เขตส่วนกลาง อาคารสโมสรนักเรียน ห้องสภานักเรียน
สภานักเรียนกำลังประชุมเกี่ยวกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในวันเด็ก
“เฮ้อ… ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ฉันคงไปสนามจัมชิลด้วยแล้ว ที่แกล้งทำเป็นยุ่งก็เพราะไม่อยากทนฟังเสียงบ่นของวอนอูหรอก”
รองประธานนักเรียน จีมยองซู บ่นพึมพำขณะเอนหลังพิงโซฟา
เลขานุการสภานักเรียน – อูซังฮี – ผู้กำลังนั่งจิบน้ำผลไม้อยู่ฝั่งตรงข้าม กล่าวด้วยความเสียดาย
“ฉันก็ไม่อยากไปกับวอนอู แต่ถ้ารู้ว่าจุนยอลกับเพื่อนของซังฮุนไปด้วย ก็คงพาน้องชายไปด้วยกันแล้ว… ซังฮุนไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เขาดูหัวเสียมาก”
“อ้อ… ซังฮี พูดถึงเพื่อนๆ ของน้องชาย เธอหมายถึงเด็กในทีมสอบ 13 ใช่ไหม? เจ้าพวกนี้พัวพันกับคดีบ่อยแฮะ… ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ได้ยินว่าย้ายไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหารคนนึง เป็นรูมเมตของน้องชายวอนอูด้วย”
“ใช่… ถ้านัมอุกกับซีฮูเป็นเด็กโรงเรียนเราก็คงดี แล้วให้วอนอูย้ายไปแทน”
“ฮะฮะฮะฮะ! อย่าเล่นมุกนี้บ่อยนักสิ… ถึงฉันจะเห็นด้วยกับเรื่องที่เธอชอบพูดว่า ‘วอนอู นายช่วยย้ายโรงเรียนได้ไหม’ แต่ครั้งนี้เจ้าวอนอูทำดีจริงๆ นะ เธอควรชมเขาบ้าง”
แม้จีมยองซูจะชอบแกล้งโดวอนอู แต่ในใจลึกๆ แล้วก็แอบจับคู่สองคนนี้
เหล่าสภานักเรียนที่เข้าใจความนัยแฝง แอบยิ้มให้กับจีมยองซูโดยไม่ให้อูซังฮีเห็น
จีมยองซูพลันกำหมัดแน่น สื่อทางอ้อมทำนองว่า ‘พวกนายหุบปาก ถ้าซังฮีรู้ฉันถูกเชือดแน่!’
“นั่นสินะ… มยองซูพูดถูก… ครั้งนี้วอนอูทำดีจริงๆ … ถึงจะเป็นผู้ชายน่ารำคาญ แต่น้องๆ ของฉันก็ได้กลับมาอย่างปลอดภัย”
อูซังฮียิ้มอ่อนโยน ราวกับไม่รู้ว่ามีคนกลุ่มใหญ่กำลังแอบนินทาลับหลัง
ครืด!
ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับโดวอนอูและย็อมจุนยอลที่เดินเข้ามา
ทั้งสองคนล้วนสังกัด ‘หน่วยบุก’ รอยแยกต่างโลกที่สนามเบสบอลจัมชิล
“ขอโทษที่มาสาย… ฉันกับจุนยอลถูกมูลนิธิวังมยองเรียกตัวไปคุย”
“สวัสดีครับ”
เมื่อโดวอนอูและย็อมจุนยอลทักทายเสร็จ อูซังฮีลุกขึ้นพูด
“ฉันได้อ่านบทความแล้ว… วอนอู นายทำได้ดีมาก ฉันดีใจที่เพื่อนๆ น้องชายกลับมาอย่างปลอดภัย”
“ขอบคุณมากซังฮี! ฉันคิดเธอถึงตลอดเวลาเลยนะ!”
โดวอนอูยื่นแขนมาเพื่อขอจับมือ
แต่อูซังฮีไม่แยแสเลยสักนิด เพียงหันไปคุยกับย็อมจุนยอล
“จุนยอล นายก็ทำได้ดีมากเหมือนกัน สมแล้วที่เป็นสตาร์เพลเยอร์… ฉันดีใจนะที่ได้เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกับนาย แล้วก็… ได้ลองย้อนดูตอนขว้างเปิดงานมาแล้ว ถึงฉันจะดูเบสบอลไม่ค่อยเป็น แต่ไม่มีตรงไหนให้ติเลย!”
“ขอบคุณครับ รุ่นพี่ซังฮี”
โดวอนอูเผยสีหน้าซับซ้อนขณะหันไปมองย็อมจุนยอลที่ได้รับคำชมมากกว่าตน
ย็อมจุนยอลเป็นรุ่นน้องที่ยอดเยี่ยม เป็นมิตร ถ่อมตน และสุภาพมาก
แต่เขาไม่ชอบใจที่เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับดาราจอเงินนั่น พูดคำว่า ‘รุ่นพี่ซังฮี’ ออกมา
ลงเอยด้วย ต่อมนิสัยในส่วนลึกจิตใจโดวอนอู สำรอกคำที่น่ารังเกียจออกจากปาก
“อย่ามาตีสนิทซังฮีนะ… ย็อมจุน… อั่ก!”
ผัวะ!
ยังไม่ทันพูดจบ หัตถ์คมมีดของอูซังฮีฟาดเข้าที่กลางหลัง
แม้จะรับรู้ได้ล่วงหน้า แต่ทันทีที่ดูออกว่าเป็นมือของอูซังฮี โดวอนอูตัดสินใจไม่หลบ
“พูดอะไรต่อหน้ารุ่นน้องน่ะ? น่าเกลียด! วอนอู แล้วที่บอกว่าคิดถึงฉันตลอดเวลาหมายความว่ายังไง? นายเห็นเอนามีในต่างโลกแล้วคิดถึงหน้าฉัน?”
“ซังฮี ฉันคิดถึงเธอตลอดเวลาจริงๆ”
“อยากจะอ้วก”
“เธอป่วยหรือ? ตัวร้อนรึเปล่า? ฉันไปเอายาจากห้องพยาบาลให้ไหม?”
“ขยะแขยง”
โดวอนอูไม่สะทกสะท้านต่อคำด่าทอของอูซังฮี
ระหว่างนั้น ย็อมจุนยอลที่ชินกับสถานการณ์ หันไปคุยกับจีมยองซูโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
คิมยูรีที่เห็นภาพนั้น อมยิ้มพลางหันไปคุยกับอันดาอิน
“ฮะฮะฮะ… วันนี้พวกรุ่นพี่คึกคักกันจัง คิดเหมือนกันไหมดาอิน?”
“อ…อื้อ”
อันดาอินตอบครึ่งๆ กลางๆ ราวกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
คิมยูรีมองเข้าไปในโฮโลแกรมที่อันดาอินกำลังจ้อง
‘วิดีโอในสนามเบสบอลจัมชิล?’
บนจอโฮโลแกรมของอันดาอิน คือคลิปวิดีโอรอบๆ รอยแยกหน้าสนามเบสบอลจัมชิลที่ทางสมาคมเพิ่งเผยแพร่
ใบหน้าอาจถูกเบลอไว้ แต่คิมยูรีบอกได้ทันทีว่าเป็นใคร
‘คนที่ถือไม้เท้าคืออึยชิน และสองคนที่คอยคุ้มกันเขาคือเฮียวทงกับซูย็อก… ทุกคนสู้ได้ดีมาก!’
สายตาอันดาอินไม่ละออกจากจูซูย็อกเลย
เขาร่ายรำไปพร้อมกับดาบคู่ใจ ‘สองปีกจรัส’ ด้วยท่วงท่าสง่างาม
ทุกคนทำได้ดีไม่ต่างกันก็จริง แต่เมื่อเทียบกับเม็งเฮียวทงที่เน้นการขยับตัวเป็นจังหวะ กับโชอึยชินที่ต้องยืนเฉยๆ เป็นธรรมดาที่จูซูย็อกจะโดดเด่นออกมา
แต่ดูเหมือนอันดาอินจะมีเหตุผลอื่นที่มิอาจละสายตาจากเขา
คิมยูรีมองจูซูย็อกบนจอภาพ พลางแอบยิ้มให้กำลังใจ
‘ดาอิน พยายามเข้า!’
หลังจากให้กำลังใจเงียบๆ คิมยูรีเองก็ตัดคลิปดังกล่าวบันทึกเก็บไว้ในดีไวซ์ของตัวเอง
เธอไล่ดูใหม่ตั้งแต่ต้นด้วยความชื่นชม
‘ทุกคนเก่งมากเลย… แค่ได้เห็นเอนามีพวกนั้นผ่านจอภาพ เรายังใจสั่น… นี่เด็กรุ่นเดียวกันจริงหรือ? อยากลองสัมผัสประสบการณ์แบบนี้บ้างจัง…’
เพื่อนร่วมห้องของเธอสองคนมีชื่อปรากฏอยู่บนบทความ
เป็นธรรมดาที่คิมยูรีจะอยากฟังเรื่องราวจากปากคนในเหตุการณ์
เธอลืมคิดเกี่ยวกับเหตุร้ายในสนามเบสบอลจัมชิลไปเลย เพราะทั้งวันวุ่นอยู่กับการจองบัตรคอนเสิร์ต
‘อึยชินกับเฮียวทงเพิ่งผ่านประสบการณ์แย่ๆ มา พรุ่งนี้เอาของอร่อยๆ มาเลี้ยงปลอบใจดีกว่า’
ขณะดูวิดีโออยู่ข้างๆ อันดาอิน คิมยูรีวางแผนสำหรับวันถัดไป
* * *
มินกือริน – เด็กอัจฉริยะที่สร้างความฮือฮาไปทั่วประเทศเมื่อสิบปีก่อน
เธอเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับวงการศิลปะเลย
‘มินกือรินรู้จักกับศิลปะครั้งแรกตอนเจ็ดขวบ’
เมื่อซงมันซอกแวะไปที่บ้านเพื่อนสนิทของตน – จิตรกรชื่อดังชาวเกาหลีใต้ – ฮงคยุงบ๊ก – พร้อมกับซงแดซอกและมินกือริน – หลานชายและเพื่อนสมัยเด็ก
มินกือรินแต่เอาเหม่อมองท่วงท่าตวัดพู่กันของฮงคยุงบ๊กราวกับถูกผีสิง หลังจากนั้นก็ทำเรื่องไม่คาดฝันครั้งใหญ่
ในตอนที่ผู้ใหญ่ไม่อยู่ เธอจับพู่กันและวาดลงบนงานที่ยังไม่เสร็จ – ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ซึ่งวางอยู่ตรงมุมสตูดิโอ
ซงมันซอกที่มาเห็นเข้าในภายหลัง รีบก้มหัวขอโทษขอโพยเจ้าของบ้านยกใหญ่
ทว่า ฮงคยุงบ๊กกลับทึ่งในความงดงามของ ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ที่เสร็จสมบูรณ์โดยมินกือริน
[‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ถูกโชคชะตากำหนดให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยฝีมือของเด็กอัจฉริยะ!]
ฮงคยุงบ๊กกล่าวกับซงมันซอกว่า ‘ถ้ามินกือรินยอมเป็นศิษย์ เขาจะไม่เอาเรื่องกับสิ่งที่เกิดขึ้น’
เด็กเจ็ดขวบคนหนึ่ง ผู้ไม่เคยจับพู่กันมาก่อนในชีวิต สามารถทำให้ผลงานของจิตรกรระดับชาติเสร็จสมบูรณ์ และยังได้เป็นศิษย์ของเขา
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว สื่อและวงการศิลปะของเกาหลีใต้ไม่เก็บซ่อนความคาดหวัง ทุกฝ่ายประโคมข่าวว่าจิตรกรอัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
ภาพ ‘อีมูกีสู่สวรรค์’ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความฮือฮา ถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ภาพวาดสมัยใหม่ และกลายเป็นผลงานที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุด
‘แต่ตอนนี้…’
มินกือรินเลิกเป็นศิษย์ฮงคยุงบ๊กแล้ว แถมยังเป็นเด็กหนีโรงเรียน
‘เรารู้แค่ว่ามินกือรินเป็นเด็กปฏิเสธโรงเรียน แต่ไม่ยักรู้ว่าหล่อนกลัวคนหมู่มาก’
ฉันมีข้อมูลเกี่ยวกับเธอน้อยนิด
แทบไม่เคยปรากฏตัวในเกม และถึงจะโผล่ออกมาก็อยู่นอกโรงเรียน แถมยังติดตัวกับซงแดซอก
‘หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของจอมบงการ… ไม่เคยมีเนื้อหาส่วนไหนระบุว่ามินกือรินเคยมาโรงเรียน ยิ่งถ้าคำนึงจากพฤติกรรมล่าสุด ขอเดาว่าเธอคงไม่เคยเข้าเรียนแม้แต่ครั้งเดียว’
โชคยังดี ทางเดินหน้าห้องพักครูมักเงียบสงบในช่วงหลังเลิกเรียน
“นี่… เธอเด็กปี 1/0 ใช่ไหม”
“เฮือก!” nᴏᴠᴇʟɢu.cᴏm
มินกือรินที่กำลังจะเดินสวนไป สะดุ้งทันที
เธอมองมาทางฉัน พลางใช้ชายแขนเสื้อของแจ็กเกตที่ยาวจนคลุมนิ้ว เลื่อนขึ้นมาปิดปาก
“น…นาย…! เด็กห้องศูนย์ที่เจอกันตอนสอบกลางภาค!”
“ใช่แล้ว รองหัวหน้าห้อง 1/0 โชอึยชิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
แม้มินกือรินจะเผ่นหนีจากห้องเรียนในทันที แต่ดูเหมือนจะยังจดจำในหน้าคนในห้องได้
สายตาแหลมคมสมกับที่เป็นตำนานเด็กอัจฉริยะแห่งวงการศิลปะเกาหลี
“อ…อื้อ! พยายามเข้า! เจอกัน! บาย!”
มินกือรินพ่นประโยคเหมือนคนกำลังแร็ปพลางหันหลังหนี
เป็นฝีก้าวที่เร็วมาก สงสัยจะฝึกมาตั้งแต่เด็ก เพื่อปกป้องสองมืออันมีค่านั่น
หากเธอคิดจะวิ่งหนีแล้วล่ะก็ อย่างฉันไม่มีทางไล่ทันยกเว้นจะใช้แสงประทาน
…ถ้าไม่ใช่เพราะการสอบซ่อม ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไรด้วยสิ
ฉันตัดสินใจตะโกนเรียก
“เดี๋ยว!”
“…มีอะไร!”
“มาโรงเรียนเถอะนะ… อัตราการเข้าเรียนของห้องเราน้อยเกินไป”
“…ไม่มีทาง! คนเยอะขนาดนั้น!”
มินกือรินปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่หนึ่งวินาที
ต่อให้เธอเข้าเรียน ในห้องก็ยังมีแค่แปดคนเองนะ… แต่นั่นคงเยอะไปสำหรับเธอจริงๆ
‘สองสิ่งที่เปลี่ยนใจมินกือรินได้ มีแค่ซงแดซอกกับการวาดรูป’
มินกือรินอาจเลิกเป็นศิษย์ฮงคยุงบ๊ก แต่เธอไม่เคยหยุดวาดรูป
ทุกวันนี้ยังคงเก็บตัวในห้องเพื่อรังสรรค์ผลงานตามลำพัง
‘น่าเสียดายที่ผลงานเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้สัมผัสแสงเดือนแสงตะวัน’
มินกือรินกับซงแดซอกเรียนจบมัธยมต้นได้ด้วยโฮมสคูลและการสอบเทียบ
ดังนั้น เพื่อจะบีบให้พวกเขาออกจากบ้านบ้าง ทั้งสองครอบครัวได้ขู่ว่า ‘ถ้าไม่ยอมเรียนม.ปลายก็ไม่ต้องวาดรูป!’
‘แต่อัจฉริยะก็ยังเป็นอัจฉริยะ’
ซงแดซอกและมินกือรินสมัครเข้าโรงเรียนแสงเงินเพราะรู้ว่าที่นี่ไม่บังคับเข้าเรียน
ทั้งสองสอบเข้าโรงเรียนม.ปลายที่ทรงเกียรติที่สุดของเกาหลีใต้ด้วยคะแนนยอดเยี่ยม
และปัจจุบัน พวกเขาสามารถเป็น ‘เด็กม.ปลาย’ ได้โดยไม่ต้องไปโรงเรียน ทำเอาผู้ปกครองของทั้งสองครอบครัวหมดข้ออ้าง
‘น่าทึ่งมากที่ฮัมกึนยองกล่อมให้มินกือรินมาโรงเรียนได้ แม้จะแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะ… ดูเหมือนครูจะรู้จักซงมันซอกด้วยนี่… เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันนะ’
แน่นอนว่าฉันจะยังไม่ใช้การ์ด ‘ซงแดซอก’ ตอนนี้
หมายความว่าเหลือแค่วิธีเดียว – ภาพวาด
“ฉันจะยกไอ้นี่ให้ถ้าเธอมาโรงเรียน”
ฉันหยิบการ์ดใบหนึ่งออกจากหน้าต่างไอเท็ม
‘หยดน้ำเจือลมหายใจนางเงือก’
ไอเท็มเกรด SR ที่ขโมยมาจากงานประมูลมายา
‘มันอาจเป็นแค่ไอเท็มอวยพรเกรดต่ำ แต่ได้ยินว่าถ้านำไปผสมกับสีวาดรูป หรือใช้วาดรูปโดยตรง สีจะไม่มีวันจางลง’
จริงอยู่ สำหรับมินกือริน ขอแค่เอ่ยปากบอก ผู้คนก็พร้อมที่จะประเคนสีดีๆ ให้เธอ
แต่นั่นไม่มีทางเกิดขึ้น กับเธอที่เอาแต่หมกตัวกินข้าวและวาดรูปอยู่ในบ้าน
มินกือรินยังเป็นแค่เด็กปีหนึ่ง จึงไม่ได้รับอนุญาตให้โจมตีต่างโลก ส่งผลให้ไม่มีเงินหรือไอเท็มสำหรับแลกเปลี่ยนกับสีแพงๆ
“ม…มะ…ไม่เอา”
มินกือรินส่ายหน้าอย่างหนักแน่นหลังจากเสียเวลาครุ่นคิด
แค่ไอเท็มยังทำให้เธอเลิกปฏิเสธโรงเรียนไม่ได้สินะ
ช่วยไม่ได้แฮะ ลดเงื่อนไขลงหน่อยก็แล้วกัน
“ถ้าอย่างนั้น มาแค่วันครูได้ไหม”
ฉันอยากให้ครูฮัมกึนยองดีใจกับอัตราการเข้าเรียน 50% สักหนึ่งวันก็ยังดี
‘ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ’
อย่างที่คิด มินกือรินเริ่มลังเล
“อ…เอ่อ… ห้องเรียนปี 1/0… มีคนเยอะเกินไป…”
บรรทัดฐานความ ‘เยอะ’ ของมินกือรินค่อนข้างพิสดาร
ในเมื่อคงไม่ได้คำตอบเร็วๆ นี้ ฉันตัดสินใจเป็นฝ่ายรอ
รหัสดีไวซ์ถูกพิมพ์ลงบนหน้าจอโฮโลแกรม จากนั้นก็เปิดให้มินกือรินดู
“ให้คำตอบก่อนวันครูล่ะ… นี่รหัสของฉัน”
“ต…ตะ…ตกลง”
“ถ้าอย่างนั้น ไว้เจอกันวันครูนะ”
ฉันทิ้งมินกือรินที่กำลังสับสนไว้ตามลำพัง
แค่มองแวบเดียวเธอก็คงจำรหัสดีไวซ์ได้แล้ว
* * *
ฉันกลับถึงห้องหลังจากการฝึกช่วงเย็น
เหตุร้ายในวันเด็ก ณ สนามเบสบอลจัมชิลอาจสิ้นสุดลงแล้ว แต่ฉันยังเหลืองานให้ทำอีกเพียบ
เสียงถอนหายใจดังระงมไปทั่วห้องพัก ขณะฉันนั่งพิมพ์ๆ ลบๆ ข้อความบนโฮโลแกรม
‘ในเมื่อให้สัญญากับตัวละครไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำตามนั้น’
…ถึงจะยากลำบากและน่าอึดอัดไปบ้างก็ตาม
ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะเขียนคำสั้นๆ เสร็จ
‘ต่อไปก็เขียนลงบัตรเชิญของจริง’
〈ท่านใช้แสงประทาน ‘เส้นทางเพลเยอร์’ 〉
〈ท่านใช้แสงประทานของตัวละครเป้าหมาย ‘อัญเชิญมังกรแดง’ 〉
เสียงระบบดังขึ้น จากนั้น มังกรแดงโผล่ออกจากช่องว่างมิติเหนือปลายนิ้ว
ซู่ว!
บนกระดาษแผ่นสีขาว
ด้วยอำนาจของเพลิงมังกรแดง ตัวอักษรทยอยถูกสลักบนซองจดหมายในลักษณะรอยไหม้
[เขตห้วงห้าม, มาที่ห้องเดิมหลังจากเสร็จกิจกรรมชมรม]
[หลังจากนี้ห้ามเรียกฉันว่าจอมโจรผาแดงอีก]
—
MasterGU.edited = เพื่อร่วม->เพื่อนร่วม