ถ้าจางนัมอุกที่มี ‘ดวงตาของดาวหญิงพรหมจรรย์’ เห็นแบบนั้น จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้
‘เผ่าอสูรที่ปลูกเมล็ดพันธุ์คำสาปมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยสินะ’
เผ่าอสูรไม่ค่อยปรากฏตัวในเกมมากนัก
เผ่าอสูรมีจำนวนมากกว่าเผ่าแท้ใดทั้งหมด และด้วยความพิเศษนั้น พวกมันจึงชอบใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยไม่รวมกลุ่ม
จึงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาพฤติกรรมของเผ่าอสูร เช่นเดียวกันกับการประเมินและชั่งน้ำหนักพฤติกรรมของพวกมัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หนึ่งสิ่งที่ยืนยันได้คือพวกมันเป็น ‘ศัตรู’
‘หลังจากจูเก่อแจกอลตาย เผ่าอสูรบางตนถึงกับฉลอง’
ฉันยังจำลวดลายที่สลักบนชุดคลุมของเผ่าอสูรตนนั้นได้
เบื้องบนนามว่า ‘อวารีเทียแห่งละโมบ’ หนึ่งในเทพอสูรแห่งเจ็ดบาปมหันต์
เผ่าอสูรที่สวมชุดคลุมของเทพอสูรตนดังกล่าว คือนักบวชระดับสูงสุดในหมู่สาวกอวารีเทีย
‘มันเชื่อมโยงกับอาการบาดเจ็บของโดซีฮู… แต่เรายังสรุปไม่ได้ว่านักบวชของอวารีเทีย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบสังหารระหว่างสี่กลุ่มใหญ่’
อุบัติเหตุครั้งนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารโดซีฮู
เนื่องจากการต่อสู้ในเงามืดระหว่างสี่กลุ่มใหญ่ยังไม่เริ่มขึ้น และถ้าคำนึงจากสถานการณ์ปัจจุบันของแต่ละกลุ่ม จอมบงการคงไม่ได้ประโยชน์อะไรที่จะจุดชนวนสงครามขึ้นมา
ต้องไม่ลืมว่า บาดแผลของโดซีฮูถูกสมานได้ด้วยไอเท็มฟื้นฟู
ไม่มีทางที่พวกมันจะลงมือลอบสังหารได้งุ่มง่ามขนาดนั้น
จางนัมอุกใช้นิ้วชี้ขยับกรอบแว่นแล้วเล่าต่อ
“ถึงซีฮูจะใช้ศาสตร์แห่งไฟฟ้าเป็นหลัก แต่หลักสูตรของโรงเรียนเตรียมทหารกำหนดให้นักเรียนต้องฝึกฝนร่างกายเป็นประจำ”
“ทางโรงเรียนแสงเงินก็มี การฝึกร่างกายจะช่วยให้เลเวลค่าสถานะโดยรวมสูงขึ้น”
เมื่อวังจีโฮเสริม จางนัมอุกพยักหน้ารับ
“ใช่ ตามที่จีโฮบอก เรายังเพิ่ม ‘การฝึกอาวุธทางกายภาพ’ เข้าไปในหลักสูตรฝึกด้วยตัวเองเพื่อยกระดับค่าสถานะโดยรวม… วันนี้เป็นการฝึกจู่โจมรอยแยกโดยตั้งค่าความยากของซิมูเลเตอร์ให้ต่ำลง แต่จำกัดให้ใช้แค่สกิลต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น…”
โดซีฮูเลือกอาวุธเป็นดาบคู่ เนื่องจากเคยเข้าโรงฝึกดาบเดียวกับจูซูย็อก
ช่วงแรกของการจู่โจมเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ปัญหาเกิดขึ้นในห้องบอส
“เมื่อบอสมาอยู่ตรงหน้า การเคลื่อนไหวของซีฮูช้าลงกะทันหัน จากนั้นชั่วขณะหนึ่ง ร่างกายของเขาแน่นิ่งไปเลย ส่งผลให้ถูกบอสโจมตีจนสลบ… แต่เรื่องแปลกก็คือ ซีฮูไม่ถูกบังคับให้ออกจากซิมูเลชัน”
“แม้ว่าจะตรงตามเงื่อนไขบังคับดีดออก?”
“ใช่ เงื่อนไขบังคับดีดตัวถูกตั้งให้เป็นค่ามาตรฐาน แต่ตอนนั้นหลอดพลังชีวิตของซีฮูกลายเป็นศูนย์แล้ว”
ซิมูเลเตอร์รอยแยกจะมีการจำลองค่า HP ของเพลเยอร์ โดยถ้าได้รับความเสียหายมากเกินกว่าปริมาณที่กำหนด เพลเยอร์จะถูกบังคับให้ออกจากการจำลอง
นอกจากนั้น ไม่ว่าเงื่อนไขการดีดตัวจะตั้งไว้เข้มงวดแค่ไหน แต่เอนามีจำลองก็ไม่มีทางทำอันตรายเพลเยอร์จนถึงแก่ชีวิต
เดิมที ถ้าสัญญาณชีพของเพลเยอร์ลดลงจนต่ำกว่าค่าหนึ่ง ไม่ใช่แค่เพลเยอร์คนนั้นที่ถูกดีดออก แต่ซิมูเลเตอร์รอยแยกจะปิดตัวเองพร้อมกับส่งสัญญาณเรียกศูนย์การแพทย์และสมาคมเพลเยอร์ใกล้เคียง
“พอเห็นซีฮูเริ่มเคลื่อนไหวไม่ปกติ ฉันเร่งพลังดวงตาจนสุดแล้วมองไปทางเขา… นั่นคือตอนที่เห็นเมล็ดพันธุ์ครั้งแรก”
“แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ”
“ทันทีที่ซีฮูบาดเจ็บ เพื่อนๆ ช่วยกันเอาตัวบังแล้วเผชิญหน้ากับเอนามีบอส แต่เด็กทุกคนที่เข้าใกล้ซีฮูต่างก็เคลื่อนไหวได้ช้าลง…”
ครูฝึกที่คอยกำกับพยายามหยุดเครื่องซิมูเลเตอร์รอยแยกแล้ว แต่ก็มีเพียงข้อความเออเรอร์แสดงขึ้นโดยไม่ยอมปิดตัวลง
“เกรดของเอนามีบอสค่อนข้างต่ำ อย่างแย่ก็ไม่ถึงตาย แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนั้นซีฮูจะเจ็บหนักมาก เพื่อนที่เป็นเนิร์ดเครื่องจักรจึงฝืนปิดเครื่องซิมูเลเตอร์ด้วยการทำลายมัน”
“เนิร์ดเครื่องจักร?”
“คนที่ขับทิลต์โรเตอร์คราวก่อนไง เครื่องซิมูเลเตอร์รอยแยกจะเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานแบบไร้สาย เพื่อนคนนั้นจึงแทงพลั่วสนามเข้าไปในแหล่งจ่ายพลังงาน”
อัจฉริยะเครื่องจักรที่ทำงานกับสถาบันวิจัยในเครือกระทรวงกลาโหมคนนั้นสินะ?
…ทำลายด้วยพลั่วสนาม?
คงใช้พลั่วสนามเป็นอาวุธอยู่แล้ว
หรือไม่ก็เป็นคนแปลกที่ชอบพกพลั่วสนามไปไหนมาไหน
“ต้องขอบคุณการทำลายทรัพย์สินโรงเรียนด้วยเจตนาดี โดซีฮูจึงบาดเจ็บไม่มาก… ใจหายแทบแย่”
จางนัมอุกเสริมด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้ง
“…แม้ว่าเพื่อนคนนั้นจะสนใจเครื่องซิมูเลเตอร์ที่พังมากกว่าซีฮูที่บาดเจ็บ แต่ถ้าไม่แก้ไขปัญหาด้วยวิธีดังกล่าว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซีฮูจะเจ็บหนักแค่ไหน”
ดูท่าจะเป็นเด็กแปลกกว่าที่คิดแฮะ
เมื่อจางนัมอุกอธิบายสถานการณ์จบ เขาเปิดสัมภาระที่ลากมาด้วย
ด้านในเต็มไปด้วยไอเท็มในชีวิตประจำวันของเพลเยอร์ เช่นของใช้อย่างภาชนะกินข้าวและผ้าขนหนู อุปกรณ์ดูแลตัวเอง และการ์ดไอเท็มฟื้นฟู
“นี่คือของใช้ทั้งหมดที่ซีฮูเริ่มใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม มีของใช้สิ้นเปลืองรวมอยู่ด้วย บางชิ้นจึงถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว”
ฉันถามวังจีโฮข้างๆ ที่กำลังก้มมองสัมภาระ
“นี่”
“ว่ามา”
“รู้สึกถึงอะไรบ้างไหม”
“ไม่เลย อาจมีคลื่นพลังวิเศษตกค้างอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรสะดุดตา มันจะยิ่งตรวจสอบได้ยากถ้าคลื่นพลังวิเศษเปลี่ยนเป็นพลังเวทหรือพลังศักดิ์สิทธิ์”
เนื่องจากโรงเรียนเตรียมทหารคัดกรองของใช้อย่างเข้มงวด เป็นธรรมดาที่จะไม่พบเบาะแสใดจากสัมภาระของนักเรียน
‘…ยังไม่เที่ยงคืน’
ในโลกนี้ เวลาที่แสงประทานจะรีเซตใหม่คือเที่ยงคืนตรงในไทม์โซน +9:00 GMT ซึ่งตรงกับเวลาของกรุงโซล
กล่าวคือ ก่อนจะถึงเที่ยงคืน ฉันไม่ต้องกังวลว่าจะใช้แสงประทานจนหมดโควตาประจำวัน
“ถอยไป”
ไม่มีความจำเป็นต้องลังเลที่จะใช้แสงประทาน เนื่องจากวังจีโฮรู้ความลับของฉันแล้ว และจางนัมอุกที่เป็นคงซื่อตรงย่อมไม่ขายเพื่อน
〈ท่านใช้แสงประทาน ‘เส้นทางเพลเยอร์’ 〉
วาบ!
ต้องขอบคุณการฝึกควบคุมแสงประทานตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ปลายนิ้วของฉันมีการ์ดลอยออกมาเพียงหนึ่งใบโuเวลกูดอทคฺอม
ตัวละครที่ฉันใช้คือผู้ท้าชิงตำแหน่ง ‘นางทรง’ ซึ่งเป็นตัวละครหลักในเหตุการณ์ ‘นางทรงแห่งราชันเทพมังกร’
* * *
ย่านการวิจัยของโรงเรียนแสงเงิน, ตึกวิจัยหมายเลขสี่, ชั้นใต้ดินของตึกเงาเงิน
ณ ในชั้นใต้ดินที่ไม่มีสัญลักษณ์ใดแสดงถึงโรงเรียนแสงเงินเลย
ด้านนอกบาเรีย เสือแดงกำลังยืนพิงกำแพง
อีกฟากหนึ่งของบาเรียคือคิมชินรก ลูกชายของเขาที่พักหลักได้คุยกันบ่อยขึ้น
—วันนี้จะสอบปากคำ ‘จอมลอกเลียน’
ก่อนเข้ามาที่นี่
คิมชินรกพูดราวกับกำลังรายงานผู้บังคับบัญชา
เสือแดงเชื่อว่าคิมชินรก—นักทรมานมืออาชีพ—จะทำหน้าที่นี้ได้ดี แต่ก็ยังกังวลเรื่องที่อีกฝ่ายซึ่งเป็นลูกหลานของเผ่าหมี จะต้องรับมือกับจอมลอกเลียนที่เป็นมือขวาของผู้นำเผ่าหมี
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เสือแดงขอติดตามไปด้วย และคิมชินรกก็ผงกศีรษะรับเงียบงันด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ประหนึ่งเสือเห็นผลเกาลัด
หลังจากสองพ่อลูก เสือแดงและคิมชินรก สามัคคีกันย้ายมายังชั้นใต้ดินของตึกเงาเงินที่จอมลอกเลียนถูกขังอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก
เพื่อเริ่มทรมานเหยื่อ คิมชินรกบรรจงตอกหมุดโลหะและไส้ดินสอแหลมเข้าไปในเล็บและลิ้นของจอมลอกเลียน ก่อนจะทำหน้าลังเลแล้วกล่าว
—ข้าไม่มีสมาธิเวลาถูกท่านจ้อง… ไว้ถ้ามีเรื่องสำคัญแล้วจะเรียก ตอนนี้ท่านช่วยออกไปรอข้างนอกก่อนเถิด
เสือแดงพยักหน้ารับ เมื่อคิมชินรกที่เมื่อก่อนแทบไม่เคยแสดงสีหน้า กล่าวออกมาแบบนั้น
—ข้าขอโทษ ท่านอุตส่าห์ถ่อมาตั้งไกล…
—เพื่อการแลกเปลี่ยน หากท่านมีเวลา… ข้าเพิ่งได้เครื่องดื่มดีๆ มา… และถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้ายินดีทำกับแกล้มให้…
คิมชินรกชวนดื่มอย่างตะกุกตะกักขณะเสือแดงเดินออกจากบาเรีย
แม้กลิ่นเลือดเผ่าหมีที่นอนหมดสภาพจะเหม็นคละคลุ้ง แต่เสือแดงที่ได้ยินคำชวนอันเคอะเขินของลูกชาย กำลังอิ่มเอมใจเหนือพรรณนา
‘ไม่อยากเชื่อว่าจะถึงวันที่เด็กคนนี้เป็นฝ่ายชวนเราดื่ม!’
เสือแดงกับคิมชินรกอยู่ด้วยกันมานาน แต่เสือแดงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถูกล่ามบนเครื่องลงทัณฑ์ จึงไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่พ่ออย่างเหมาะสม
หลังจากโลกปะทะกับต่างมิติ เขาลงจากเครื่องลงทัณฑ์เพื่อมาช่วยงานเสือเหลือง แต่ก็ยังไม่กล้าทำหน้าที่ของพ่อ เนื่องจากลูกชายได้ขีดเส้นแบ่งด้วยการเรียกว่า ‘ท่านเสือแดง’
เสือเหลืองคอยจัดปาร์ตี้เป็นระยะ แต่คิมชินรกจะขอปลีกตัวเสมอถ้ามีเสือแดงอยู่ในงาน
‘ต้องขอบคุณท่านเสือเหลือง’
เสือแดงนึกถึงพันธสัญญาที่ทำกับเสือเหลืองสมัยที่ถูกเผ่าหมีหักหลัง
ถ้าไม่มีพันธสัญญาดังกล่าว วันนี้ก็คงมาไม่ถึง
ขณะระลึกถึงอดีต เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย
กึก กึก
เจ้าของกลิ่นอายเดินเข้ามาโดยไม่ซ่อนเสียงฝีเท้า
เสือแดงไม่จำเป็นต้องระแวง เนื่องจากมีเพียงเผ่าเสือกับลูกหลานเท่านั้นที่เดินสองขาในตึกนี้
ขณะอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้จนมองเห็นใบหน้า เสือแดงกล่าวกับเจ้าของเสียงฝีเท้า
“เสือขาว เจ้ามาสอบปากคำจอมลอกเลียนหรือ”
“ใช่”
ด้วยสีหน้านิ่งเฉย เสือขาวกำลังอุ้มสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขน
เสือแดงหยอกล้อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้วพูดต่อ
“รอก่อนได้ไหม ลูกชายข้าอยากทดสอบอะไรบางอย่าง”
เสือขาวเดินเข้ามาใกล้เสือแดง แล้ววางสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ลง
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กระดิกหาง เงยหน้ามองสองเสือ ดมบาเรียแล้ววิ่งวนไปรอบๆ
“เรียกว่าลูกชายได้เต็มปากแล้วสินะ”
“ในเมื่อเขามองข้าเป็นพ่อ ข้าก็ต้องเรียกเขาแบบนั้น”
“ได้คุยกันบ่อยไหม”
“อา… โรงเรียนแสงเงินปิดเทอมพอดี เลยมีโอกาสได้เจอกันเยอะ…”
ถัดมาเป็นการพูดฝ่ายเดียวของเสือแดง
เขาเล่าถึงสิ่งที่คุยกับคิมชินรก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และเรื่องที่ต่างคนต่างถนัด
ยิ่งได้เล่า ใบหน้าก็ยิ่งเผยความภูมิใจในตัวลูกชาย
ขณะเสือแดงเตรียมอธิบายวิธีที่คิมชินรกใช้รีดข้อมูลจากเผ่าหมีที่เพิ่งถูกจับ
เสือขาวที่เงียบฟังมาตลอด อยู่ๆ ก็เปิดปาก
“ออกมาได้แล้ว”
“…หือ”
ขณะเสือแดงสงสัย ประตูด้านหลังเปิดออก
แอ๊ด…
ผู้เปิดประตูไม่ใช่ใครนอกจากคิมชินรกผู้มีใบหน้าแดงก่ำ
ใบหน้าซีกขวาที่เป็นตาชั้นเดียวเหมือนกับเสือแดง เผยให้เห็นจากซอกประตูแคบๆ
เสือแดงเริ่มกระอักกระอ่วนหลังจากนึกขึ้นได้ว่า พฤติกรรมของตนแทบไม่ต่างจากผู้นำเผ่ามังกร
คิมชินรกเดินออกจากประตูแล้วก้มศีรษะ
“…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง ขอโทษ”
“…ไม่เป็นไร”
สองพ่อลูกกระอักกระอ่วนจนแทบหายใจไม่ออก
บ๊อก บ๊อก!
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เห่าเสียงสดใส
ทั้งเสือแดงและคิมชินรกหันไปมองเสือขาวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ราวกับต้องการขอความช่วยเหลือ แต่เสือขาวเดินเข้าไปในบาเรียอย่างไม่แยแส
เมื่อข้ามเขตแดน กลิ่นเลือดจางๆ ลอยมาตามลม
คิมชินรกเก็บกวาดเบื้องต้นไปแล้วก็จริง แต่กลิ่นเลือดไม่มีทางขจัดได้หมด เนื่องจากเผ่าหมีหลั่งเลือดในปริมาณมาก
“อะ…! แค่ก…!”
จอมลอกเลียนที่ไม่ยอมพูดสักคำแม้จะถูกคิมชินรกทรมานอย่างแสนสาหัส พลันอ้าปากกว้างด้วยร่างกายสั่นสะท้านเมื่อเห็นเสือขาว
“…”
เสือขาวก้มมองจอมลอกเลียนด้วยสายเย็นชา
“เจ้าเคยพูดว่า: ในเมื่อเรื่องแบบนั้นยังเกิดขึ้นได้ ย่อมเป็นธรรมดาที่ ‘ในทางกลับกัน’ เกิดขึ้นได้เช่นกัน… สินะ”
ย้อนกลับไปในตอนที่โชอึยชินใช้พลังของเสือขาว จอมลอกเลียนกล่าวเช่นนั้นพลางวาดมือไปในอากาศ
ชิ้ง!
หลังจากชื่อของดาบถูกเอ่ย ดาบใหญ่ที่มีด้ามจับสีแดงเข้ม—กรงเล็บล่าหมี ปรากฏขึ้นในมือเสือขาว
สมัยที่เทพมนุษย์ เผ่าเสือ และเผ่าหมีทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงอำนาจเหนือคาบสมุทรเกาหลี
เป็นดาบใหญ่เล่มนี้นี่เอง ที่ทำให้จอมลอกเลียนต้องเผชิญความอัปยศหลายคราในแนวหน้า จนเกิดเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะครอบครองมัน
ราวกับถูกสิงสู่ จอมลอกเลียนเอาแต่มองกรงเล็บล่าหมีที่เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์ของตนไปมากมาย
“คำพูดนั้นสื่อถึงอะไร… บอกมา”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ละสายตาจากกรงเล็บล่าหมี เสือขาวเสริม
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำของเจ้า”