‘นิทรา’ หมายถึงหนึ่งในจุดจบที่เผ่าแท้ของโลกนี้ต้องเผชิญ
เผ่าแท้ที่ไม่ปรากฏตัวอีกเลย มักถูกนิยามว่าตายหรือไม่ก็นิทรา
สามแปดเซียนแห่งหมีแท้ผู้วางแผนทำลายเทพสวรรค์และเทพมนุษย์ ต่างก็ถูกนิยามว่าอยู่ในภาวะนิทรา รวมถึงมังกรครามในเกมที่แก้แค้นให้ย็อมจุนยอลไม่สำเร็จจนสูญเสียพรคุ้มครอง และเสือเงิน—อดีตผู้นำเผ่าเสือ
“นิทราสินะ… มนุษย์มักไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ นายไปได้ยินมาจากไหน”
“ตอนแรกฉันคิดว่า มันคงเหมือนภาวะหยุดหายใจหรือกลายเป็นผักของมนุษย์”
“ภาวะเหล่านั้นเกิดจากความบกพร่องของร่างกาย… การเป็นผักหมายถึงร่างกายหยุดทำงานเนื่องจากสมองเสียหาย ส่วนภาวะหยุดหายใจเกิดได้หลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เป็นเพราะอวัยวะบางชนิดหยุดทำงานจนชีพจรหยุดเต้น มนุษย์ที่ประสบภาวะเหล่านี้มักลงเอยด้วยความตาย ไม่เหมือนกับการนิทราของเผ่าแท้”
วังจีโฮพูดต่อขณะเดินตรงมาทางประตูอาคารหลักใจกลางสวนวงกต
“นายคิดว่าข้อแตกต่างอันดับหนึ่งระหว่างเผ่าแท้ ลูกหลาน และมนุษย์คืออะไร”
สิ่งแรกที่แล่นเข้ามาในความคิดของฉันคือ ‘วิธีการเกิด’
เผ่าแท้จำเป็นต้องมีแหล่งกำเนิด เช่นเทพนิยาย ตำนาน หรือนิทาน
‘ส่วนการเกิดของลูกหลานนั้นคล้ายมนุษย์… แต่นี่คงไม่ใช่คำตอบที่วังจีโฮต้องการ’
ถ้าอย่างนั้น… พลัง?
ก็ไม่ใช่เหมือนกัน
แค่ดูจากโรงเรียนแสงเงิน ‘ครูบ้าพลัง’ อิมยอนวานั้นมีพละกำลังไม่แพ้เผ่าแท้ ส่วนจูเก่อแจกอล ฮัมกึนยอง และกงชองวอนก็ไม่ด้อยไปกว่าเธอนัก
นอกจากนั้น หากนับรวมครูกิตติมศักดิ์ที่เพิ่งแต่งตั้ง และเพลเยอร์ที่มีผลงานเคลียร์ต่างโลกระดับหัวแถวอย่างย็อมบังยอล คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าพลังคือเกณฑ์การแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเผ่าแท้ ลูกหลาน และมนุษย์
ครุ่นคิดอย่างจริงจังสักพัก ฉันได้ข้อสรุป
“การมีอยู่ของชื่อแท้”
“ยอดเยี่ยมมาก โชอึยชิน เป็นคำตอบที่ถูกต้อง”
วังจีโฮยิ้มอย่างพึงพอใจ
“มนุษย์สามารถเปลี่ยนชื่อได้ทุกเมื่อ แต่พวกเราต่างออกไป ถึงจะมีชื่อปลอมมากมาย แต่ชื่อแท้มีได้แค่หนึ่ง”
เผ่าแท้จะเป็นเผ่าแท้ในยามที่เกิด ส่วนลูกหลานจะรู้ชื่อแท้ของตนในยามที่ตระหนักถึงพลัง
ชื่อแท้ซึ่งเปรียบดังรากเหง้าของการดำรงอยู่ และมีพลังในตัวเอง คือเกณฑ์สำคัญที่ใช้แบ่งระหว่างมนุษย์กับลูกหลานเผ่าแท้
“ตามปกติแล้ว วิญญาณของเผ่าแท้จะ ‘ขาดเสถียรภาพ’ อย่างมาก ส่วนวิญญาณของลูกหลานจะมั่นคงกว่าเล็กน้อย แต่ถึงงั้นก็พร้อมจะหลุดออกจากร่างได้ทุกเมื่อไม่ต่างกัน… หมุดที่คอยยึดระหว่างวิญญาณกับร่างเนื้อคือชื่อแท้”
สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเทพนิยายหรือตำนานอย่างพวกเขา ชื่อแท้เปรียบดังหมุดยึดระหว่างโลกความจริงกับร่างเนื้อ
‘…แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสูญเสียชื่อแท้’
ฉันนึกถึงแบคโฮกุนที่สูญเสียชื่อแท้ และหามันไม่พบจนกระทั่งเกมจบ
ภายในเกม แบคโฮกุนผ่านบททดสอบของเทพสวรรค์จนเป็นอิสระจากดีบัฟ ‘โทสะเทพสวรรค์’ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รับชื่อแท้กลับมา
‘เขาต่อสู้จนหยดสุดท้ายด้วยวิญญาณที่ไม่เสถียร…’
ถ้าอย่างนั้น ชื่อแท้ของแบคโฮกุนหายไปไหน
วังจีโฮพูดทิ้งท้ายคำอธิบายของตัวเอง
“และภาวะที่วิญญาณหลุดออกจากร่างโดยไม่หวนกลับมา เราเรียกมันว่านิทรา”
วังจีโฮอธิบายจบแล้ว แต่ฉันยังไม่รู้ควรว่าตอบสนองอย่างไร
ขณะปิดปากสนิท เราสองคนเดินผ่านสวนวงกตจนมาถึงหน้าอาคารหลัก
วังจีโฮพูดอีกครั้งเมื่อเห็นประตูหน้า
“ถึงจะมีหมุดยึดอย่าง ‘ชื่อแท้’ คอยตรึงไว้อยู่ แต่เผ่าแท้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงอย่างเสือเงินก็เข้าสู่ภาวะนิทราได้เช่นกัน… แต่ก็มีเผ่าแท้บางคนที่ยังครองจิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อแท้ นั่นคือเสือขาว”
ตรงข้ามกับน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาวังจีโฮเริ่มเปียกชื้น
“เกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณที่หลุดจากร่าง”
“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยมีเผ่าแท้ตื่นจากนิทราได้ ส่วนลูกหลานก็เข้าสู่ภาวะนิทรากันไม่บ่อยนัก”
“ไม่เคยมีใครตื่น?”
“เท่าที่ฉันรู้”
วังจีโฮหยุดพูดไปสักพักก่อนจะเสริม
“ตราบใดที่ร่างเนื้อยังอยู่บนโลก บุคคลนั้นยังมีโอกาสหวนกลับมาโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการสังสารวัฏ”
ถ้าพูดในมุมกลับ นั่นหมายความว่าถ้าไม่มีพรคุ้มครองแบบอ๊กโทยอน เผ่าแท้ที่สูญเสียร่างเนื้อจะเท่ากับตายไปแล้ว
“โดยสรุปก็คือ การนิทราเป็นภาวะที่วิญญาณของเผ่าแท้และลูกหลาน—ซึ่งมีวิถีการดำรงอยู่แตกต่างจากมนุษย์—หลุดออกจากร่างกาย ยังมีข้อสงสัยอีกไหม”
ขณะเตรียมถามถึงสังสารวัฏ ฉันได้กลิ่นอายใครบางคน
สองพ่อลูกเสือแดงกับคิมชินรก กำลังเดินเข้ามาจากไกลๆ
แม้บรรยากาศจะยังดูเกร็ง แต่พวกเขากำลังคุยกัน
“ท่านเสือเหลือง ชวนท่านโชอึยชินมาด้วยหรือ”
“สวัสดีครับ”
สายตาของคิมชินรกที่ทักทายวังจีโฮ หันมาหยุดอยู่กับฉัน
เราไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว นับตั้งแต่ฉัน ‘แฉ’ อดีตอันดำมืดของเขาต่อหน้าเผ่าเสือและยงเจกอน
“ท่านโชอึยชิน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ยื่นเอกสารขอค้างคืนนอกหอพักแล้วหรือยัง”
สีหน้าของเขาอยู่ตรงกลางระหว่างครูที่ปรึกษาใจดี กับลูกหลานเผ่าเสือที่กำลังหงุดหงิดเพราะถูกเปิดโปงอดีตอันดำมืดต่อหน้าเผ่าแท้และเพื่อนสนิท
ในเมื่อข้อสงสัยถูกไขกระจ่างเกือบหมดแล้ว ฉันตัดสินใจกลับโดยไม่ค้างคืน
“คงไม่ค้างคืน ผมคิดว่ากำลังจะกลับ…”
“ฮะฮะฮะ! คิมชินรก ยังเคืองโชอึยชินไม่หายอีกหรือ อย่าใจร้ายกับเขานักเลย ในบรรดากฎหลายข้อของโรงเรียนแสงเงิน การกรอกเอกสารขอค้างคืนข้างนอกหอพักไม่ใช้ข้อบังคับ แต่เป็นแค่การขอความร่วมมือ”
เมื่อวังจีโฮหัวเราะแล้วตัดบทคำพูดฉัน คิมชินรกลังเลเล็กน้อยก่อนจะปิดปากเงียบ
…คิมชินรกยังเคืองเรื่องนั้นอยู่หรือ
หลังจากนี้คงต้องระวังไม่ให้ฝ่าฝืนกฎของหอพักสินะ
“…วันนี้ข้าจะทำกับแกล้มด้วยตัวเอง อาจไม่เหมาะสมนักที่จะชวนท่านโชอึยชินดื่มเหล้า แต่ถ้ามีอาหารจานโปรดที่อยากกิน ข้ายินดีปรุงให้”
ไม่ใช่ว่าคิมชินรกอยากส่งเรากลับหอพักหรอกหรือ
ดูจากท่าที มองไม่ออกเลยว่าเป็นการแสดงหรือจริงใจ
ได้ฟังคำพูดคิมชินรก วังจีโฮหัวเราะอีกครั้ง
บรรยากาศชื่นมื่นเกินกว่าฉันจะพูดออกไปว่า ‘ขอตัวกลับหอ’ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากไหลตามน้ำเข้าไปในคฤหาสน์
“อึยชินอปป้า สวัสดีค่ะ!”
“ท่านเสือเหลืองพูดความจริง! พี่อึยชินมาค้างคืน!”
“พี่อึยชิน!”
ลูกหลานเสือเงินที่น่าจะง่วงแล้ว เนื่องจากใช้ชีวิตแบบเด็กอนามัยมาตลอด ทักทายฉันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เจ้าบ่วงหลับอยู่หรือเปล่านะ
ปกติแล้วจะเดินออกมาต้อนรับพร้อมกับแบคโฮกุน แต่ตอนนี้หายทั้งคู่
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่กับเสือขาว อีกเดี๋ยวก็กลับมา”
เสือแดงพูดราวกับอ่านใจฉันออก
คิมชินรกเดินไปทางครัวแล้วหันมาถาม
“ท่านโชอึยชินอยากกินอะไรหรือ ถ้ามีวัตถุดิบ ข้าจะทำจานโปรดของท่านให้”
“งั้นเอาเป็น…”
ไม่ต้องคิดนาน
คำตอบของฉันตายตัวอยู่แล้ว
ราวสามสิบนาทีถัดมา
“ท่านโชอึยชิน… ในตอนที่ลูกชายข้าถามว่าอยากกินอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าท่านจะตอบว่า ‘อะไรก็ได้ที่เจ้าบ่วงกินได้’ …”
“โชอึยชินสนิทกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
ดูเหมือนพวกเสือจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ความสนใจของฉันเพ่งอยู่กับประตูหน้า
บ๊อก! บ๊อก!
ฉันสัมผัสถึงการมาเยือนของเทวดาตัวน้อยได้ และอีกฝ่ายคงตระหนักถึงฉันเช่นกัน
เจ้าบ่วงแสนรู้กระโดดขึ้นตักของฉันอย่างชาญฉลาด
ไม่อยากเชื่อว่าร่างเล็กๆ จะกระโดดได้สูงขนาดนี้
ก้อนสำลีใช้ศีรษะถูมือฉันด้วยตาเป็นประกายราวกับเรียกร้องให้ชื่นชม ฉันจึงใช้สติปัญญาทั้งหมดประดิษฐ์คำชมเชยความยอดเยี่ยมและอัจฉริยะของมัน
“…โชอึยชินสนิทกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ”
“บางครั้งข้าก็สงสัยว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แอบใช้สกิลก่อกวนจิตใจกับเขาหรือเปล่า”
ดูเหมือนเสือแดงกับวังจีโฮจะคุยอะไรกันอยู่
บ๊อก!
มองไปทางที่เจ้าบ่วงเห่า ฉันเห็นแบคโฮกุนเดินเข้ามา
ได้ยินว่าเจ้าบ่วงออกไปพร้อมกับแบคโฮกุน แต่ดูเหมือนฝ่ายหลังจะกลับมาช้ากว่าเล็กน้อย
“เสือขาว เป็นยังไงบ้าง”
“มันยังเอาแต่พูดจาเพ้อเจ้อเหมือนเดิม”
“นั่งลงสิ ลูกของเสือแดงกำลังอวดฝีมือทำอาหาร ข้าบอกให้ทำมาเผื่อส่วนของเจ้าด้วยแล้ว”
คิมชินรกเดินออกจากห้องครัว เป็นเวลาเดียวกับที่ลูกหลานเสือเงินหลับหมดแล้ว
“อาหารพร้อมแล้ว”
สาวใช้อัตโนมัติช่วยคิมชินรกยกอาหารในถาดบุฟเฟ่ต์ทองคำมาเสิร์ฟ
ฝาปิดถาดบุฟเฟ่ต์มีลวดลายเสือสลักไว้อย่างโดดเด่น
“จะเปิดล่ะนะ”
เมื่อสาวใช้อัตโนมัติเดินกลับไปและคิมชินรกนั่งลง วังจีโฮเริ่มดีดนิ้ว
วินาทีที่คลื่นพลังวิเศษของวังจีโฮเปลี่ยนเป็นพลังเวทแล้วผลักฝาเปิดออก ทุกคนได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในถาดโนเวลกูดอทคฺอม
“ฮะฮะฮะฮะ! อะฮะฮะฮะ!”
“เจ้าลูกชาย…”
“…”
วังจีโฮหัวเราะร่วน ส่วนคนอื่นตัวแข็งทื่อ
สายตาของเสือแดงกับแบคโฮกุนที่ไม่ขยับร่างกาย หันไปทางคิมชินรก
“ข…ข้าไม่ได้ทำจานนี้! เมนูเดียวที่ใช้ลูกพลับแห้ง… คือลูกพลับแห้งต้มน้ำขิงอบเชย! เดี๋ยวข้าจะไปยกอาหารที่ปรุงกับมือมาให้!”
คิมชินรกรีบแก้ตัว พลางสังเกตปฏิกิริยาของแบคโฮกุน ก่อนจะเดินกลับเข้าครัว
วังจีโฮที่หัวเราะคนเดียวอยู่สักพัก สงบสติอารมณ์แล้วพูด
“ดูเหมือนวิญญาณภูเขาจะแอบตั้งค่าให้สาวใช้อัตโนมัติปรุงเมนูแปลกๆ แล้วสับเปลี่ยนก่อนจะยกมาเสิร์ฟ”
“…ข้าจะไปจับวิญญาณภูเขามา”
เสือขาวกล่าวเสียงเย็นแล้วจากไป
ฉันที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทัน หันไปถามวังจีโฮ
“เกิดอะไรขึ้น”
“เสือขาวเกลียดลูกพลับแห้ง”
หา?
มีอาหารที่แบคโฮกุนเลือกกินด้วย?
“ในเผ่าเสือก็มีหลายคนไม่ชอบมัน แต่ที่น่าหงุดหงิดกว่านั้นก็คือ อาหารที่มีแค่คนกลุ่มเดียวไม่ชอบ กลับถูกทำเหมือนว่าเป็นจุดอ่อนของเผ่าเสือ”
ลูกพลับแห้งมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับเผ่าเสือสินะ
แต่ถ้าคำนึงจากนิสัย ค่อนข้างน่าแปลกที่แบคโฮกุนเกลียดมันอย่างเปิดเผย
วังจีโฮช่วยไขปริศนาราวกับอ่านใจฉันออก
“เมื่อก่อนคิมชินรกเคยแกล้งเสือขาว… ก่อนเสือขาวจะออกเดินทางไปฝึกวิชาตามลำพัง คิมชินรกแอบเปลี่ยนอาหารทั้งหมดของเขาให้กลายเป็นลูกพลับแห้ง… เสือขาวที่ได้กินแต่ลูกพลับแห่งนานแรมปี เริ่มเกลียดลูกพลับแห้งมานับแต่นั้น”
“ที่เสือขาวหงุดหงิดคงเป็นเพราะว่า เขาช่วยฝึกวิญญาณภูเขาอย่างเข้มงวด แต่อีกฝ่ายกลับแอบเตรียมอาหารที่ตัวเองไม่ชอบ”
วังจีโฮหัวเราะอีกครั้งขณะมองถาดบุฟเฟ่ต์ที่เต็มไปด้วยเมนูจากลูกพลับแห้ง
คิมชินรก เด็กมีปัญหาประจำเผ่าเสือ เคยมีวีรกรรมแบบนั้นด้วยสินะ
หรือสรุปได้ว่า คงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะสาธยายความแสบสันของเขาได้หมด
ในทางกลับกัน คิมชินรกที่ปรุงลูกพลับแห้งต้มน้ำขิงอบเชยในมื้ออาหารที่มีแบคโฮกุนร่วมวงด้วย ก็นับว่าใจกล้าไม่เลวทีเดียว
“ลูกชายของข้าชอบลูกพลับอบแห้งมาก ตอนนั้นเขาคงอยากให้เสือขาวได้ลิ้มลองความอร่อยของมัน… แต่กลับได้ผลตรงกันข้าม”
เสือแดงช่วยแก้ต่างให้ลูกชายพลางนั่งมองถาดใส่เมนูลูกพลับแห้ง
คำนึงจากปฏิกิริยา วังจีโฮกับเสือแดงคงไม่รังเกียจลูกพลับแห้งเท่าไร
ขณะคนที่เหลือบนโต๊ะลองชิมลูกพลับแห้งห่อวอลนัต ลูกพลับแห้งห่อผัก ลูกพลับแห้งปรุงรส ลูกพลับแห้งคานาเป้ ทีละชิ้น
แบคโฮกุนกลับมาพร้อมกับวิญญาณภูเขาในสภาพร่อแร่
คิมชินรกเองก็นำอาหารที่ปรุงกับมือมาอุ่นใหม่ รวมถึงทำเมนูใหม่ออกมาเสิร์ฟ
“เอาล่ะ ย้ายจานลูกพลับแห้งไปไว้หน้าคิมชินรกกันเถอะ”
“…สาบานได้ ข้าไม่ได้ทำจานไหนเลยนอกจากลูกพลับแห้งต้มน้ำขิงอบเชย”
“ข้าเข้าใจ เสือขาวน่ะน่าแกล้งจะตาย บางครั้งข้าเองก็อดใจไม่ไหว”
ไม่แน่ใจว่าเสือแดงพยายามปกป้องลูกชายหรือราดน้ำมันใส่แบคโฮกุนกันแน่
…เขาคงไม่เคยมีโอกาสแก้ต่างแทนลูกชายมาก่อน เลยยังไม่ชินเท่าไร
“ในตอนที่เจ้ายังเด็ก มันไม่ใช่ ‘บางครั้ง’ หรอกนะ”
วังจีโฮช่วยเสริม
ในตอนที่ยังเด็ก เสือแดงก็เป็นเด็กแสบเหมือนคิมชินรก?
ถ้าเป็นวังจีโฮเรายังพอนึกออก แต่พอเป็นเสือแดงแล้วดันไม่มีภาพ
“…เหล้าหวานดี”
แบคโฮกุนที่นั่งดื่มเงียบๆ ตัดสินใจพูดขึ้นมา
เหล้าทุกขวดที่คิมชินรกเตรียมมาล้วนมีกลิ่นหวาน และเหมือนจะมีรสหวานด้วย
ลูกพลับแห้งก็เช่นกัน สงสัยคิมชินรกจะชอบของหวาน
คิมชินรกที่คอยเหล่มองแบคโฮกุน พูดราวกับพยายามแก้ตัว
“สหายสุราของข้าไม่ชอบรสหวาน และถ้าดื่มคนเดียวก็ไม่สนุก ข้าเลยไม่มีโอกาสได้ดื่มพวกมันสักทีทั้งที่เป็นเหล้าดี”
“ยงเจกอน? เจ้าคนไร้เพื่อนนั่นยอมกินทุกอย่างที่ลูกหลานมังกรเสนอแท้ๆ … ทีแบบนี้ทำมาเป็นเรื่องมาก”
ยงเจกอนไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้วสินะ
และดูเหมือนคิมชินรกก็ไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้วเหมือนกัน เพราะสหายสุราคนเดียวที่ถูกเอ่ยถึงคือยงเจกอน
“เสือครามชอบน้ำข้าวหมัก… ปกติแล้วเจ้านั่นจะคออ่อน แต่ดันกินเหล้าหวานๆ ได้โดยไม่เหลือสักหยด”
“คิมชินรกติดรสหวานมาจากอาจารย์หรือเปล่านะ”
เสือครามเป็นอาจารย์ของคิมชินรก?
เสือครามคือผู้คิดค้นมวยพยัคฆ์ นั่นเท่ากับว่าคิมชินรกอาจเคยฝึกมวยพยัคฆ์
“ครูคิมชินรกเป็นมวยพยัคฆ์ด้วยหรือ”
“เปล่า… สิ่งที่ข้าเรียนจากท่านเสือครามคือศาสตร์จำแลงกาย มวยพยัคฆ์ไม่เหมาะกับข้าเท่าไร ลองเรียนอยู่สองสามหนแล้วไม่ได้เรื่อง คนที่สอนวิชาต่อสู้ให้ข้าคือท่านเสือขาว… แต่ก็ไม่ได้เรียนวิชาดาบใหญ่หรอกนะ”
ได้ยินว่าถ้าสรีระไม่ได้ ก็จะฝึกมวยพยัคฆ์ไม่ได้
ถึงจะเป็นลูกหลานเผ่าเสือก็ไม่ข้อยกเว้นสินะ
คิมชินรกแสดงศาสตร์จำแลงกายให้ดูต่อหน้า
เมื่อเขากวาดมือไปทั่วใบหน้าตัวเอง เค้าโครงลูกผสมระหว่างอุงเนียจอมคร่ำครวญกับเสือแดง กลายเป็นคุณครูที่ปรึกษาใจดีทันที
แทบไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังวิเศษเลย
ได้เห็นแบบนั้น เสือแดงถือโอกาสชมลูกชายออกนอกหน้า
ขณะบทสนทนาบนโต๊ะอาหารกำลังสุกงอม
“ถือโอกาสบอกตรงนี้เลยก็แล้วกัน… ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ข้าผู้นี้จะออกจากคาบสมุทรเกาหลี”
วังจีโฮประกาศแบบทิ้งระเบิด