บังยุนซบไม่มีความปรารถนาหรือเป้าหมายใดเป็นพิเศษ
ขณะใช้ชีวิตไปวันๆ พลังวิเศษของเขาบังเอิญตื่นขึ้น
นับแต่วินาทีนั้น เป้าหมายของบังยุนซบคือการสอบให้ติดโรงเรียนเพลเยอร์ที่ทรงเกียรติที่สุดในเกาหลี
—เข้าโรงเรียนแสงเงินแล้วไปหาเพื่อนดีๆ คบสิ
—เข้าโรงเรียนแสงเงินแล้วไปทำอะไรสนุกๆ สิ
พ่อแม่ของบังยุนซบที่อยากให้ลูกได้รับการศึกษาระดับสูงสุด พยายามเป่าหูและหล่อหลอมเขาเรื่อยมา
ต้องขอบคุณการสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง บังยุนซบมีโอกาสได้เรียนกวดวิชาในสถาบันระดับท็อปของเกาหลี เขามุมานะเรียนหนังสือจนสมองระบม และสุดท้ายก็สอบเข้าโรงเรียนแสงเงินได้อย่างหวุดหวิด
แต่ปัญหาเริ่มขึ้นหลังจากสอบติด
สำหรับบังยุนซบ ชีวิตของเขาไม่มีเป้าหมาย ‘ถัดไป’ อีกแล้ว
ก็แค่เปลี่ยนจากเด็กม.ต้นที่เรียนไปวันๆ กลายเป็นเด็กม.ปลายที่เรียนไปวันๆ
จนกระทั่งในวันพิธีจบการศึกษาของโรงเรียนมัธยมต้น บังยุนซบถูกเด็กม.ต้นรุมกลั่นแกล้งจนไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปเก็บความทรงจำเหมือนคนอื่น เผ่าแท้ที่เห็นเหตุการณ์จึงพูดกับเขาว่า
—หน้าตาดูอมทุกข์จังนะ แต่นั่นยิ่งทำให้เจ้าดูมีเสน่ห์
—ข้าจะมอบพรคุ้มครองให้ พร้อมกับช่วยจัดการพวกเด็กนิสัยไม่ดีนั่นทีละคน
ได้เห็นเผ่าแท้แสยะยิ้มราวกับงู บังยุนซบรีบพยักหน้ารับหลายครั้งติดต่อกัน
และตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญา เผ่าแท้ใช้พลังวิเศษจัดการกับพวกเด็กม.ต้นเรียงคน
ทำแม้กระทั่งร่ายคำสาปใส่เด็กที่ตะโกนด่าทอตนว่า ‘สายตาชั่วร้ายยังกับงู!’
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้บังยุนซบได้รับพรคุ้มครองของเผ่างู
—ข้าอยากมอบพรคุ้มครองให้เด็กโรงเรียนแสงเงินมานานแล้ว! เอาล่ะ ทีนี้เจ้าลองเดินเที่ยวชมโรงเรียนหน่อยสิ!
—อ…เอ๋… ดูเหมือนว่าภาชนะของเจ้าจะเล็กเกินไป ข้าจึงมอบพรคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ให้ไม่ได้… แค่จะใช้การมองเห็นร่วมกันยังทำไม่ได้เลยหรือเนี่ย… ข้าคงอดเที่ยวชมโรงเรียนแล้วสินะ…
—หืม… ถ้าอย่างนั้นข้าทำอะไรได้บ้างล่ะ… ดูเหมือนจะช่วยได้แค่เตือนสติตอนที่เจ้าพยายามทำอะไรที่เกินเยียวยา… หรือถ้าภาวนาอย่างแรงกล้าเราอาจจะได้คุยกันอีก
กล่าวจบ เผ่าแท้คนนั้นหายตัวไปทันที
หลังจากเหตุการณ์นั้น บังยุนซบพยายามเรียกเผ่างูอยู่หลายหน
แต่ไม่แน่ใจว่าคำภาวนาไม่แรงกล้าพอหรืออย่างไร เผ่างูมิได้ตอบสนองเขาอีกเลย
พรคุ้มครองของเผ่างูที่บังยุนซบเคยคิดว่าเป็นวาสนา กลับไร้ค่าจนเขาหาวิธีใช้ประโยชน์ไม่ได้
“ยุนซบ แม่ปอกเมล่อนเสร็จแล้ว! ออกมากินได้!”
บังยุนซบที่กำลังนั่งเหม่อตรงมุมห้อง ลุกพรวดขึ้นทันที
เมื่อเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น เขาเห็นเมล่อนสีขาวกับส้อมคันเล็กวางอยู่บนโต๊ะ
โฮโลแกรมบนผนังห้องกำลังฉายข่าวของค่ายยุวชน
“ช่วงนี้มีแต่ข่าวนี้… แม้แต่คนข้างบ้านก็ยังเอาแต่พูดถึงโรงเรียนแสงเงิน! ทุกคนดูตกใจมากพอรู้ว่าลูกชายของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมจัดการรอยแยก”
ขณะกล่าว แม่บังยุนซบยื่นเมล่อนให้หนึ่งชิ้น
บนหน้าจอกำลังรายงานความสำเร็จของอันดาอินและจูซูย็อก
‘ตอนนั้นเราทำอะไรบ้างน่ะหรือ’
ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ดีไปกว่าบังยุนซบ
…ไม่ได้ทำอะไรเลย
เขาถลำลึกเกินไปจนเกือบทำให้เพื่อนเดือดร้อนไปด้วย และหลังจากจูซูย็อกแยกตัวไปเข้าหน่วยบุก บังยุนซบก็พลาดท่าจนตัวเองต้องบาดเจ็บ
บังยุนซบคิดว่าหลังจากเข้าโรงเรียนแสงเงิน เขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ความจริงแล้วยังห่วยแตกแทบไม่ต่างจากเดิม
พยายามลองเลียนแบบพวกนักเลงที่ชอบกลั่นแกล้งตนตอนม.ต้นก็แล้ว แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยน
ความพยายามที่จะกลมกลืนไปกับเหล่าอัจฉริยะของโรงเรียน กลับมอบคำสาปที่อาจถอดเล็บเขาทั้งสิบนิ้ว รวมถึงชื่อเล่นที่ไม่น่าอภิรมย์อย่าง ‘เบ๊ขนมปัง’ และ ‘รายการร้านขนมปังอร่อยในเขตปริมณฑล’
ขณะความอึดอัดเริ่มก่อตัว เสียงหนึ่งดังสะท้อนอยู่ในหัว
—ช่างไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลย
ทักกอซันพูดคำนั้นพลางส่ายหน้า
—แต่ถ้าแก้ไขนิสัยอันบิดเบี้ยวนั่นได้ เธอก็สามารถทำประโยชน์ได้เหมือนกับคนปกติ
เป็นคำที่ทักกอซันพูดหลังจากบังยุนซบพ่ายแพ้เม็งเฮียวทงด้วยคะแนน 1 ต่อ 2 ยก
ความทรงจำเมื่อครั้งที่ทักกอซันแตะบ่าตนขณะเดินลงจากเวที ระลึกย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ทำไมเราถึง…”
“ยุนซบ?”
ตอนที่ทักกอซันใจดีเสนอตัวเป็นอาจารย์ให้ต่อ บังยุนซบกลับโมโหและพยายามผลักไสอีกฝ่าย
พอเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ต่อให้ตนอยากแข็งแกร่งกว่าเดิม แต่ก็คงไม่มีหน้ากลับไปหาเขาแล้ว
ท่ามกลางห้วงความคิด บังยุนซบระลึกถึงคำพูดของโชอึยชิน ชายผู้มอบสมญานาม ‘เบ๊ขนมปัง’ ให้กับตน
—ไว้ใจเย็นลงแล้ว ลองไตร่ตรองดูใหม่นะ ถ้านายเปลี่ยนใจก็อย่าได้ลังเลที่จะไปหาเขา
บังยุนซบลุกพรวดจากที่นั่ง
“เดี๋ยวผมกลับมา”
“ข้างนอกอากาศร้อนมากเลยนะ! ถ้าจะออกไปก็ทาครีมกันแดดก่อนสิ!”
“ไว้คราวหน้า!”
โดยไม่แยแสคำแนะนำของแม่ บังยุนซบรีบร้อนวิ่งออกจากบ้าน
‘เวรเอ้ย… เขาอาจจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้…’
แม้จะคิดแบบนั้น แต่พอรู้ตัวอีกที บังยุนซบก็มาถึงโรงเรียนแสงเงินแล้ว
หลังจากวิ่งเข้าเขตอาคารเรียนปีหนึ่งในสภาพเหงื่อแตกพลั่ก
เขาเห็นใครบางคนในลานอเนกประสงค์สำหรับเด็กปีหนึ่ง
“เอาใหม่! เร็วกว่านี้!”
เป็นเสียงของทักกอซัน
ด้านหน้าทักกอซันคือเม็งเฮียวทงที่ชุ่มเหงื่อ กำลังตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก
บังยุนซบถึงกับส่ายหน้าเมื่อเห็นเม็งเฮียวทงปล่อยคลื่นพลังวิเศษตามที่ทักกอซันบอก ไปพร้อมกับการชกหมัดความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง
‘…ไอ้เตี้ยนั่นเปลี่ยนใจมาเป็นศิษย์แล้วสินะ’
เดินกลับดีไหม
ยิ่งเขาครุ่นคิด คำพูดของรองหัวหน้าห้อง 1/0 ก็ยิ่งวนเวียนอยู่ในหัว
—ไม่ว่าจะเป็นโอกาสแบบไหน แต่ถ้ามันมาอยู่ตรงหน้า นายก็ควรคว้าไว้ไม่ใช่หรือไง
เพลเยอร์ระดับทักกอซันนั้นไม่ธรรมดา
และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีใครอยากรับตนเป็นศิษย์
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต
‘ปู่เป็นคนบอกเองว่าจะรับเราเป็นศิษย์… จะมีศิษย์เพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรหรอกน่า!’
ในท่ากำหมัดแน่น บังยุนซบก้าวเท้าออกไปหาสองศิษย์อาจารย์อัจฉริยะ
* * *
‘เธอชื่อเยจองสินะ’
เมื่อได้ยินชื่อเยจอง เรื่องราวของบุคคลหนึ่งผุดขึ้นในหัวฉันทันที
โอเยจอง—พี่สาวแท้ๆ ของโอเยจี หัวหน้ากรรมการรักษาระเบียบชั้นปีที่สามและตัวละครควบคุมได้
สองพี่น้องต่างก็เป็นเพลเยอร์ทั้งคู่ แต่ไม่เหมือนกับโอเยจีที่สร้างชื่อบ่อยครั้งในทีมบุกรอยแยกต่างมิติ คนพี่อย่างโอเยจองแทบไม่เคยออกสื่อและไม่เป็นที่รู้จักของสาธารณชน
สถานะปัจจุบันของเธอคือบุคคลสูญหาย โดยมีจูโอกรุปแอบสืบหาตัวอย่างลับๆ
ย้อนกลับไปในตอนที่เธอถูกจับหมั้นกับจูซูกย็อมเพื่อแก้ปัญหา ‘วิกฤติจูโอ’ หญิงสาวตัดสินใจหนีไปจากห้องพักเจ้าสาวพร้อมกับทิ้งข้อความไว้ว่า ‘อย่ามาประสาทแดกกับกู’
นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดของโอเยจองในเกม โดยหลังจากนั้นเธอก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย
‘แต่เรายังไม่อยากฟันธง… ชื่อเยจองถือว่าค่อนข้างโหลในเกาหลี’
ตราบใดที่ยังไม่ทราบนามสกุลของสตรีตรงหน้าซาวอลเซมิน ฉันยังไม่ควรด่วนสรุป
“คุณเยจอง… ถ้าพูดแบบนั้น ผมก็ยิ่งปล่อยมือจากคุณได้ยากขึ้นอีก”
“งั้นก็อย่าปล่อยสิคะ”
“ทำไมคุณถึงอยากอยู่ในสถานที่อันน่าอึดอัดแบบนี้ต่อไปล่ะ”
“เพราะสถานที่อันน่าอึดอัดมีคุณเซมินอยู่…”
ยิ่งได้ฟัง ความทรงจำเก่าก็ยิ่งหวนกลับมา
เสียงของฝ่ายหญิงฟังดูคล้ายเสียงรปภ.ของศูนย์ประชุมในยออึยโด ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประมูลมายาโuเวลกูดอฺทคอม
‘ดูยังไงก็ชอบพอกันอยู่ชัดๆ’
ถ้าฟังแค่เนื้อหาการสนทนา มันอาจดูเหมือน ‘คุณเยจอง’ รักเค้าข้างเดียว แต่ถ้าได้เห็นสายตาห่วงหาอาทรของฝ่ายชายด้วยก็จะเข้าใจว่าไม่ใช่
ซาวอลเซมินพูดกับโอเยจองด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“คุณเยจอง ผมแอบสืบประวัติคุณมาแล้ว”
“ฉันพักอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูลซาวอลนานขนาดนี้ จะถูกสืบประวัติแล้วมันแปลกตรงไหน”
“ทั้งประธานและกรรมการบริหารส่วนใหญ่ของบริษัทการเงินในเครือจูโอ ล้วนมีนามสกุลเดียวกับคุณ”
“แล้วยังไงต่อ”
“คุณเยจองเป็นคนจากตระกูลใหญ่ เมื่อเทียบกับคุณจูซูกย็อม อดีตคู่หมั้นของคุณที่เป็นถึงกรรมการฝ่ายบริหาร ผมมันก็แค่…”
เมื่อได้ยินชื่อจูซูกย็อมจากจูโอกรุป ฉันกระจ่างทันที
เธอคือโอเยจองเดียวกับที่ฉันรู้จัก
ตอนที่พบกันครั้งแรกอาจดูไม่ออกเพราะเธอบาดเจ็บที่ใบหน้า แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาโอเยจีขึ้นมาหลายส่วน
“สืบมาถึงขนาดนั้นเลยสินะ แล้วยังไงต่อคะ”
“คงมีคนที่เหมาะสมกับคุณมากกว่าผม”
“แล้วมันใครกันล่ะ”
โอเยจองก้าวเท้าเข้าไปหาซาวอลเซมิน
ฝ่ายหลังสะดุ้งเล็กน้อยแต่ไม่ถอยหนี เพียงจ้องเข้าไปในดวงตาหญิงสาวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“คิดจะส่งฉันกลับไปหาจูซูกย็อม ไอ้ผึ้งงานที่ไม่มีเลือดไม่มีน้ำตาคนนั้นน่ะหรือ… ช่วงเวลาเดียวที่เขาดูเหมือนคนขึ้นมาหน่อย คือตอนที่เขาช่วยฉันหลบหนีและพังงานหมั้นจนตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า”
“นอกจากเขา จะต้องมีคนที่เหมาะสมกับคุณโอเยจองมากกว่าผมแน่…”
“ใครกันล่ะ? ตระกูลบ้านแตกสาแหรกขาดอย่าง TC น่ะหรือ? ในบรรดาผู้ชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน พวกที่สติยังดีอยู่มีแค่เด็กๆ เท่านั้นแหละ… หรือจะให้แต่งกับวังมยองกรุปที่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ด้วยซ้ำ? หรือว่าฉันต้องไปขุดประวัติทะเบียนราษฎร์ของผู้ชายตระกูลนัมกุงที่กระจัดกระจาย แล้วเลือกคนดีๆ สักคนมาแต่งงานด้วย?”
โอเยจองที่สามารถแดกดันสี่ตระกูลใหญ่ได้ภายในลมหายใจเดียว ขยับเข้าใกล้ซาวอลเซมินอีกหนึ่งก้าว
เป็นระยะทางที่ใกล้จนฝ่ายหญิงสามารถซบไหล่ฝ่ายชาย
“คุณเยจอง…”
ซาวอลเซมินสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับยกมือ
มือของเขาเอาแต่ลอยไปมาในอากาศ ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกว่าควรผลักหรือกอดเธอดี
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย กระทั่งคำพูดก็ยังตะกุกตะกัก
“…ไม่จำเป็นต้องเป็นตระกูลแชโบลก็ได้ ผมแค่อยากให้คุณไปเจอคนดีที่กว่าผมและใช้ชีวิตอย่างอิสระ”
“คนที่ดีกว่าคุณเซมิน? คนแบบนั้นอยู่ที่ไหนมิทราบ! ฉันไม่เคยเจอใครอ่อนโยน เท่ รักความยุติธรรม และน่ารักได้เท่าคุณเซมินอีกแล้ว”
“อ…เอ่อ…”
โอเยจองผู้ชีวิตต้องพบเจอแต่เรื่องขื่นขม รู้สึกอบอุ่นขึ้นเมื่อได้อยู่ใกล้ซาวอลเซมิน
ได้ยินคำพูดหญิงสาว ฝ่ายชายเริ่มทำตัวไม่ถูก
บทสนทนาสุดหวานแหววทำเอาซาวอลเซอึมเริ่มตัวลอยด้วยใบหน้าแดงก่ำ เดือดร้อนฉันต้องดึงลงมาก่อนที่เขาจะลอยหลุดขอบกำแพงขึ้นไป
“ฉันขออนุญาตจากผู้อาวุโสฝั่งตระกูลซาวอลมาแล้ว ส่วนทางตระกูลฉันไม่ต้องเป็นห่วง ถ้ามีใครกล้าหือ ฉันจะไล่จัดการเรียงตัวเลยให้ดู! พวกตาแก่ที่ฉลาดการคำนวณนั่น ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหุบปากให้สนิท เพราะพวกเขารู้ดีว่าคนอย่างฉันจะเปิดโปงทุกสิ่งแม้ต้องแลกด้วยชีวิต! ถ้าฉันได้พูดออกไป แผนการเกษียณของพวกเขาจะพังไม่เป็นท่าจนต้องทุกข์ทรมานไปหลายสิบปี!”
“ต้องแลกด้วยชีวิต…?”
สิ่งที่ซาวอลเซมินเป็นกังวลมากที่สุดในคำพูดรัวเป็นชุดนั่น คือความเป็นความตายของโอเยจอง
เธอคงเพิ่งรู้สึกตัว จึงรีบเปลี่ยนประเด็นด้วยใบหน้าเขินอาย
“…สำหรับแขกในงาน ฝั่งฉันเชิญแค่น้องคนเดียวก็พอแล้ว ดังนั้น ถ้าคุณเซมินตกลงก็ช่วยพยักหน้าด้วยค่ะ…”
“ก…กำลังพูดถึงเรื่องอะไรครับเนี่ย!”
“งานแต่งของเราไงคะ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘งานแต่ง’ ซาวอลเซมินซวนเซอย่างออกอาการ
หากไม่มีต้นไม้ด้านหลังช่วยรับไว้ ป่านนี้คงล้มหงายไปเรียบร้อยแล้ว
“ง…งานแต่ง”
“ฉันชอบครอบครัวนี้มาก แม้ความเชื่อของลัทธิขงจื๊อจะหยั่งรากลึกไปหน่อยก็ตาม ในตอนที่ไปปรึกษากับผู้ใหญ่เรื่องคุณเซมิน พวกท่านเล่าว่ารุ่นเขาก็แต่งงานกันเลยโดยไม่ได้คบกันก่อน พอลองมาคิดตาม แบบนั้นก็ไม่เลวเหมือนกันนะ… ฉันลองศึกษาชุดแต่งงานแบบเก่ามาหมดแล้ว พวกมันทั้งมีชีวิตชีวาและน่ารักมาก แต่ยังไงฉันก็อยากโยนช่อดอกไม้ และอยากเห็นคุณเซมินสวมทักซิโด้สักครั้ง… ไว้แต่งงานกันครบหนึ่งปีเมื่อไร เรามาแต่งซ้ำในสไตล์ตะวันตกกันอีกรอบนะคะ”
“คุณเยจอง… จะล้อเล่นก็ให้มีขอบเขตบ้างสิครับ!”
“ฉันดูเหมือนคนที่พูดล้อเล่นกับเรื่องแต่งงานนักหรือไง… ฝ่ายที่ควรถูกตำหนิเรื่องพูดล้อเล่น คือคนที่ไล่ฉันไปแต่งงานกับไอ้พวกกุ๊ยไม่มีกระดูกสันหลังต่างหาก!”
โอเยจองเลื่อนมือขึ้นไปที่แก้มซาวอลเซมินแล้วดึงเขาเข้ามาใกล้
แทบไม่มีการต่อต้านจากฝ่ายชาย
“ฉันรู้ว่าคุณยังกังวลและไม่มั่นใจ แต่ได้โปรดเชื่อฉัน”
“คุณเยจอง…”
โอเยจองเพิ่มแรงดึงที่มือ
แม้มันจะสายไปแล้ว แต่ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่า หากเรายังแอบดูและฟังต่อไป นั่นจะยิ่งเป็นการเสียมารยาทอย่างไม่น่าให้อภัย
ขณะฉันกับซาวอลเซอึมเตรียมหนี
โป๊ก!
“อ๊า!”
ซาวอลเซอึมที่กำลังลนลาน เผลอเอาหัวโขกเข้ากับกำแพง
ฉันรีบเข้าไปประคองเพื่อไม่ให้เขาล้ม แต่นั่นทำให้เราสองคนถูกพบตัว
“น้องสามีมาถึงแล้วหรือ ข้างๆ คือเพื่อนคนที่ว่าสินะ”
“สวัสดีครับคุณอาสะใภ้”
“สวัสดีจ่ะ”
โอเยจองยังคงพูดจาฉะฉานแม้มือของเธอจะกำลังโอบท้ายทอยซาวอลเซมินอยู่
ใบหน้าของฝ่ายหลังซีดเผือดเมื่อทราบว่าหลานของตนแอบดูอยู่ และไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“น…น้องสามี… อาสะใภ้…!”
“เซอึมเป็นหลานคุณเซมิน ตามหลักแล้วควรจะเรียกชื่อเฉยๆ หรือไม่ก็หลานสามีสินะคะ… แต่ฉันได้ยินว่าเซอึมรักคุณเซมินเหมือนพี่ชายแท้ๆ ก็เลยตัดสินใจเรียกว่าน้องสามีแทน”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น…”
“แล้วตรงไหน”
ซาวอลเซมินหมดคำจะกล่าว
สัมผัสถึงความกระอักกระอ่วนของสถานการณ์ ซาวอลเซอึมรีบหยิบถุงชอปปิ้งขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“จริงสิครับ คุณอา… ผมซื้อเครื่องชุดเครื่องสำอางมาให้แล้ว ร้านที่คุณอาฝากซื้อเป็นของขวัญให้คุณอาสะใภ้…”
“เซอึม! พูดอะไรออกมาตอนนี้!”
“คุณเซมิน… นี่คุณใช้ให้น้องสามีซื้อของขวัญมาฝากฉัน?”
ดูเหมือนจะได้ผลตรงกันข้าม
บรรยากาศพังทลายทันที และซาวอลเซอึมโดนซาวอลเซมินเทศนาไปหนึ่งชุดใหญ่
เนื้อหาหลักๆ เกี่ยวกับ ‘ห้ามเรียกเยจองว่าอาสะใภ้!’
“นายคือคนที่ปลอมตัวเป็นย็อมจุนยอลเมื่อตอนนั้นสินะ… ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
ขณะซาวอลเซอึมกับซาวอลเซมินยืนค่อนข้างห่าง โอเยจองดึงแขนฉันเข้าไปหาแล้วพูด
“เกี่ยวกับพรคุ้มครองของเซอึมน่ะ”