เขตอึนกวาง, สถานรับเลี้ยงเด็กประกายแสงเงิน
ฮันอีเคยอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยมันยังมีชื่อว่า ‘สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า’ ประกายแสงเงิน
กงชองวอนที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลาย ได้พบฮันอีนอนหมดสติอยู่หน้าสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่เขาอาสาทำงานอยู่
สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ารับฮันอีที่ไม่ทราบชื่อกับอายุไปดูแล และพยายามสืบประวัติของเธอแต่ก็ไม่สำเร็จ
ในท้ายที่สุด สถานสงเคราะห์อาศัยความช่วยเหลือจากศูนย์สุขภาพ เพื่อตรวจสอบพัฒนาการของฮันอีจนสามารถระบุได้ว่ามีอายุห้าขวบ จึงดำเนินเรื่องทำทะเบียนราษฎร์อย่างเป็นทางการให้
แม้ว่าทั้งวิทยาศาสตร์และศาสตร์พลังวิเศษจะรักษาอาการหูหนวกของเธอไม่ได้ แต่ฮันอีก็สามารถสื่อสารกับคนรอบข้างและทำความเข้าใจโลกได้อย่างไม่ยากเย็น
เธอร่ำเรียนอย่างหนักจนสอบติดโรงเรียนพลังวิเศษอันดับหนึ่งของเกาหลี ด้วยคะแนนสูงกว่านักเรียนหัวกะทิส่วนใหญ่ของประเทศ
‘วันนี้ก็ไม่มีสินะ’
เมื่อก้าวเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็กแล้วสำรวจตู้วางรองเท้า ฮันอีรักษาสีหน้าไร้อารมณ์โดยพยายามปกปิดความผิดหวัง
ตู้รองเท้าแตะสำหรับแขกและบุคคลภายนอก ยังคงมีรองเท้าแตะวางอยู่เต็มเช่นเคย
หมายความว่าวันนี้ไม่มีอาสาสมัครเข้ามาทำงาน และไม่มีเด็กใหม่มาฝึกงานเตรียมเป็นอาสาสมัคร
“พี่ฮันอี!”
“พี่สาว…!”
เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอาย ฮันอีหันไปมองทางห้องเล่นเด็ก
เด็กๆ ต่างหยุดเล่นแล้ววิ่งกรูเข้ามาหา
ฮันอีอ่านปากพวกเขาแล้วทักทายกลับไปทีละคน
เมื่อทักทายเสร็จ ครูและผู้อำนวยการของสถานรับเลี้ยงเด็กที่สวมถุงมือยางสำหรับทำความสะอาด เดินเข้ามาหา
“ฮันอี มาแล้วหรือ”
“บอกไปแล้วไงว่าไม่ต้องมาก็ได้… คราวนี้ซื้ออะไรมาแจกอีกล่ะ”
ครูอมยิ้มเมื่อเห็นเด็กแต่ละคนถือไอศกรีมที่ฮันอีซื้อมาแบ่ง
ฮันอีมิอาจละสายตาจากถุงมือยางโทรมๆ ที่ทั้งสองกำลังสวมเพื่อทำความสะอาด
สังเกตเห็นสายตาหญิงสาว ผู้อำนวยการพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ช่วงนี้แทบไม่มีอาสาสมัครเลย… ปกติแล้วช่วงปิดภาคเรียนจะมีนักเรียนมาช่วยงาน แต่ปีนี้หนักเป็นพิเศษ”
ฮันอีเม้มปากแน่น
ในระยะหลังมีคนเจ้าเล่ห์บางกลุ่ม ใช้วิธีสกปรกกดดันให้สถานรับเลี้ยงเด็กย้ายออกไป
ชุมชนอพาตเมนต์ละแวกใกล้เคียงได้เลือกตัวแทนคนใหม่ขึ้นมา และบุคคลดังกล่าวอ้างว่าการมีอยู่ของสถานรับเลี้ยงเด็กทำให้ราคาที่ดินลดลง
ไม่ใช่แค่ตัวแทนคนใหม่ แต่ทางชุมชนยังจ้างนักเลงมาป้วนเปี้ยนรอบสถานรับเลี้ยงเด็ก ส่งผลให้ครูกับอาสาสมัครหวาดกลัวจนทยอยลาออก แถมยังถูกตัดเงินสนับสนุน
แต่ทางสถานรับเลี้ยงเด็กยังคงยืนหยัดมาได้ตลอด
อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาด้านการเงินแล้ว
“ได้รับเงินบริจาคมาเยอะเลยไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ซื้อหุ่นยนต์ทำความสะอาดมาใช้”
“เราไม่ควรใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย… ไม่มีทางรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ผู้อำนวยการยิ้มให้กับคำพูดของครู
ไม่นานหลังจากฮันอีสอบติดโรงเรียนแสงเงิน ทางมูลนิธิวังมยองได้บริจาคเงินจำนวนมหาศาลให้กับสถานรับเลี้ยงเด็ก ยอดบริจาคสูงกว่าสองเท่าของเงินบริจาคสะสมที่สถานรับเลี้ยงเด็กได้รับมาตั้งแต่ก่อตั้ง
ผู้อำนวยการตื่นตระหนกกับเงินบริจาคก้อนใหญ่มาก แต่กงชองวอนที่เป็นครูช่วยยืนยันว่าไม่ใช่เงินผิดกฎหมาย พวกเขาจึงสบายใจขึ้น
ผู้อำนวยการวางแผนเก็บเงินก้อนนี้ไว้เป็นทุนการศึกษาสำหรับเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยง
“แค่เหนื่อยขึ้นนิดหน่อยเอง ไม่เห็นต้องซื้อหุ่นยนต์มาทำงานแทนเลย”
“…แต่ถ้าคุณโหมงานหนักเกินไปจนป่วยไข้จะทำยังไง”
ฮันอียืนดูบทสนทนาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะรีบหันหลังเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายของใครบางคน
อีกฝ่ายเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ
“ครูคะ! ฉันมาแล้ว! วันนี้ชองวอนอปป้ามาด้วยไหม ช่วยบอกหนูทีว่าเขาอยู่ที่นี่!”
ฮันอีอาจไม่ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความออดอ้อน แต่แค่ได้อ่านปากก็ทำให้เธอขนลุกแล้ว
เด็กผู้หญิงที่ย้อมผมสองสี ไล่เฉดระหว่างชมพูหม่นกับชมพูสด กำลังยืนยิ้มอย่างร่าเริง
เด็กผู้หญิงที่แต่ก่อนชอบหาเรื่องชาวบ้านไปทั่วโดยไม่แบ่งแยกเพศ และคอยทำตัวเป็นหัวโจกจนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมต้น
ได้เห็นภาพจำสมัยอดีตกับปัจจุบันซ้อนทับกัน ฮันอีทำหน้าขยะแขยง
“เธอมาที่นี่บ่อยไหม”
“มาเฉพาะตอนที่ชองวอนอยู่ เห็นว่าคอยรบเร้าให้เขาไปออดิชันคู่กันหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ”
…คอยก่อกวนอาจารย์ลับหลังเราอยู่สินะ
สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ของฮันอีทวีความแข็งกระด้าง
“มาบ่อยแค่ไหน”
“ถ้าช่วงเปิดเทอมก็บ่อย สัปดาห์ละสองสามหนได้ แต่พักหลังน้อยลงแล้ว เห็นว่าช่วงนี้เด็กฝึกต้องซ้อมหนัก…”
“ไม่เข้าเรียนเพราะมัวไปทำเรื่องแบบนี้นี่เอง…”
ได้ยินคำพูดฮันอี ครูกับผู้อำนวยการทำหน้าประหลาดใจ
“เด็กคนนั้นไม่เข้าเรียน?”
“ค่ะ ปีนี้ฉันเพิ่งได้เจอเธอครั้งแรก”
“แต่นี่มันเดือนกรกฏาแล้วนะ…”
ผู้อำนวยการทำท่าทางตกใจ
“เรียนห้องเดียวกัน แต่ไม่เคยเจอกันเลย?”
* * *
นับตั้งแต่พวกเราไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล อุบัติเหตุในค่ายยุวชนได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วประเทศ
รอยแยกต่างมิติไร้ลางบอกเหตุ
ความผันผวนของสภาพอากาศที่น่ากังขา, คลื่นยักษ์ขนาดมโหฬาร
การสื่อสารถูกตัดขาดอย่างเป็นปริศนา
การอพยพอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยของชาวเมือง
การทุจริตและยักยอกเงินของครูฝึกประจำศูนย์ ซึ่งถูกเปิดโปงด้วยฝีมือมุนแซรอนกับครูฮัมกึนยอง
พฤติกรรมของเหล่าครูฝึกที่หน้าหลุมหลบภัย
แม้ทุกประเด็นจะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่มีอยู่สองประเด็นที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ
ประเด็นแรก ความกล้าหาญและผลงานอันน่าอัศจรรย์ของจูซูย็อกและอันดาอิน
[หนุ่มสาวอัจฉริยะเฉิดฉายท่ามกลางรอยแยกต่างมิติอันมืดมิด!]
[สองหัวหน้าห้องของชั้นปีหนึ่งโรงเรียนแสงเงิน มีคะแนนผลงานสูงสุดในการเคลียร์รอยแยกต่างโลก!]
คู่พระนางที่จู่โจมรอยแยกในฐานะหน่วยบุกด้วยกันเป็นครั้งแรก ประสบความสำเร็จอย่างงดงามโดยปราศจากรอยขีดข่วน
จูซูย็อกได้รับคะแนนผลงานสูงสุดในรอยแยกบนภูเขาซังจูหนึ่งแห่ง ทางอันดาอินได้รับคะแนนผลงานสูงสุดในรอยแยกบนภูเขาซังจูหนึ่งแห่ง รวมถึงรอยแยกบนเกาะกีจัง
‘ที่เป็นแบบนี้เพราะอันดาอินตามมาสมทบทีหลัง เรี่ยวแรงยังเต็มเปี่ยม ถ้านับผลงานตอนทำหน้าที่ป้องกันภูเขาเข้าไปด้วย ความสำเร็จของทั้งคู่เรียกว่าแทบไม่ต่างกัน’
การเดบิวต์ในฐานะหน่วยบุกของจูซูย็อกกับอันดาอิน ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางมากก็จริง แต่ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับความสนใจยิ่งกว่า
[บลูไวโอลินิสต์บรรเลงปาฏิหาริย์อีกครั้ง!]
[ใครคือนักไวโอลินสมทบในวิดีโอที่มียอดวิวสูงกว่าสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน?]
วิดีโอที่มุนแซรอนอัปโหลด ตอนนี้ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก
การแสดงสดของยอดนักไวโอลินมือฉมังท่ามกลางสถานการณ์สุดวิกฤติ ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ถึงเพียงนั้น
ยอดวิวของวิดีโอเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลามตลอดทุกนาที แถมยังมีการเรียกร้องให้ควอนเจอินนำ ‘ท่อนด้นสด’ ขณะใช้แสงประทาน มาเรียบเรียงเป็นเพลงใหม่ให้เป็นเรื่องเป็นราวโนเวลกูดอทคoม
‘ข่าวคราวของเผ่าหมีหายเข้ากลีบเมฆไปเลย’
ถึงฮงกยูบินจะส่งข้อความมาตัดพ้อเรื่องงานอยู่หลายหน แต่ความขยันขันแข็งของเขาช่วยให้ทีมสื่อที่ 1 ของสมาคมเพลเยอร์ ปกปิดข่าวสำคัญได้มิดชิด
‘บอกไปเลยดีไหมนะ…’
ฉันไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินมาจากไหน แต่อยู่ดีๆ ฮงกยูบินก็มาอ้อนวอนขอตารางกิจกรรมการทำข่าวในต่างประเทศของชมรมหนังสือพิมพ์จากฉัน
ถึงเขาจะไม่ได้บอกจุดประสงค์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เดายาก
‘ฮงกยูบินบ่นอยู่ตลอดว่าอยากไปเที่ยวกับจูเก่อแจกอล… หมอนั่นคงทำทีเป็นบังเอิญเจอกันระหว่างทางแน่’
ทุกครั้งที่ฮงกยูบินถามถึงตารางกิจกรรม ฉันจะเปลี่ยนเรื่องแล้วถามความคืบหน้าของคดีกลับไป
เจตนาของฉันก็คือ ‘ถ้าอยากรู้ตารางกิจกรรม ก็เร่งปิดคดีให้เรียบร้อยซะ!’ ซึ่งดูเหมือนฮงกยูบินจะเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
‘ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาดีขนาดนี้ ยังไงก็ต้องตกรางวัลหน่อยล่ะนะ’
เมื่อได้ข้อสรุป ฉันเริ่มพิมพ์ข้อความ
[ฉัน] สวัสดีครับ หัวหน้าทีมฮงกยูบิน ผมอ่านข่าวแล้ว ทำงานได้ดีมากเลยครับ
[ฮงกยูบิน] สวัสดี อึยชิน ^^!
[ฮงกยูบิน] ฉันแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำน่ะ ^^!
[ฮงกยูบิน] ช่วงนี้เธอว่างแล้วใช่ไหม จะว่าไปเราก็ไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้วนะ ไปหาอะไรกินหน่อยไหม! ^^!
เป็นคนที่ปกปิดเจตนาตัวเองไม่มิดจริงๆ
…คงอยากชวนเราไปกินข้าวเพื่อถามตารางกิจกรรมต่อหน้า แบบนั้นจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จได้มากกว่า
ฮงกยูบินเอาจริงเอาจังมากกับการสืบหาตารางการเดินทางของชมรมหนังสือพิมพ์
‘…ยังไงเสีย อีกเดี๋ยวเขาก็ต้องทำ OT กระจายอยู่แล้ว บอกไปคงไม่เป็นไรกระมัง’
ในพักหลัง ความร่วมมือระหว่างแผนผังวังจันทราของเผ่ากระต่าย กับทีมดาวเทียมของสมาคม เริ่มเผชิญทางตัน
แต่ทางตันเพิ่งถูกทะลวงไป
ด้วยฝีมือของเนิร์ดดาวเทียม ซงแดซอก
ได้ยินว่าอัลกอริทึมที่เขาพัฒนาขึ้น สามารถเชื่อมโยงทั้งสองเทคโนโลยีเข้าด้วยกันได้
กระทั่งเผ่าเสือที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในโครงการนี้ก็ยังแสดงความมั่นใจ
นี่คือความเห็นของวังจีโฮ
—ซงแดซอกเป็นถึงหลานของมหาบุรุษผู้กอบกู้คาบสมุทรเกาหลี อีกทั้งยังไม่คบค้าสมาคมกับใครหน้าไหนนอกจากครอบครัวตัวเอง จิตรกรฮงคยุงบ๊ก และมินกือริน ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าความลับจะรั่วไหล… เขาคือจิ๊กซอว์ที่ช่วยเติมเต็มโครงการจนสมบูรณ์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากซงแดซอกออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร สมาคมเพลเยอร์คงได้วุ่นวายไปอีกพักใหญ่
เมื่อความคืบหน้าของโครงการดาวเทียมเพลเยอร์ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ ทีมสื่อที่ 1 ของสมาคมจำเป็นต้องปกปิดตัวตนของซงแดซอกให้มิดชิด ซึ่งนั่นเป็นงานที่ไม่ง่าย
หัวหน้าทีมสื่ออย่างฮงกยูบินจึงแทบจะหมดสิทธิ์บินไปเที่ยวต่างประเทศ
‘…แต่ถ้าโชคเข้าข้างเขา เราอาจได้เจอกันระหว่างทาง’
แน่นอน ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้
ฉันแชร์ ‘ตารางการทำข่าวในต่างประเทศ’ ที่ประธานชมรมหนังสือพิมพ์ส่งมา ไปให้กับฮงกยูบิน
[ฮงกยูบิน] ขอบคุณมากอึยชิน! ^^!!
[ฮงกยูบิน] ฉันขอตัวไปวางแผนเที่ยวช่วงวันหยุดก่อนนะ! ถ้าอยากได้อะไร หรืออยากกินอะไร ส่งข้อความมาบอกได้เสมอเลยนะ! ขอบคุณมากจริงๆ!!
เห็นเขาตอบกลับมาอย่างมีความสุข ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ก็ทำเพียงตอบกลับไปว่า ‘ครับ ไว้เจอกัน’ แล้วปิดหน้าต่างข้อความทันที
บี๊บ!
แอร์แท็กซี่ขับมาถึงจุดหมาย
ด้านนอกหน้าต่าง ฉันเห็นชุมชนรอบอุทยานกุนดงที่เคยมาในช่วงรุ่งสางของวันปีใหม่ รวมถึงซาวอลเซอึมที่กำลังยืนรอด้วยอาการประหม่า
“ส…สวัสดี!”
ซาวอลเซอึมลอยขึ้นไปในอากาศ ดูท่าจะเป็นพวกควบคุมตัวเองไม่ได้ในยามตื่นเต้น
ในสภาพลอยตัว อีกฝ่ายชี้ไปทางฝั่งหนึ่งของอุทยาน
“ร้อนจังเลยเนอะ ตามมาสิ! ก้าวเท้าตามฉันเท่านั้นนะ เข้าใจใช่ไหม…”
เมื่อเพิ่งนึกได้ว่าตนกำลังบินอยู่ ซาวอลเซอึมรีบยกเลิกสกิลแล้วลงมาเดินด้วยรอยยิ้มเขินอาย
เขาเริ่มเดินนำไปตามเส้นทางบนอุทยาน
‘จะเดินยังไงไม่ให้สะดุดตาคน…’
ไม่เหมือนกับคืนที่ฉันขี่มังกรแดงมาส่งซาวอลเซอึม ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างและมีผู้คนขวักไขว่
ความกังวลของฉันกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
ฟาาาา…
ทุกก้าวที่ซาวอลเซอึมย่ำลงไป คลื่นพลังวิเศษจะทยอยแผ่จากร่างกายเขา
เมื่อคลื่นเล็กๆ เหล่านี้สะสมกันมากเข้า บรรยากาศรอบตัวก็เริ่มแปรเปลี่ยน
‘บาเรียแบบพิเศษ? เพิ่งเคยเห็นแฮะ’
ความชื้นและความร้อนค่อยๆ หายไปจากอากาศอันอบอ้าวในเดือนกรกฎาคม
ไม่นานทิวทัศน์ก็เริ่มเปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ
เป็นการเปลี่ยนแปลงทีละนิดด้วยความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งลวงตา ฉากหลังคือกลีบดอกไม้โปรยปรายหลังจากถูกลมพัดปลิดปลิว
เดินไปได้ราวหนึ่งร้อยก้าว บรรยากาศเหลือเพียงความสงบร่มเย็น
ทิวทัศน์แปลกใหม่ถูกฉายเบื้องหน้าฉัน
‘ยังกับเดินเข้ามาในยุคอื่น’
ต้นสน—ราชาแห่งไม้ขาวนับตั้งแต่โบราณกาล
ประหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพต่อ ‘พระราชโองการห้ามตัดต้นสน’ ของปัจฉิมราชวงศ์ ดินแดนของตระกูลซาวอลเต็มไปด้วยทิวแถวป่าสนหนาทึบ
ระหว่างต้นสนสามารถมองเห็นบ้านทรงโบราณ ศาลา และบ่อน้ำขนาดใหญ่
“ท่านผู้อาวุโสนัดพบเราช่วงมื้อกลางวัน ตอนนี้แวะไปที่ห้องของฉันกันก่อน!”
ซาวอลเซอึมเดินนำทางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ขณะเดินไปตามถนนดินแดงที่สองฝั่งเป็นผนังหินสูง
ฉันเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่ระหว่างแนวต้นไม้
“อ๊ะ! หลบเร็ว!”
ทันใดนั้น ซาวอลเซอึมรีบไปซ่อนตัวอยู่หลังผนังหิน
ทำไมต้องหลบล่ะ?
ถึงจะมีข้อสงสัย แต่ถ้านั่นเป็นคำแนะนำของตัวละคร ยังไงฉันก็ควรทำตาม
ไม่นานเสียงบทสนทนาของทั้งคู่ก็ดังขึ้น
“คุณเยจอง วันนี้ท่านผู้มีพระคุณของตระกูลจะแวะมาเยี่ยม ผมอยากให้คุณกลับไปที่โลกภายนอกพร้อมกับเขา ถ้าเป็นท่านผู้มีพระคุณล่ะก็ คงไม่มีใครทำอันตรายคุณได้แน่…”
“ไม่… ฉันไม่อยากกลับ ฉันจะอยู่กับคุณเซมิน”
บังเอิญได้ยินปัญหาความรักเข้าแล้วสิ