〈ท่านใช้แสงประทานของตัวละคร ‘อัญเชิญเครื่องพิธี’ 〉
จากเหตุการณ์ ‘นางทรงของราชันเทพมังกร’ หนึ่งในเด็กฝึกนางทรงมีแสงประทานที่เหมาะแก่การเป็นนางทรงอย่างมาก
—อัญเชิญเครื่องพิธี—
ตามตัวอักษร มันคือแสงประทานที่สามารถเรียกอุปกรณ์จำเป็นสำหรับประกอบพิธีเข้าทรง
ในโลกนี้ เด็กฝึกนางทรงคนดังกล่าวยังมีอายุไม่ถึงสิบเจ็ด ยังไม่มีสิทธิ์ใช้แสงประทานของตัวเอง
ซ่า…!
ถัดจากเส้นทางเพลเยอร์ เครื่องมือมากมายลอยเข้ามาในความคิดฉันหลังจากเรียกใช้ ‘อัญเชิญเครื่องพิธี’
ไล่ตั้งแต่ขลุ่ยปล้องไผ่ ซอที่สายทำจากผ้าไหมเคลือบขี้ผึ้ง ถุงที่บรรจุกิ่งไม้ภูเขา หมวกทรงกรวยและชุดที่ถักจากไหมดิบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต เป็นต้น
จากบรรดาเครื่องพิธีทั้งหมด พัดคนทรง—เครื่องพิธีกรรมสำหรับปัดเป่า ถูกคลี่กว้าง
พรืด!
พัดร้อยทบกางออกจนสุด ลายบนพัดเป็น ‘ภาพวาด’ มังกรท่ามกลางพระจันทร์และพระอาทิตย์
มังกรตัวดังกล่าวคือมังกรคราม ซึ่งวาดเลียนแบบมังกรครามตัวจริง—หนึ่งในสัตว์วิเศษแห่งการปัดเป่าร่วมกับเสือขาว
〈ท่านใช้สกิลของตัวละคร ‘ปัดเป่า’ 〉
เมื่อสะบัดพัดมังกรครามสุริยันจันทรา คลื่นพลังวิเศษพลันเอ่อล้นเคลือบพัด ก่อนที่มังกรครามในภาพจะพุ่งใส่กองสัมภาระที่จางนัมอุกลากมา
ทั้งที่พัดใหญ่ขนาดนั้นโบกสะบัด แต่กลับไม่มีลมแม้แต่หนึ่งระลอก
สิ่งเดียวที่มันพัดออกไปคือ ‘ความชั่วร้าย’
“นี่มัน… เหลือเชื่อ…! คลื่นพลังวิเศษไม่เหมือนกับที่โชอึยชินใช้มาตลอด!”
“หืม… พิธีกรรมปัดเป่าของนางทรง”
จางนัมอุกกำลังเปิด ‘ดวงตาของดาวหญิงพรหมจรรย์’ ส่วนวังจีโฮเฝ้าดูพิธีปัดเป่าของฉันโดยรวบรวมพลังเวทสีทองไว้ในดวงตา
ในฐานะเสือขาว แบคโฮกุนเองก็มีสกิลปัดเป่า แต่พิธีกรรมของเขาจะเป็นการ ‘ฟันความชั่วร้าย’ ด้วยดาบยักษ์
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของพิธีปัดเป่าในคราวนี้มิใช่การขจัดคำสาป แต่เป็นสืบหาเบาะแส
หากจะค้นหาสิ่งผิดปกติ พิธีกรรมของนางทรงจะช่วยให้เห็นรูปร่างได้ชัดเจนกว่า
“ถึงจะเบาบาง แต่ก็มีรูปร่าง”
“…เหมือนกับเมล็ดพันธุ์คำสาปที่ฉันเห็นเลย!”
ตามที่วังจีโฮพูด คลื่นพลังวิเศษรูปทรงมังกรคราม กำลังคาบเมล็ดพันธุ์ไว้เต็มปาก
เมือกสีม่วงที่เคลือบเมล็ดพันธุ์คำสาปส่องแสงระยิบระยับ
ขณะมังกรครามที่ฉันอัญเชิญเริ่มจางลง
“ถอยไปก่อน”
ซา!
วังจีโฮที่มั่นใจว่ามันคือเมล็ดพันธุ์คำสาป เริ่มถักสานบาเรียด้วยพลังเวทสีทอง
ตอนแรกนึกว่าวังจีโฮจะดูอย่างเดียว พอสบโอกาสก็ยื่นมือช่วยเหลือทันที
แต่คราวนี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาวังจีโฮ
“ไม่ต้องกางบาเรีย”
พูดจบ ฉันตบสันพัดมังกรครามสุริยันจันทราที่ยังคลี่อยู่ ใส่มือซ้ายของตัวเองที่ยังว่าง
ซวา!
วินาทีที่พัดหุบสนิท สกิลแขนงของเด็กฝึกนางทรงเป็นอันทำงาน
〈ท่านใช้สกิลของเป้าหมาย ‘ข่มวิญญาณ’ 〉
แสงทรงกลดส่องจากพู่ผ้าไหมสีน้ำเงินและสีเขียวหยกตรงปลายด้ามพัดคนทรง ช่วยมอบความสว่างไสวแก่สภาพแวดล้อม
ซา!
ฉันคลี่พัดอีกครั้งแล้วสะบัดข้อมือไปทางเมล็ดพันธุ์ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างคมชัด
แตกต่างจากหนแรกที่ไม่มีกระแสลมเลย สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดเข้าหาเมล็ดพันธุ์
“โชอึยชิน นายกำลังทำอะไร…”
“ข่มวิญญาณ… เป็นการปลอบวิญญาณเพื่อให้มันเผยร่างจริง”
‘วิญญาณ’ มิได้ครอบคลุมแค่ ‘วิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ , ‘ภูต’ หรือ ‘ผีสาง’
แต่ยังรวมถึงพลังธรรมชาติ, ชีวิต, และจิตวิญญาณ
หนึ่งในวิญญาณข้างต้น ถูกฝังอยู่ในผลึกแห่งความชั่วร้ายรูปร่างเมล็ดพันธุ์
ซวี!
เมือกสีม่วงที่คลุมเมล็ดพันธุ์ ถูกฉาบด้วยแสงสีน้ำเงินแล้วค่อยๆ ลอกออก
วินาทีที่เมือกหายไปจนเผยให้เห็นรอยแตกบนเมล็ด
ซา…
ลวดลายและใบหน้าที่บิดเบี้ยวจำนวนมาก ลอยขึ้นราวกับควันแล้วอันตรธานหายไป ก่อนที่เปลือกของเมล็ดพันธุ์จะแหลกเป็นผุยผง
ฉันไม่รู้จักใบหน้าเหล่านั้น แต่จดจำลวดลายได้แม่นยำ
‘ถึงจะดูยุ่งเหยิง แต่มันคือสัญลักษณ์ของอวารีเทีย เทพอสูรแห่งละโมบ’
หลังจากยืนยันว่าเมล็ดพันธุ์คำสาปถูกชำระล้าง ฉันคลายแสงประทาน
ขณะเดินเข้าไปใกล้เมล็ดพันธุ์ มันถูกหุ้มด้วยบาเรียสีทองแล้วลอยขึ้นไปในอากาศ
“อึยชิน… เมื่อสักครู่… ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ แต่มันน่าทึ่งมาก! ไม่อยากเชื่อเลยว่าเมล็ดพันธุ์ชั่วร้ายจะถูกชำระล้างจนสะอาดขนาดนี้ได้”
ถัดจากจางนัมอุก วังจีโฮที่เคลื่อนย้ายเมล็ดพันธุ์มาไว้ข้างหน้าตน เผลอส่งเสียงอุทาน
“สะอาดหมดจด…”
“อย่าลืมใบหน้าที่เพิ่งเห็นนะ… มันคือ ‘ความทรงจำชั่วร้าย’ ของเมล็ดพันธุ์นั่น”
ขณะจางนัมอุกพยักหน้ารับ วังจีโฮพูดเสริม
“…มีใบหน้าที่ฉันคุ้นตาด้วย”
“หือ? คนรู้จัก?”
“เป็นคนของ TC กรุป ตำแหน่งใหญ่พอที่จะเคยเจอกับผู้นำวังมยองกรุป”
วังจีโฮเปิดดีไวซ์แล้วฉายรูปถ่าย
เป็นภาพของชายวัยกลางคนมาดภูมิฐาน กำลังยืนตอบคำถามนักข่าว
หนึ่งในใบหน้าที่ปรากฏขึ้นขณะทำพิธีปัดเป่าเมื่อครู่
“…ญาติของซีฮู!”
จางนัมอุกกล่าวเช่นนั้นแล้วกัดกรามด้วยใบหน้าสิ้นหวัง
ด้วยความอ่อนต่อโลก เขาคงจินตนาการไม่ออกว่าญาติพี่น้องทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันได้อย่างไร
“ลวดลายสุดท้ายที่ฉันเห็นเป็นของอวารีเทีย เทพอสูรแห่งละโมบ”
“ก็เหมือนอยู่นะ… ถึงจะบิดเบี้ยวและเจือจาง แต่ก็ไม่ผิดจากที่นายพูด”
“เทพอสูร? หมายถึงหนึ่งในเทพอสูรแห่งเจ็ดบาปมหันต์ที่เผ่าอสูรกราบไหว้บูชา? มีเบื้องบนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายซีฮูด้วยหรือ”
“คงไม่… หากเบื้องบนแทรกแซงด้วยตัวเอง โดซีฮูคงไม่จบแค่อาการบาดเจ็บ”
ถึงจะได้ยินแบบนั้น แต่จางนัมอุกก็ไม่รู้สึกดีขึ้น
เขากล่าวขณะก้มมองกระเป๋าเดินทางด้วยใบหน้าครุ่นคิด
“จะบอกเรื่องนี้กับใครดี… ตำรวจ? สมาคม? โรงเรียนเตรียมทหาร? หรือพ่อแม่ซีฮู?”
“ไม่ต้องบอกใคร”
จางนัมอุกทำหน้ามึนงงหลังจากได้ยินคำตอบฉัน แต่ไม่นานก็เริ่มใจเย็น
“เหมือนคดีซนมินกิเลย… ฉันไม่เข้าใจคำแนะนำของนาย แต่สุดท้ายแล้วผลออกมาดี นายเป็นคนแบบนั้นเสมอ”
ความสับสนและกังขาถูกขจัดจากดวงตาจางนัมอุก แทนที่ด้วยความเชื่อใจโuเวลฺกูดoทคoม
“แล้วฉันควรทำยังไงต่อ”
คิดไม่ทันแฮะ
…คิดไม่ถึงว่านายจะเชื่อใจฉันง่ายขนาดนี้
ฉันกล่าวพลางตรวจสอบของใช้ส่วนตัวของโดซีฮูที่เคยมีเมล็ดพันธุ์ซุกซ่อน
“ย้อนกลับไปตอนนั้น ผู้นำเผ่ากระต่ายบอกว่าเธอเห็นลางมรณะบนใบหน้าโดซีฮู… แปลว่ากลิ่นอายความตายต้องเข้มข้นพอสมควร อาการบาดเจ็บครั้งนี้อาจยังไม่ใช่จุดจบ”
“จริงด้วย… ฉันยังไม่ควรด่วนดีใจสินะ”
“ถ้ามีของใช้ถูกส่งเข้ามาเพิ่ม คอยจับตาดูเอาไว้เหมือนเดิม ถ้าเกิดเรื่องให้รีบบอกทันที และหาโอกาสสับเปลี่ยนของใช้มาให้ฉัน”
“ถ้างั้นระหว่างนั้น ซีฮูก็ต้อง….”
“บาดเจ็บเล็กน้อย แต่คงไม่ถึงกับตาย”
จางนัมอุกหลับตาสนิทพร้อมกับผงกศีรษะรับ
วังจีโฮกล่าวบางสิ่งขณะมองฝ่ายหลัง
“กระต่ายจันทร์อ่อนไหวต่อความตาย ฉันไม่แน่ใจว่ามันลุกลามถึงขั้นไหนแล้ว แต่ถ้านังกระต่ายจันทร์ทักว่าเห็นลางมรณะ ลำพังพิธีปัดเป่าแค่นี้ยังไม่พอ”
วังจีโฮชี้ไปที่ดวงตาจางนัมอุก
“พยายามปกปิดดวงตาไว้เป็นความลับ และคอยจับตามองมนุษย์ที่มีลางมรณะคนนั้นทุกฝีก้าว เพราะเราไม่รู้ว่าความตายจะมาเยือนที่ไหนและเมื่อไร”
“อา… ฉันใส่แว่นตาพิเศษที่ช่วยปกปิดดวงตาไว้แล้ว”
คงไม่ใช่แค่ปัญหาด้านสายตาสินะ ที่ทำให้โดซีฮูชอบแกล้งจางนัมอุกด้วยการขโมยแว่น
“ดวงตาของดาวหญิงพรหมจรรย์จะสว่างขึ้นเรื่อยๆ นายไม่มีทางซ่อนแสงดาวได้ด้วยแว่นเพียงอย่างเดียว… ขอยืมหน่อย”
“หือ”
วังจีโฮที่ตีความเอาเองว่า ‘หือ’ ของจางนัมอุกหมายถึงการอนุญาต ถอดแว่นของอีกฝ่ายออก
เมื่อใช้ปลายนิ้วลูบกรอบแว่น วงแหวนเวทถูกสลักอยู่ด้านในกรอบทันที
ประกายสีทองสว่างวาบอยู่สองสามหน จนไม่นานวงแหวนเวทก็หายไป
“…ดูเหมือนการฝังพลังเวทโดยไม่ให้เห็นจากภายนอก จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่คิด”
“…นายทำอะไรลงไป”
“แว่นอันนี้จะช่วยปกปิดดวงตาของนายได้อีกสองเลเวล ระหว่างนั้นคงไม่มีมนุษย์คนไหนดูออก”
วังจีโฮช่วยเหลือจางนัมอุก
ดูเขาจะชอบดวงตาของดาวหญิงพรหมจรรย์เป็นพิเศษ
วังจีโฮสวมแว่นคืนให้จางนัมอุก บอกให้ลองใช้สกิล แล้วช่วยเสริมวงแหวนเวทอีกชั้น
จางนัมอุกดูงุนงง แต่สีหน้ากำลังสื่อว่า ‘เพื่อนของอึยชินถึงจะแปลกแต่ก็เจ๋งชะมัด!’
ถัดมา พวกเราปรึกษากันเกี่ยวกับโดซีฮูและเมล็ดพันธุ์คำสาป จนกระทั่งตกดึกสงัดก็แยกย้าย
“คงให้นอนบ้านหลังใหญ่ใจกลางสวนวงกตไม่ได้ ระบบความปลอดภัยมันซับซ้อน แต่ถ้านายอยากค้างคืน ฉันยินดีให้ยืมบ้านหลังเล็กรอบๆ”
ฟังจากข้อเสนอ วังจีโฮน่าจะถูกใจจางนัมอุกพอสมควร แต่ฝ่ายหลังส่ายหน้า
“ฉันบอกพ่อแม่แล้วว่าจะกลับบ้านหลังจากคุยกับอึยชินเสร็จ ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้วล่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง… งั้นเดี๋ยวให้เลขาไปส่งที่หน้าประตู”
“ฉันจะกลับด้วย”
สื่อเป็นนัยว่าไม่จำเป็นต้องเรียกเลขา เพราะฉันจะนำทางจางนัมอุกให้เอง
“โชอึยชิน นายต้องค้างคืน”
วังจีโฮกล่าวอย่างหนักแน่น
* * *
กลิ่นเลือดเริ่มแรงขึ้น
“ตอบข้ามาสิ แล้วข้าจะตอบ”
“คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ตั้งเงื่อนไขหรือไง”
ได้ยินคำพูดอย่างเย็นชาของเสือขาว จอมลอกเลียนพูดอีกครั้ง
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าสูญเสียชื่อแท้เพราะรักสนุก… เสือขาว ชื่อแท้ของเจ้าน่ะ…”
เมื่อคำว่าชื่อแท้หลุดออกมา มือของเสือขาวที่เตรียมเฉือนเนื้อจอมลอกเลียนอีกครั้งมีอันต้องชะงัก
“…เจ้าใช้มันเพื่อขจัดพรคุ้มครองสินะ”
* * *
วันนี้วังจีโฮช่วยอำนวยความสะดวกให้หลายเรื่อง ฉันจึงยอมทำตามที่เขาพูด
มีเรื่องอยากจะถามอยู่พอดี
‘ถามอะไรก่อนดีนะ’
ข้อสงสัยเพียบเลย
ก็น่าขอบคุณอยู่หรอกที่วังจีโฮช่วยเหลือจางนัมอุก แต่บางสิ่งกวนใจฉันมาสักพักแล้ว
หลังจากส่งจางนัมอุกที่หน้าคฤหาสน์ ฉันถามวังจีโฮระหว่างทางกลับ
“นายไม่คิดจะปกปิดตัวตนแล้วหรือไง”
ไม่ว่าจะตอนอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น หรืออยู่กับจางนัมอุกเมื่อครู่
ผิดจากช่วงต้นภาคเรียน ตาแก่คนนี้ดูไม่พยายามปกปิดความเป็นเสือเหมือนเมื่อก่อน
‘ตอนแรกก็พูดจาเหมือนวัยรุ่นอยู่หรอก แถมกำชับไม่ให้ฉันแพร่งพรายตัวจริง’
ฉันรู้สึกขนลุกเมื่อนึกถึงช่วงต้นภาคเรียน สมัยที่วังจีโฮยังเรียกว่า ‘อึยชิน’ เฉยๆ เหมือนกับเพื่อนคนอื่น
“มีเหตุผลให้ต้องซ่อนด้วยหรือไง”
“ช่วงแรกไม่ได้พูดแบบนี้นี่”
“มันน่ารำคาญเวลาถูกจับได้ว่าเป็นเผ่าแท้ มันวุ่นวายน่ะ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“เพราะถึงถูกจับได้ก็คงไม่วุ่นวาย”
ตอนนั้นกับปัจจุบันต่างกันยังไง?
หรือตาแก่นี่เป็นพวกสองบุคลิก?
ขณะฉันคาดเดา คราวนี้วังจีโฮเป็นฝ่ายถาม
“ฉันสงสัย… โชอึยชิน นายใช้พลังของฉันได้ไหม”
“ไม่ได้”
“ดูท่าจะไม่ใช่แค่การเลียนแบบแสงประทานของคนอื่น เพราะแสงประทานของลูกหลานเผ่ามังกรที่นายใช้ตอนทำลายงานประมูลมายา… นั่นสินะ แสงประทานคงเลียนแบบกันไม่ได้อยู่แล้ว”
วังจีโฮครุ่นคิด
แม้ตอนนี้จะมีคำถามเต็มหัว แต่สามัญสำนึกบอกกับเขาว่า การซักไซ้ความลับแสงประทานของคนอื่นถือเป็นเรื่องเสียมารยาท จึงยอมเปลี่ยนคำถาม
“ฉันคาใจกับคำพูดในอดีตของนาย”
“อันไหน”
“…หนึ่งใน ‘สิ่งที่นายรู้’ คือสถานการณ์ที่เสือแดงจะแต่งดำไปตลอดชีวิต?”
ฉันเคยพูดแบบนั้นในตอนที่เป็นกาวใจให้เสือแดงกับคิมชินรก
—เสือแดงจะแต่งดำไปตลอดชีวิตถ้าครูคิมชินรกเป็นอะไรไป
วังจีโฮพยายามวิเคราะห์ตัวจริงของฉันมาตลอด
…ถึงจะแก้ตัวว่าเป็นการเปรียบเปรยก็คงฟังไม่ขึ้น
“ใช่”
“…อย่างนี้นี่เอง”
วังจีโฮพูดด้วยใบหน้าสุขุม
“ถ้าวันนั้นนายไม่ได้อยู่ที่โรงยิม คิมชินรกก็จะตาย เสือแดงก็จะแต่งดำไปตลอดชีวิตสินะ”
ความเงียบเข้าครอบงำชั่วขณะ
เพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัด ฉันเปลี่ยนเป็นฝ่ายถาม
“ได้ยินว่าการ ‘นิทรา’ ของเผ่าแท้ไม่เหมือนกับมนุษย์ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย”