ในความมืดมิด เสียงอันแผ่วเบาดังกังวาน
“พร้อมหรือยัง?”
“พร้อมแล้ว! เผ่าอสูรที่ใช้ ‘ตา’ คอยเฝ้าดู ช่วยยืนยันว่าคิมชินรกโดยสารเรือลำนั้นมาด้วย!”
“แล้วมังกรล่ะ”
“เท่าที่ตรวจสอบอย่างละเอียด… ดูเหมือนจะยังอยู่ในโรงเรียนแสงเงิน! ไม่มีร่องรอยการออกมาข้างนอก”
“พวกอสูรที่เฝ้าดูด้วย ‘ตา’ ก็รายงานแบบเดียวกัน”
“ทำไมไม่ถือโอกาสนี้ฆ่ามังกรไปเลยล่ะ?”
เด็กแฝดซักถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง
คู่สนทนาจากอีกฝั่งหนึ่งของหน้าจอ ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนเพลีย
“มังกรแห่งมิติต้องถูกฆ่าอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“โฮ่? ชื่อของยงเจกอนก็อยู่ใน ‘บัญชีสังหาร’ ด้วยหรือ”
“ใช่ ถึงจะเป็นชื่อปลอม ไม่ใช่ชื่อแท้ แต่ก็มีอยู่แน่นอน”
“หากเจ้าลงมือด้วยตัวเอง การฆ่ามันก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไร อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่ทำให้จบๆ ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
“ข้ามีงานอื่นต้องไปทำด้วยตัวเอง… เป็นงานค้นหา ทำลาย และสร้าง”
บนหน้าจอมืดสลัว นิ้วเรียวยาวกำลังพลิกหน้ากระดาษ
ฝาแฝดมิอาจระงับความสนใจที่กำลังพลุ่งพล่าน จึงยืนมองจออย่างตั้งใจ
“…แปลกจัง”
“มีอะไร?”
“อะไรแปลก?”
“เพลเยอร์ทุกคนที่ข้าคอยจับตามอง ล้วนมีชื่ออยู่ในบัญชีสังหาร… ลางสังหรณ์ของข้ากับรายชื่อในบัญชีสังหารมักตรงกันเสมอ”
“นักเรียนใหม่อัจฉริยะสองคนที่เป็นดาวเด่นของโรงเรียนแสงเงิน… พวกนั้นก็มีชื่ออยู่ด้วยใช่ไหม”
“…ใช่”
นิ้วยาวๆ กวาดไปบนกระดาษหลายหน
เสียงเจือความอ่อนเพลียดังกังวานในความมืด
“แล้วทำไมถึงไม่มีชื่อซูเปอร์โนว่าไร้นามกันนะ”
* * *
หนึ่งวันก่อนเข้าค่ายเยาวชน, มีข้อความถูกส่งมาจากฮงกยูบิน
[ฮงกยูบิน] ทางเผ่ากระต่ายติดต่อมาแล้ว
[ฮงกยูบิน] พวกเขาตรวจพบ ‘รอยแยกไร้ลางบอกเหตุ’ ที่กำลังจะเกิด
ความร่วมมือระหว่างเผ่ากระต่ายและสมาคม ดำเนินไปอย่างราบรื่นภายใต้การกำกับของอ๊กโทยุน
…แผนผังวังจันทราสามารถตรวจจับสกิล ‘อัญเชิญรอยแยก’ ล่วงหน้าได้ประมาณนี้สินะ
การระบุเวลาที่แน่นอนเป็นเรื่องยาก เนื่องจากอ๊กโทยอนไม่สามารถใช้แผนผังวังจันทราได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
[ฮงกยูบิน] ปรากฏว่าสถานที่ดังกล่าว คือพิกัดของค่ายยุวชนที่อึยชินมีกำหนดเดินทางไปพอดี… ฮะฮะฮะฮะ!
[ฮงกยูบิน] ฉันประสานงานกับทีมจัดการดาวเทียมไว้แล้ว หลังจากนี้ต้องทำอะไรต่อล่ะ? ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทางสมาคมต้องทำงานล่วงเวลากันอีกแล้วสินะ…
ถึงจุดที่ฮงกยูบินอาสาทำงานล่วงเวลาด้วยตัวเองแล้ว
ฉันถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการจากสมาคมไปตามจริง
[ฮงกยูบิน] …แค่นี้เองหรือ ให้สมาคมส่งคนไปช่วยไหม?
[ฉัน] ถ้าศัตรูเอะใจว่าแผนผังวังจันทราสามารถทำนายรอยแยกไร้ลางบอกเหตุได้ เผ่ากระต่ายจะตกเป็นเป้าหมายถัดไปทันที
[ฮงกยูบิน] เรื่องนั้นฉันเข้าใจ แต่ว่า…
ฉันเข้าใจความกังวลของฮงกยูบิน
เกาะซอกโมมีประชากรกว่าสองพันคน
แถวนี้เกิดรอยแยกต่างโลกไม่บ่อยนัก ทางรัฐบาลและสมาคมจึงไม่ได้ส่งคนมาประจำการ
‘เขาคงคิดว่า หากปล่อยให้สมาคมตกเป็นเป้าหมายแทน คงดีกว่าการปล่อยให้ชาวบ้านหรือนักเรียนต้องเสี่ยงอันตราย’
ฉันเองก็รับปากฮงกยูบินไม่ได้ว่าทุกสิ่งจะราบรื่น
และดูเหมือนเขาจะถูกกดดันจากผู้บังคับบัญชาหรือไม่ก็เผ่าเสือ จึงไม่พยายามโน้มน้าวฉัน ทำได้เพียงเน้นย้ำว่าอย่าประมาท
ทางสมาคมเพลเยอร์ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่เข้าไปแทรกแซงจนกว่าดาวเทียมของสมาคมจะตรวจพบรอยแยก หรือไม่ก็มีการร้องขอกำลังเสริมก่อนหน้านั้น
ตัดมาที่ปัจจุบัน ฉันกำลังยืนบนดาดฟ้าเรือ
“สุดยอด! นี่น่ะหรือ เรือครุยเซอร์ (Cruiser) ของโรงเรียนแสงเงิน! ดาดฟ้ากว้างมาก!”
“เทียบกับเรือสำราญที่เคยนั่งคราวก่อน เรือลำนี้เหมือนเรือรบมากกว่า… ทำไมถึงโดยสารของแบบนี้ไปเข้าค่ายล่ะ?”
“เข้าใจถูกต้องแล้ว มันใกล้เคียงเรือรบมากกว่าเรือสำราญ เพราะถูกหุ้มด้วยโลหะต่างโลกซึ่งถือว่าหาได้ยากในยุคมืด… ด้วยเหตุนี้ เรือจึงถูกทางกองทัพและสมาคมขอยืมไปใช้ทำสงครามกวาดล้างเอนามีในยุคมืด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเรียกว่า ‘ครุยเซอร์’ ซึ่งหมายถึง ‘เรือลาดตระเวน’ ไม่ใช่ ‘ครุยซ์’ ที่แปลว่าเรือสำราญ… ปัจจุบันถูกใช้เป็นเรือซ้อมรบสำหรับเพลเยอร์ของโรงเรียนแสงเงิน เด็กปีหนึ่งอย่างเรายังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในคาบเรียนปฏิบัติ แต่ที่นำมาใช้ขนส่งนักเรียนไปเข้าค่ายเพราะมันว่างอยู่พอดี”
ซงแดซอกอธิบายโดยแทบไม่พักหายใจ
ซาวอลเซอึมที่กลับจากการบินสำรวจเหนือดาดฟ้าเรือ ทำตาลุกวาว
“สุดยอด แดซอกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
“มันคือสิ่งที่เด็กโรงเรียนแสงเงินควรรู้ไม่ใช่หรือ”
“หมอนี่… พอรู้เรื่องอะไรหน่อยชอบทำเป็นอวดดี”
“แดซอกรู้เรื่องอื่นนอกจากดาวเทียมด้วยสินะ!”
ค่ายยุวชนสี่วันสามคืน
การท่องเที่ยวอันตระการตาเริ่มต้นจากเรือลำยักษ์ชั้นครุยเซอร์นามว่า ‘เทียนจื่อ’ (โอรสสวรรค์)
อากาศแจ่มใสและคลื่นสงบ แต่มีบางสิ่งที่สะกิดใจฉัน
‘เรือชื่อโอรสสวรรค์…’
โดยส่วนมากแล้ว ชื่อเรือจะตั้งตามตำนานหรือความเชื่อ
หรือไม่ก็ชื่อดอกไม้ อัญมณี คำศัพท์ทางดาราศาสตร์ ภูเขา และแม่น้ำ
แต่ในทุกยุคทุกสมัยจะมี ‘ชื่อต้องห้าม’ ที่ถูกงดเว้นในการนำมาตั้งเป็นชื่อเรือ
นั่นก็คือชื่อที่เกี่ยวข้องกับเทพสวรรค์ เทพธรณี หรือเทพแห่งท้องทะเลโดยตรง
กฎที่ไม่ถูกบัญญัติไว้ข้อนี้ ยิ่งทวีความศักดิ์สิทธิ์เมื่อเรือ ‘รัชทายาทสมุทร’ กับ ‘จักรพรรดินีสมุทร’ ซึ่งยืมชื่อมาจากเทพ ‘ไททัน’ ผู้เป็นโอรสของ ‘ไกอา’ พระแม่ธรณีและ ‘ยูเรนัส’ เทพแห่งผืนนภา เกิดอับปางกลางทะเล
ว่ากันตามตรง คีโมโพลียาก็ถูกตั้งจากนามของเทพ—ธิดาแห่งโพไซดอน แต่ศักดิ์ของเธอยังไม่สูงถึงขั้นเทพแห่งท้องฟ้า ผืนดิน หรือท้องทะเลโดยตรง เป็นเพียงนิมพ์แห่งคลื่นสมุทร
… ‘เทียนจื่อ’ หมายถึงโอรสสวรรค์ โดยนัยแล้วสื่อถึงจักรพรรดิหรือเทพ
ผู้คนกังวลว่าชื่อของเรืออาจไปยั่วยุโทสะของเทพจนถูกทำให้อับปาง จึงเลี่ยงโดยการเรียกว่าครุยเซอร์หรือเรือลาดตระเวนแทน
‘ใครมันกล้าตั้งชื่อที่บ้าบิ่นขนาดนี้’
ไม่ต้องคิดนานก็ได้คำตอบ
เสือที่กำลังนอนบนเตียงอาบแดดบนดาดฟ้าเรือ พลางจิบชาเย็นเสาวรสใต้ร่มกันแดด
ฉันไม่สงสัยใครนอกจากวังจีโฮ
“นี่”
“มีอะไร…? หือ… หรือว่าอยากให้ฉันช่วยเลือกเครื่องดื่มอีก?”
“อันนั้นพอก่อน… ฉันมีคำถาม นายเป็นคนตั้งชื่อเรือลำนี้ว่าเทียนจื่อ?”
“ใช่…”
นั่นปะไร
หมอนี่ทำไปทำไม?
“เหตุผล?”
“เพราะเบื่อมั้ง… จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน ความทรงจำในช่วงเวลาอันน่าเบื่อนั่นดูคลุมเครือไปหมด”
เป็นที่ทราบกันดีว่า เรือลำนี้สร้างขึ้นในยุคมืด และถูกซื้อโดยวังมยองกรุป
เรือต้องมีชื่อมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และฉันไม่เชื่อว่ายุคมืดที่เต็มไปด้วยพายุโหมกระหน่ำจะน่าเบื่อ
“จริงสิ… ถึงตอนนั้นจะน่าเบื่อ แต่ก็พอจะนึกเหตุผลออกแล้ว… ฉันตั้งชื่อนี้เพื่อล่อลวงเสือคราม”
“เสือคราม?”
“ใช่… เนื่องจากชื่อของเรือคงถูกพูดถึงไปทั่วโลกผ่านสื่อต่างๆ ฉันจึงเดิมพันว่าหมอนั่นต้องได้ยินผ่านหูสักครั้ง… ในคาบสมุทรเกาหลี เทียนจื่อหมายถึงโอรสสวรรค์ หรือก็คือ ‘เทพมนุษย์’ … พอได้เห็นกองเศษเหล็กที่สื่อถึงเทพมนุษย์ ฉันคิดว่าเสือครามหรือไม่ก็เทพมนุษย์จะต้องมาหาแน่”
ใบหน้าใต้ร่มกันแดดมืดลงเล็กน้อย
“เทพมนุษย์คงยืนกรานให้ฉันเปลี่ยนชื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เพื่อหลีกเลี่ยงทัณฑ์จากสวรรค์… ส่วนเสือครามคงแอบทุบเรือไปพร้อมกับหัวของฉัน ฮะฮะฮะ!”
วังจีโฮหัวเราะร่วน
ได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะหลังจากพูดแบบนั้น ดูแล้วคงสนิทกับเทพมนุษย์และเสือครามมากทีเดียว
‘แต่พวกเขาก็ไม่มา…’
ทำไมเสือครามกับเทพมนุษย์ถึงไม่ปรากฏตัว?
พวกเขาไม่เห็น หรือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่มาไม่ได้?
“ครูฮัมกึนยองขึ้นดาดฟ้าเรือมาแล้ว!”
“ถ่ายรูปกันเถอะ! ครูบอกให้ฉันส่งรูปให้ด้วย”
“ครู? หมายถึงครูคณิตศาสตร์ของเฮียวทงตอนม.ต้น?”
“….ใช่”
“ฉันก็ต้องถ่ายรูปส่งให้กือรินเหมือนกัน”
เด็กๆ ที่กระจายตัวอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทยอยมารวมตัวรอบเตียงอาบแดดซึ่งอยู่ใกล้กับเขตห้องโดยสารโนlวลกูดอทคoม
ได้ยินคำชักชวนถ่ายรูปหมู่ พวกเราลุกขึ้นยืน
“ครูครับ ยูรีกับเลนาล่ะ?”
“ดูเหมือนคิมยูรีจะเมาเรือหนักเลย สองคนนั้นบอกว่าขออยู่ในห้องโดยสารจนกว่าจะไปถึง”
“อ้อ… อย่างนี้นี่เอง”
เพราะกลัวทะเล ก็เลยไม่กล้าออกมา?
นี่คือครั้งแรกที่คิมยูรีได้เห็นทะเลของจริง
ส่วนควอนเลนาคงอยู่เป็นเพื่อนเพราะห่วงคิมยูรี
ลงเอยด้วย เหลือแค่เด็กผู้ชายที่ถ่ายรูปกันเอง
“แล้วครูยงไปไหน?”
“จริงด้วย… ผู้ช่วยครูประจำชั้นห้องอื่นขึ้นเรือมากันหมดแล้วนะ หรือว่าเข้าห้องพักไปแล้ว?”
“ครูยงเจกอนแจ้งว่ามาขึ้นเรือไม่ได้”
ได้ยินแบบนั้น ซาวอลเซอึมทำหน้ามึนงง
“เผ่าแท้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกโลเล เขาอาจเปลี่ยนใจไม่มาแล้วก็ได้”
“ก็อาจจะใช่… แต่ครูยงเจกอนตั้งตารอการเข้าค่ายครั้งนี้มากเลยนะ… ล่าสุดฉันเห็นเขากำลังอ่านโบรชัวร์การล่องเรือ แถมยังบอกอีกว่าจะสอนวิธีควบคุมสกิลบินให้สอดคล้องกับความเร็วเรือด้วย”
ยงเจกอนคาดหวังกับการล่องเรือสั้นๆ ขนาดนี้เชียว?
สมแล้วที่เป็นมังกรผู้แสวงหาความบันเทิง ฉันรู้สึกผิดต่อเขานิดหน่อย
“มาถ่ายรูปกันเถอะ”
“อื้อ!”
อย่างน้อยก็ควรบรรเทาความเศร้าของยงเจกอนด้วยรูปถ่ายเหล่านี้
หลังจากถ่ายรูปหมู่เสร็จ หัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไปเป็นค่ายยุวชน
“ครูครับ พวกเราต้องเตรียมการแสดงใช่ไหม… รุ่นก่อนๆ ทำอะไรไปบ้าง”
“ถ้าห้องไหนเตรียมการแสดง ร้องเพลง หรือเต้นรำมา สามารถแจ้งให้ครูฝึกค่ายทราบภายในวันแรกเพื่อจัดเตรียมสถานที่ แต่นี่ไม่ใช่กิจกรรมบังคับนะ”
“ตามปกติแล้ว ทุกห้องจะถูกบังคับให้แสดงไม่ใช่หรือครับ?”
“…เคยเป็นแบบนั้นจนถึงปีที่แล้ว แต่ยกเลิกไปด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย”
เหตุผลด้านความปลอดภัย?
การแสดงของเด็กม.ปลายปีหนึ่งในค่ายยุวชน ก่อให้เกิดอันตรายได้ด้วยหรือ?
ขณะเด็กๆ พากันฉงน ฮัมกึนยองช่วยไขความกระจ่าง
ย้อนกลับไปสมัยที่เด็กห้อง 3/0 รุ่นนี้ยังอยู่ปีหนึ่ง หรือก็คือเมื่อสองปีก่อน
พวกเขาไม่อยากร้องรำทำเพลงหรือแสดงละคร
เด็กแสบห้อง 1/0 ในเวลานั้นไม่อยากทำอะไรเลย แต่เพื่อรักษากฎระเบียบ ทางครูฝึกของค่ายและเพื่อนๆ ได้รบเร้านานนับชั่วโมงเพื่อให้พวกเขาทำการแสดง
“สิ่งที่พวกเขาแสดง… คือการโชว์พละกำลัง”
“โชว์พละกำลัง?”
“ใช่ พวกเขาทำลายเวทีของค่ายด้วยมือเปล่า โดยไม่พึ่งพาพลังพิเศษใดเลย”
อูกีฮวันและผองเพื่อนทำลายอุปกรณ์ทั้งหมดรวมถึงเวทีทิ้ง จากนั้นก็ยืนรอชดใช้ค่าเสียหายอย่างใจเย็นแล้วเดินออกไป
เมื่อเวทีพังยับเยิน กิจกรรมการแสดงได้ยุติลงทันที ครูฝึกของค่ายเริ่มหวาดกลัวพละกำลังของเด็กๆ จนบางคนขวัญหนีดีฝ่อ
และในปีถัดมา สมัยที่ห้อง 2/0 กำลังเรียนอยู่ชั้นปีหนึ่ง
ทางครูฝึกของค่ายพยายามรักษาบรรยากาศ ด้วยการคะยั้นคะยอให้เพลเยอร์จากโรงเรียนอันทรงเกียรติของเกาหลีขึ้นทำการแสดง
‘การแสดงประจำห้องเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นก็จริง แต่คิดดีแล้วหรือที่บังคับให้ห้องศูนย์ทำ…’
ห้อง 1/0 ของปีที่แล้ว ซึ่งกำลังหัวเสียเนื่องจากครูจูเก่อแจกอลมาเข้าค่ายไม่ได้เพราะติดธุระด่วน
ตอนแรกทุกคนยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่แสดง
แต่หลังจากถูกตะโกนรบเร้าอยู่นาน พวกเขาตัดสินใจประนีประนอมโดยการยื่นเงื่อนไข
—จะยอมแสดงก็ได้ ถ้าครูฝึกยอมเป็นส่วนหนึ่งของโชว์
—หือ? เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราไม่ได้บ้าพลัง อย่าเอาไปเทียบกับรุ่นพี่ห้องศูนย์สมองกล้ามสิ!
—พอดีว่าครูประจำชั้นไม่ได้มาด้วยน่ะ พวกคุณก็ช่วยหน่อยสิ
ครูฝึกประจำค่ายผู้ไร้เดียงสาเชื่อใจคำพูดนั้น และตื่นเต้นไปกับสิ่งที่เพลเยอร์ของโรงเรียนอันทรงเกียรติจะแสดง
พวกเขายอมนั่งเก้าอี้บนเวทีตามที่เด็กห้อง 1/0 ในเวลานั้นบอก
—และสิ่งที่พวกเราจะแสดงก็คือ… โชว์สะกดจิต!
—โชคดีที่ครูฝึกใจดีอาสาเป็นผู้ให้ความร่วมมือ!
เด็กๆ นำกระเทียมสิบกล่องที่ซื้อจากหมู่บ้านออกมาวาง
—โชว์นี้จะไม่มีการใช้พลังวิเศษ! เราจะสะกดจิตผู้ให้ความร่วมมือ เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเมื่อเส้นประสาทของคนเราผ่อนคลาย รสชาติที่รับรู้จะเปลี่ยนไป!
กึมชานซอลและวังชานซอลยืนเพ้อเจ้อบนเวทีอยู่สักพัก ก่อนจะเริ่มแกว่งเหรียญที่ห้อยอยู่กับเชือก
—เอาล่ะ ตอนนี้กระเทียมจะต้องมีรสชาติเหมือนกานาชมาการอง! (Ganache Macaron)
แน่นอน กระเทียมยังคงมีรสชาติกระเทียม
ยอนการัมที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยมายากล กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นกันเอง
—ตามปกติแล้ว การสะกดจิตจะแสดงผลค่อนข้างช้าค่ะ และร่างกายบางคนก็ไม่ตอบสนองต่อการสะกดจิต… ลองทดสอบดูอีกครั้งได้ไหมคะ
ด้วยทักษะควบฝูงชนของคู่หูกึมชานวังชาน รวมถึงฝีมือการตีบทแตกของยอนการัม ทีมงานครูฝึกของค่ายต้องกินกระเทียมเข้าไปกว่าครึ่งหัวจึงจะยอม ‘โกหก’ ว่ามีรสชาติตามที่นักเรียนบอก
“…ด้วยเหตุนี้ การแสดงจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นความสมัครใจ”
“อย่างนี้นี่เอง… น่าเสียดายจัง ทั้งโชว์พละกำลัง โชว์สะกดจิต… ฟังดูน่าสนุกจังเลย!”
“เด็กห้องศูนย์มีแต่พวกบ้า”
“เฮ้ย นายก็ห้องศูนย์เหมือนกัน”
ระหว่างการพูดคุยอย่างอบอุ่น ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง—เกาะซอกโม
นักเรียนต้องนั่งเรือเล็กเข้าฝั่ง เนื่องจากเกาะแห่งนี้ไม่มีท่าเรือที่ใหญ่พอจะรองรับเทียนจื่อ
ในที่สุดคิมยูรีก็ได้เห็นมหาสมุทรเต็มตา
หญิงสาวยืนริมทะเลโดยมีควอนเลนาคอยพยุงอยู่ด้านข้าง
มองใบหน้าอันซีดเซียวของคิมยูรี ฉันกล่าวเสียงแผ่ว
“อย่าลืมที่เคยบอกไป ไม่มีอะไรน่ากังวล”