นางไม่อาจต่อต้านได้เลย

นอกตำหนักวิจิตรบรรเลง

โจวจือหลียืนไพล่มือที่หลัง ดวงตาพลางมองขึ้นไปที่หน้าต่างบนชั้นสองด้วยความซับซ้อน

จางตั้ว และคนอื่นรอบตัวเขาต่างก็แสดงท่าทีแปลกประหลาดแต่ยังคงนิ่งเงียบไม่ปริปากพูดแม้เพียงครึ่งคำ

ถัดมา มีเสียงกระทบกระทั่งอาวุธลอดออกจากหน้าต่าง ทุกคนที่อยู่ด้านนอกต่างตกตะลึง ผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าขณะนี้ซูอี้และฉาจิ่นกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด?

ทว่าเสียงอาวุธดังอยู่ไม่นานนักก่อนจะเงียบลง และถัดมามันถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องอันเจ็บปวดของหญิงสาว แต่ด้วยเพราะชั้นสองนั้นอยู่ห่างไกล คนอื่น ๆ จึงได้ยินเป็นเสียงคร่ำครวญแผ่วเบาซึ่งชวนให้จินตนาการของเหล่าบุรุษโลดแล่นอย่างไม่อาจควบคุม…

บุรุษผู้ใดจะไม่อาจจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนนั้น?

จางตั้วและคนอื่นต่างก็พากันครุ่นคิด ซูอี้คงไม่เก่งแต่เรื่องดาบเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเสียงร้องคงไม่ดังระงมลงมาถึงชั้นล่างเป็นแน่แท้

อย่างไรก็ตาม คล้ายว่าองค์ชายหกกำลังขุ่นมัว

จางตั้วและคนอื่นต่างเห็นได้ด้วยดวงตาทั้งสองของพวกเขา ขณะนี้โจวจือหลีทั้งถอนหายใจทั้งขมวดคิ้ว บางคราราวกับอยากจะเอ่ยถ้อยคำสักอย่างแต่แล้วกลับหยุดยั้งตัวเองทุกครั้งไป

อันที่จริง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้แม้ไม่ต้องถามก็รู้กัน

สตรีงามที่ตนหมายปองมาโดยตลอด ขณะนี้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของบุรุษอื่น ผู้ใดบ้างจะยังมีความสุขได้?

ทันใดนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดกับตัวเอง จู่ ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาแต่ไกล

“ยังเล่นไม่พออีกงั้นหรือ?” เป็นชิงจินที่เดินมา เสียงของนางยังคงก็เกียจคร้านดังเช่นเคย

ขณะนี้นางปลอมตัวสวมเสื้อผ้าเยี่ยงบรุษด้วยสวมเสื้อคลุมยาว ในมือข้างหนึ่งถือเหยือกสุรา ทว่าดวงตาที่เปล่งประกายประหนึ่งคมมีดกลับบ่งบอกถึงความมึนเมาเล็กน้อย

“ท่านอาหญิงเข้าใจผิดแล้ว คืนนี้ข้าหาได้สุขสำราญไม่!”

โจวจือหลีถอนหายใจ รู้สึกหดหู่จนไม่อยากจะเอ่ยถ้อยคำ

ชิงจินตากะพริบปริบ ๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

โจวจือหลีส่ายหัวไม่อยู่ในอารมณ์จะเอ่ยอธิบายเรื่องราว

จางตั้วที่อยู่ด้านข้างซึ่งยังมีไหวพริบ กระแอมไอแผ่วเบา จากนั้นจึงเริ่มอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น

หลังจากรับฟังจนจบสิ้น ชิงจินเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “เช่นนั้นขณะนี้พวกเขายังสู้กันอยู่หรือ?”

“เอ่อ…”

ยามได้ยินประโยคคำถามนี้ จางตั้วก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

ทางด้านโจวจือหลียิ่งดูอึดอัดมากกว่าเก่า

ดวงตาคมกริบของชิงจินเหลือบมองพวกเขา ไม่นานนักนางเริ่มเข้าใจบางอย่างที่คลุมเครือ ใบหน้าที่งดงามแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ถ้อยคำกล่าวออกอย่างฉงน “ไม่มีทางแน่ ซูอี้ผู้นั้นแข็งกระด้างราวกับแผ่นศิลา เขาจะมีอารมณ์ราคะได้อย่างไร?”

“ท่านหญิงชิงจิน ท่านอาจจะไม่เอ่ยคำนี้หากได้เห็นในสิ่งที่เราทุกคนเห็น”

จางตั้วอธิบายอย่างรวดเร็ว

ชิงจินพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ถ้อยคำตวาดออกอย่างหงุดหงิด “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าถูกเขาไล่ออกมา?”

นางเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ซูอี้และฉาจิ่นอาจจะกำลังทำสิ่งที่น่าละอายอยู่ด้านใน ไม่เช่นนั้นซูอี้จะไล่คนเหล่านี้ออกมาทำไม?

“ไม่คิดเลยจริง ๆ ไม่คิดเลย น่าเสียดายที่ข้าเคยถือว่าเขาเป็นหนึ่งในอัจฉริยะเช่นเดียวกับตัวข้า เป็นผู้บ่มเพาะซึ่งมุ่งเน้นมรรคาแห่งเต๋าสวรรค์ โดยไม่คาดคิด… เขากลับไม่ต่างอะไรจากบุรุษทั่วไปในโลกนี้…”

ชิงจินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา

ความรู้สึกผิดหวังในใจก่อเกิดอย่างน่าแปลก

โจวจือหลีและจางตั้ว ต่างอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น คำพูดว่าไม่ต่างจากบุรุษผู้อื่นนั้นกระทบพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

ทันใดนั้น ร่างสองร่างเดินออกจากประตู

คนทั้งสองไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาคือซูอี้และฉาจิ่น

สายตาของทุกคนแลมองเป็นจุดเดียว

ซูอี้ยังคงเป็นเช่นเดิม ระหว่างเดินยังคงเอามือไพล่หลัง ดวงตาสีหน้ายังคงเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน

แต่ยามเห็นฉาจิ่นปรากฏตัว โจวจือหลีรู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างไม่อาจควบคุม

ขณะนี้ใบหน้าสตรีที่ตนเคยหมายปองแลดูซีดเผือด ทั้งผมเผ้าและเสื้อผ้ายังยุ่งรุงรังเล็กน้อยไม่เหมือนตอนที่เขาเห็นล่าสุดก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ฉาจิ่นจะจัดการตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว แต่โจวจือหลียังคงเห็นร่องรอยของเหงื่อที่เปียกโชกได้

และสิ่งที่เขารับไม่ได้ยิ่งกว่าเรื่องต่าง ๆ ก็คือขณะนี้นางก้มศีรษะและเดินตามด้านข้างของซูอี้อย่างเชื่อฟัง โดยปราศจากรอยยิ้ม และความสดใสที่เขาเคยเห็นมาโดยตลอด

หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าร่างกายของนางยังคงสั่นเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งบางครั้งยามนางแอบเหลือบมองไปยังซูอี้ ร่องรอยของความหวาดกลัวจะปรากฏขึ้นชัดเจนในแววตา

เมื่อเห็นฉากนี้ จางตั้วรู้แจ้งได้ทันที คุณชายซูสยบสตรีงามเลิศล้ำผู้นี้ได้แล้วเป็นแน่แท้

ทางด้านชิงจินเมื่อนางเห็นฉาจิ่นเดินเคียงข้างซูอี้ด้วยท่าทียอมสยบโดยสมบูรณ์ ในใจของนางพลันเกิดความรู้แปลกประหลาด มันทั้งพลุ่งพล่านด้วยความไม่พอใจ รู้สึกผิดหวังและพ่ายแพ้อย่างไม่อาจอธิบายได้

“ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้!” ชิงจินอดไม่ได้ที่จะตวาดออกเสียงดัง

แต่กระนั้น ทันทีที่คำพูดหลุดออกไป นางพลันรู้สึกว่าตนเองนั้นหยาบคายอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งแม้แต่ตัวนางเองยังอดไม่ได้ที่จะตะลึง

นี่ตัวข้า… เกิดอะไรขึ้น?

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset