เกาะซอกโมมีรูปร่างคล้ายคู่รองเท้าบูตกลับหัว
ศูนย์ฝึกอบรมที่ครอบคลุมทั้งแต่ภูเขานักกา ณ ใจกลางของเกาะ ไปจนถึงภูเขาแฮมยองทางตอนใต้
สิ่งอำนวยความสะดวกแต่ละแห่งอยู่ไกลกันมาก อาจเพราะด้านความปลอดภัย หรือไม่ก็หวังผลกำไรจากการรองรับหลายทีมพร้อมกัน
ที่พักของกลุ่มเด็กผู้ชายห้อง 1/0 จะอยู่ไกลจากห้องของครูฮัมกึนยอง และห้องของควอนเลนากับคิมยูรี
ซงแดซอกกล่าวบางสิ่งหลังจากเห็นสภาพที่พัก
“…โรงเรียนแสงเงินดำเนินการอย่างเท่าเทียม ยุติธรรม และโปร่งใสจริงๆ”
“หือ… อยู่ดีๆ ก็พูดอะไรน่ะ”
“ห้องเรามีญาติของท่านประธานอยู่ทั้งที แต่กลับต้องนอนในที่แบบนี้! ถึงจะไม่ได้คาดหวังกับ ‘บริการพิเศษ’ แต่ก็ไม่คิดว่าจะออกมาเป็นตรงกันข้าม!”
ซงแดซอกประชดประชันพลางชี้ไปทางเต็นท์ที่เราได้รับ
เต็นท์หลังนี้คืออุปกรณ์ของโรงเรียน ซึ่งโปรเพลเยอร์ชอบใช้ในรอยแยกที่ยืดเยื้อ
แม้จะเป็นที่พักชั่วคราว แต่เต็นท์ก็ทำจากวัสดุทนทานพายุขนาดกลาง และไม่ฉีกขาดง่ายๆ เพียงเพราะคลื่นพลังวิเศษ
เดิมที นักเรียนปี 1/0 ควรจะได้พักในตึกแบบเดียวกับครู แต่ฉันโน้มน้าวครูฮัมกึนยองจนพวกเราได้นอนเต็นท์
“ฉันไม่อยากใช้ห้องร่วมกับนักเรียนห้องอื่น และไม่อยากเข้าไปพักในตึกที่มีครูคอยจับตามอง”
“รองหัวหน้าห้อง นายเป็นคนเสนอให้นอนเต็นท์…?”
ซงแดซอกมองฉันด้วยสายตาไม่พอใจ
“ก็ดูดีอยู่นะ นายจะโวยวายไปทำไม ถ้าไม่ชอบก็นอกข้างนอกสิ”
“เอาถุงนอนด้วยไหม? สำหรับนอกข้างนอกน่ะ”
“…ฉันจะนอนข้างใน”
เมื่อเม็งเฮียวทงกับซาวอลเซอึมเริ่มจัดสัมภาระ ไม่นานซงแดซอกก็จัดตาม
หลังจากจัดข้าวของเสร็จ เขายังเดินสำรวจรอบๆ ราวกับเพิ่งเคยนอนเต็นท์เป็นครั้งแรก
“ฮัลโหล? หือ… พูดได้ครับ ว่ามาเลย… อ้อ… ถึงแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ขณะเพื่อนบางคนนั่งจัดของอยู่ในเต็นท์ ซาวอลเซอึมรับโทรศัพท์
ครอบครัวของเขาโทรมา คงเพราะกังวลเรื่องที่ซาวอลเซอึมเคยพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาดอยู่หลายหน
“ครับ… เกือบถูกริบดีไวซ์ตั้งแต่ตอนที่มาถึงเลย… แต่โชคดีที่ครูประจำชั้นขวางไว้ก่อน…”
ตามที่ซาวอลเซอึมพูด เกือบเกิดเรื่องขึ้นขณะปฐมนิเทศในหอประชุมใหญ่
ครูฝึกของค่ายตะคอกใส่นักเรียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม: ‘พวกเธอมาที่นี่เพื่อเล่นสนุกหรือไง! นั่งลง! ยืนขึ้น! ก้มหน้า!’
‘ทั้งที่นักเรียนทุกคนเข้าแถวเป็นระเบียบและไม่มีใครคุยกันเลย’
จากนั้นก็สั่งให้ปิดดีไวซ์แล้วรวบรวมส่งไป
…เคยได้ยินว่าจะมีการตรวจสอบสัมภาระเพื่อป้องกันการพกพาวัตถุอันตราย แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะตรวจสอบดีไวซ์ด้วย
ขณะนักเรียนเริ่มกระวนกระวาย
ครูฮัมกึนยองที่จับตาดูอยู่ได้ก้าวออกมา
—เมื่อสักครู่พูดว่าอะไรนะครับ
ครูฮัมกึนยองถามอย่างสุภาพก็จริง แต่ด้วยความหน้าดุและรูปร่างสูงใหญ่ บรรยากาศจึงดูน่าเกรงขามเป็นพิเศษ ผนวกกับข้อเท็จจริงที่เขาคือเพลเยอร์ยอดฝีมือ ครูฝึกที่พยายามจะริบดีไวซ์นักเรียนจึงออกอาการประหวั่น
—เพลเยอร์ SAT-K จะแจ้งเตือนรอยแยกผ่านดีไวซ์เท่านั้น คิดจะริบอุปกรณ์สำคัญของนักเรียน? ทำเรื่องแบบนี้โดยไม่ปรึกษาล่วงหน้าได้ด้วยหรือ
—เป็นการริบตามธรรมเนียม…
—ตามธรรมเนียม? มีธรรมเนียมยึดดีไวซ์ของนักเรียนม.ปลายปีหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เมื่อใบหน้าครูฮัมกึนยองเริ่มแข็งกระด้าง หัวหน้าครูฝึกทิ้งท้ายว่า ‘ฮึ่ย!’ แล้วก็เดินออกไป
‘กลับถึงโรงเรียนเมื่อไร ครูฮัมกึนยองต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดแน่’
หากเป็นในเกม ค่ายยุวชนจะผูกขาดโดยชเวย็อนทึกและครูที่รับเงินสินบน
บรรดาครูที่ถูกชเวย็อนทึกใช้เงินปิดปาก จะแสร้งหลับตาข้างหนึ่งในระหว่างที่ครูฝึกทำตัวหยาบคายใส่นักเรียน
แต่ตอนนี้ชเวย็อนทึกไม่อยู่แล้ว และในบรรดาครูชุดปัจจุบันก็ไม่มีใครที่ขายนักเรียนเพียงเพราะเงิน
‘ถ้าเป็นในเกม ชเวย็อนทึกที่เป็นครูประจำชั้นห้อง 1/1 จะทะเลาะกับครูฮัมกึนยอง’
ลงเอยด้วย ดีไวซ์ของนักเรียนทุกคนถูกยึด ยกเว้นคิมยูรีที่เป็นเด็กห้อง 1/0 เพียงคนเดียว และมุนแซรอนที่ซ่อนดีไวซ์สำรองไว้อย่างมิดชิด
ฮัมกึนยองที่กังวลเมื่อเห็นว่านักเรียนถูกยึดดีไวซ์ ได้ออกลาดตระเวนทุกคืนตลอดการเข้าค่าย เพื่อหวังลดความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด
“ไม่ครับ… ยังไม่เจอตัวท่านผู้นั้น… ได้เจอกับรุ่นพี่ย็อมจุนยอลแล้วครับ… ใช่…”
เมื่อครู่เขาพูดว่า ‘ท่านผู้นั้น’ ?
นี่เป็นบทสนทนาที่แสนจะสำคัญเลยไม่ใช่หรือ
…หมอนี่ลืมไปแล้วหรือไงว่ามีเพื่อนร่วมชั้นฟังอยู่
จนกระทั่งวังจีโฮที่เพิ่งจัดสัมภาระเสร็จ หันไปมองซาวอลเซอึมด้วยแววตาเป็นประกาย
คงสัมผัสถึงสายตาได้ ฝ่ายหลังรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอ่อ… จริงสิ… คุณน้าสบายดีไหมครับ? หือ… ได้ยินเสียงอะไรแตกด้วย ไม่เป็นอะไรนะครับ?”
ซาวอลเซอึมตั้งใจฟังปลายสายสักพักก่อนจะตอบกลับ
“แต่คราวก่อนที่โทรไป… คุณน้าบอกว่าจะแต่งงานกับอาเซมิน และเป็นคนอนุญาตให้ผมเรียกคุณว่าน้าได้… อา… ครับ…”
สงสัยจะมีคนพยายามพิชิตใจซาวอลเซมินอยู่
ถ้าสนิทพอจะโทรหาซาวอลเซอึม ก็ต้องเป็นคนที่ใกล้ชิดครอบครัวพอสมควร
‘หรือว่าจะเป็นรปภ.คนนั้น…?’
ในงานประมูลมายา รปภ.ผู้หญิงคนหนึ่งได้หักหลังบยอนซุนโฮ โดยการเรียกซาวอลเซมินมาช่วยซาวอลเซอึม
ภาพจำยังชัดเจน ว่าเธอเตะบยอนซุนโฮเข้าไปเต็มแข้งในเวลานั้น
ปิ๊งป่อง!
สัญญาณเตือนแจ้งข้อความเข้า
[อีเลนา] เราจัดของกันเสร็จแล้ว! ฝั่งผู้ชายเป็นเต็นท์สินะ ขอเดินไปดูได้ไหม?
ข้อความจากควอนเลนา ที่ยังคงแสดงผลในชื่อ ‘อีเลนา’
นักเรียนหญิงในห้องเรามีแค่ควอนเลนากับคิมยูรี จึงทำเรื่องขอใช้ห้องพักครูสำหรับสองคน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหอพักชายกับหญิงที่ค่อนข้างไกลกัน
[ฉัน] ได้สิ มาเลย
[อีเลนา] อาฮะ ยูรีกำลังล้างหน้าอยู่ ไว้เสร็จแล้วจะรีบไปนะ!
ตอนแรกฉันกังวลว่าคิมยูรีจะหมกตัวอยู่ในห้องเหมือนบนเรือ
โล่งอกไปทีที่ไม่เป็นถึงขั้นนั้น
ในไม่ช้า คิมยูรีถูกควอนเลนาจูงมาทางเต็นท์ของพวกเรา
* * *
หลังจากเด็กปีหนึ่งทุกคนมารวมตัวกัน แล้วกินข้าวกล่องมื้อกลางวันที่ทางโรงเรียนแสงเงินเตรียมไว้ให้
ตารางกิจกรรมของค่ายยุวชนเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
กิจกรรมแรกคือการฝึกทีมเวิร์ค
ถึงจะบอกว่าฝึกทีมเวิร์ค แต่เนื้อหาคือการออกกำลังกาย เหมือนกับที่ทำกันในกองทัพ
ทันทีที่อุ่นเครื่องเสร็จ ของจริงเริ่มต้นขึ้น
“กระโดดตบห้าสิบครั้ง! ครั้งสุดท้ายไม่ต้องนับ! ถ้ามีคนนับ! ทุกคนจะถูกลงโทษเป็นกลุ่ม! เข้าใจใช่ไหม!”
“ครับ/ค่ะ!”
นักเรียนตอบสนองอย่างมีชีวิตชีวาเจือรอยยิ้ม
การฝึกทีมเวิร์คที่ไม่ต่างจากคาบพละของนักเรียนม.ปลายทั่วไป ดูแล้วไม่ยากเย็นสักเท่าไร
เมื่อเทียบกับการฝึกที่โรงเรียน ทุกคนรู้สึกเหมือนได้มาปิกนิก
‘เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกรุ่นพี่หัวรุนแรงถึงปล่อยผ่าน แม้จะถูกครูฝึกหาเรื่องด้วยเหตุผลไร้สาระ’
หากแสดงออกไปตรงๆ ว่ามันง่าย ครูฝึกอาจจะโมโหเอาได้ ทุกคนจึงเงียบและปรับตัว
ไม่มีใครตะโกนนับครั้งสุดท้าย แต่พวกเราโดนตำหนิว่าเสียงนับโดยรวมเบาเกินไป จึงถูกลงโทษเป็นกลุ่มด้วยการกอดไหล่ลุกนั่งโน!วลกูดoทคอม
กระทั่งควอนเลนาที่มีร่างกายอ่อนแอที่สุดในห้อง ก็ยังจบคาบทีมเวิร์คโดยไม่มีอาการหอบ
“หืม… ง่ายกว่าที่คิดนะเนี่ย!”
“เห็นด้วย! ปกติแล้วการเข้าค่ายง่ายแบบนี้หรือ? อ่านมาจากรีวิวต่างๆ ทุกคนพูดเหมือนกันว่าค่อนข้างหนักและเหนื่อย”
“เพราะว่าในบรรดาครูฝึก มีแค่คนเดียวที่เป็นเพลเยอร์ พวกเขาคงคำนวณเรี่ยวแรงของเพลเยอร์ไม่ถูกมั้ง”
“อาฮะ…”
ถึงจะบอกว่านี่เป็นแค่น้ำย่อย แต่สำหรับผู้เล่นอย่างเรา ความเหนื่อยแทบไม่ต่างจากการเดิน
คงเป็นเหตุผลที่รุ่นพี่ห้องศูนย์จุดเดือดต่ำผู้เคยสร้างตำนานอันลือลั่น ไม่ก่อความวุ่นวายขึ้นในตารางกิจกรรมปกติ เว้นเสียแต่จะถูกครูฝึกล้ำเส้น
“แล้วค่ายอบรมช่วงม.ต้นเป็นยังไงบ้างหรือ มีใครเคยเข้าไหม”
สิ้นคำถามซาวอลเซอึม คิมยูรีเป็นคนเดียวที่ยกมือขึ้น
ทั้งควอนเลนาและเม็งเฮียวทงย่อมไม่มีเงินพอที่จะเข้าค่าย และซงแดซอกกับซาวอลเซอึมต่างก็เรียนเองที่บ้าน
ตอนฉันเรียนม.ต้น วันหยุดส่วนใหญ่หมดไปกับการซ้อมหมากรุก ส่วนวังจีโฮ… ไม่ค่อยอยากรู้เท่าไร
“จริงหรือ มีแค่ฉัน?”
“ค่ายตอนม.ต้นเป็นยังไงบ้าง?”
“เป็นยังไงน่ะหรือ… ฉันเข้าที่ศูนย์ฝึกอบรมในจังหวัดคยองกี เป็นสถานที่กว้างๆ … มีโรงเรียนอื่นมาฝึกพร้อมกันด้วย ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นโรงเรียนนัมจุง…”
คิมยูรีจบจากโรงเรียนม.ต้นหญิงล้วน
เธอเล่าว่าในวันสุดท้ายของการเข้าค่าย เด็กผู้ชายโรงเรียนข้างๆ ได้ชกกันในเวลาพักเพื่อแย่งกันจีบอันดาอิน
ถัดมาคือกิจกรรมผจญภัยกลางแจ้ง
ต้องวิ่งข้ามสะพานแกว่งที่กว้างแค่หนึ่งคืบ ผ่านอุโมงค์คดเคี้ยวเหมือนวงกต และปีนผาหินเทียม…
คนที่ผ่านทุกด่านเร็วที่สุดในห้องคือวังจีโฮที่วิ่งไปพร้อมกับหัวเราะ ‘ฮะฮะฮะฮะ!’
คนถัดมาคือเม็งเฮียวทงที่เร็วไม่แพ้กัน
“…บินไปไม่ได้ใช่ไหมครับ”
“ฉันไม่อยากใช้มือทำเรื่องเสี่ยงๆ”
ด่านอื่นๆ ผ่านไปได้ค่อนข้างราบรื่น ยกเว้นด่านปีนเขาที่ค่อนข้างเป็นปัญหาสำหรับซาวอลเซอึมกับควอนเลนา
“รีบปีนเร็วเข้า! ถ้าปีนหน้าผาเทียมเสร็จจะได้โรยตัวด้วยเชือกเดี่ยว! สนุกมากเลยนะ”
ไม่รู้ว่าเขาสนุกกับการโรยตัวด้วยเชือกเดี่ยวจริงไหม แต่ซงแดซอกดูตื่นเต้นขณะรบเร้าให้เพื่อนๆ ปีนกำแพงหิน
คงเพราะคาดหวังกับความสนุกจากการโรยตัว ทั้งสองจึงเริ่มปีนผาด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
หลังจากเสร็จกิจกรรมช่วงบ่ายทั้งหมดโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พวกเราได้กินมื้อเย็นที่มีรสชาติซับซ้อน
“ปัญหาอันดับหนึ่งของการเข้าค่ายในคราวนี้ก็คือ… รสชาติอาหารเย็น”
“อาจไม่ดีเท่าอาหารกลางวันของโรงเรียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือเปล่า ฉันพอกินได้นะ…”
อาหารเย็นวันนี้คือข้าวธัญพืช แกงกะหรี่รสจืดสนิท ปลาทอดชุ่มน้ำมัน หญ้าเจ้าชู้ผัดแฉะๆ และซุปกิมจิติดเปรี้ยว
นักชิมวังจีโฮบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนคนอื่นขยับช้อนกับตะเกียบกินตามปกติ
“ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ฉันจะเลือกบริษัทด้วยตัวเอง”
วังจีโฮที่แทบไม่กินเลย ประกาศด้วยความโกรธ
เป็นคำพูดที่ค่อนข้างแปลกสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าเขาคือท่านประธาน
แต่เพื่อนร่วมชั้นไม่ได้เก็บมาคิด เพียงเข้าใจโดยปริยายว่า ‘หมอนี่ทำตัวเพี้ยนๆ อีกแล้ว’
หลังจากเสร็จมื้อเย็น ช่วงเวลาสันทนาการเริ่มต้นขึ้น
พวกเราปรบมือและตะโกนคำพูดตามที่ครูฝึกบอก
ขณะเริ่มเบื่อกับรูปแบบอันซ้ำซาก ครูฝึกคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“นับแต่นี้ไปจะมีการให้คะแนนแต่ละห้อง ห้องไหนได้คะแนนมากที่สุด วันสุดท้ายไม่ต้องเช็กชื่อ!”
โอส…
แต่เสียงของเด็กๆ กลับยังคงเอื่อยเฉื่อย
“เสียงเบาเกินไป! จริงจังกว่านี้หน่อย!”
โอ๊ส—!
เสียงของนักเรียนขึ้นราวกับความโกรธเริ่มปะทุ
แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่สำคัญ เมื่อเสียงดังขึ้น ครูฝึกพูดด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“500 คะแนนสำหรับห้องหนึ่งและห้องสองที่ส่งเสียงดังที่สุด!”
โอ๊ส—!
เมื่อมองไปทางห้อง 1/2ฉันเห็นเบ๊ขนมปังบังยุนซบผู้มีวงจรความคิดไม่ซับซ้อน กำลังแหกปากตะโกนอย่างฮึกเหิม
“จริงหรือเนี่ย… ถ้าได้ที่หนึ่งจะไม่มีการเช็กชื่อในวันสุดท้าย? อยู่เล่นโต้รุ่งถึงเช้าได้โดยไม่ต้องนอน?”
“อาจจะโกหกหรือเปล่า”
เมื่อซาวอลเซอึมถามอย่างไร้เดียงสา คิมยูรีตอบพลางยิ้มแห้งๆ
ดูเหมือนคิมยูรีที่เคยผ่านค่ายอบรมตอนม.ต้นมา จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วครูฝึกจะหาข้ออ้างปลุกเด็กขึ้นมาเช็กชื่ออยู่ดี
“ครูฝึกของค่ายไม่มีอำนาจแก้ไขตารางกิจกรรมที่โรงเรียนแสงเงินกำหนดไว้ล่วงหน้า… หากมีชาวบ้านร้องเรียนเรื่องที่เด็กในค่ายเล่นเสียงดังจนถึงเช้าขึ้นมา พวกเขารับผิดชอบไม่ไหวแน่ ดังนั้นที่พูดมาไม่เป็นจริงแน่นอน”
ซงแดซอกอธิบายอย่างมีเหตุมีผล แต่ความน่าเชื่อถือของเขาถูกลดทอนลงมาก เนื่องจากเมื่อครู่เป็นอีกหนึ่งคนที่ตะโกนเสียงดังตามจังหวะของครูฝึก
“นิสัยไม่ดีเลย… ถ้างั้นฉันเลิกทำแล้วดีกว่า”
ซาวอลเซอึมและเด็กคนอื่นที่ผิดหวัง เริ่มทำกิจกรรมแบบขอไปที
ครูฝึกที่ดูอยู่ด้านหลังพยายามส่งเสียงกระตุ้นเนื่องจากไม่ชอบท่าทีดังกล่าว แต่สุดท้ายก็ต้องรามือหลังจากครูฝึกคนอื่นเข้ามาบอกให้หยุด
วังจีโฮผู้มีโสตประสาทกว้างไกล หันมาพูดกับเพื่อน
“หลังจากครูฝึกอีกคนเอ่ยถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดจากฝีมือเด็กห้องศูนย์ในปีก่อนๆ ครูฝึกที่โวยวายก็สงบลงทันที”
“เหตุการณ์ประหลาด?”
“ก็อย่างพวก ‘ลูกไฟผี’ ที่ลอยอยู่แถวห้องนอนครูฝึก หรือไม่ก็หุ่นลองชุดที่ถูกมัดไว้ด้านนอกหน้าต่างห้องน้ำ…”
ขณะนั่งฟังตำนานวีรกรรมของรุ่นพี่ห้องศูนย์ กิจกรรมยามค่ำคืนดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด
เหลือแค่การเช็กชื่อก่อนเข้านอน
ผู้รับผิดชอบการเช็กชื่อ คือหัวหน้าห้องและรองของทุกห้อง รวมทั้งสิ้นหกคน
ค่อนข้างบังเอิญที่สัดส่วนชายและหญิงเท่ากันพอดี จึงแบ่งงานกันทำได้อย่างไร้ปัญหา
ฉัน อูซังฮุน และจูซูย็อกซึ่งมีหน้าที่เช็กชื่อนักเรียนชายในห้องศูนย์ หนึ่ง และสอง อยู่คุยเล่นกันสักพักก่อนจะแยกย้าย
เมื่อกลับมาถึงเต็นท์ เด็กๆ หลับไปเกือบหมดแล้ว
“เดี๋ยวฉันกลับมานะ”
“ฉันไปด้วย”
พร้อมกับกันวังจีโฮที่ตื่นอยู่ เราสองคนสร้างตัวปลอม ใช้ไอเท็มพรางตัว แล้วลอบออกจากเขตที่พัก
จำเป็นต้องศึกษาภูมิประเทศให้ชำนาญ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุไม่คาดฝันทุกชนิด
ไม่ได้นอนเลยสักงีบ ฉันเอาแต่ทำแผนที่ทุกซอกมุมของเกาะซอกโม พอรู้ตัวอีกทีก็พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
“ถ้าเรียกเผ่าเสือมาตอนนี้ ทุกสิ่งก็จะคลี่คลายอย่างราบรื่น”
วังจีโฮโพล่งขึ้นขณะเดินกลับเขตที่พัก
“ถ้าทำแบบนั้น กลยุทธ์ที่วางไว้ก็พังกันพอดี ถึงจะอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่องการแฝงตัวของเสือแดง แต่ต้องเอะใจเกี่ยวกับเผ่ากระต่ายและสมาคมแน่”
“เข้าใจแล้ว”
รุ่งสาง
ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณเป็นฉากหลัง วังจีโฮมองหน้าฉันแล้วพูด
“แค่จำเอาไว้ก็พอ ว่านายยังมีตัวเลือกนั้น”
ฉันเข้าใจความห่วงใยของเขา แต่แสร้งทำหูทวนลม
เป็นอันสิ้นสุดวันแรกของค่ายยุวชน