ระบบพรคุ้มครองของโลกนี้ค่อนข้างพิเศษ
พรคุ้มครองหมายถึงการฝัง ‘ตัวตน’ ของเบื้องบน หรือเผ่าแท้ในเทพนิยาย หรือเผ่าแท้ในตำนานให้กับเป้าหมายภายใต้ความยินยอมของทั้งสองฝ่าย
ส่งผลให้สิ่งที่มีชีวิตระดับสูงที่มิอาจแทรกแซงโลกโดยตรง สามารถเปลี่ยน ‘ตัวตน’ นามธรรมให้กลายเป็นรูปธรรม แล้วสำแดงพลังผ่านพรคุ้มครอง
มีเบื้องบนและเผ่าแท้จำนวนมากยินดีที่จะแจกจ่ายพรคุ้มครอง เนื่องจากพลังของพวกตนมิได้ลดลง อีกทั้งยังสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ฝ่ายเดียวได้เรื่อยๆ
แต่แน่นอนว่ามีความเสี่ยง
หากมอบพรคุ้มครองที่ใหญ่เกินกว่าภาชนะจะรับไหว ร่างกายและจิตใจของทั้งผู้รับและผู้ให้อาจพังทลาย
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ฝ่ายให้และฝ่ายรับจึงต้องยินยอมพร้อมใจก่อนมอบพรคุ้มครอง
“พอได้ยินว่าเซอึมจะกลับไปเรียน ฉันอยากช่วยเหลือเขา ก็เลยแนะนำเผ่าแท้ที่รู้จักให้”
ภายในเกม ซาวอลเซอึมไม่มีพรคุ้มครอง
แต่ในตอนที่ได้เจอกันอีกครั้งในวันเอพริลฟูล ฉันพบว่าซาวอลเซอึมมีพรคุ้มครองของเผ่าระกา
เป็นพรคุ้มครองที่ทรงพลังจนแม้แต่วังจีโฮยังแอบเป็นกังวล
‘ไหนลองดูอีกที’
ตอนนี้ซาวอลเซอึมกำลังเม้มปากแน่น ดูเหมือนจะไม่พอใจที่ถูกซาวอลเซมินห้ามเรียกโอเยจองว่าอาสะใภ้
ขณะมองอีกยืนฟังเทศนาแบบขอไปที ฉันเปิดหน้าต่างเมนูพิเศษ
〈เรียกดูข้อมูลตัวละคร ‘ซาวอลเซอึม’ 〉
[ชื่อ] ซาวอลเซอึม
[สมญา] ทายาทของผู้ส่งสารแห่งปัจฉิมราชวงศ์, ปีหนึ่งโรงเรียนมัธยมปลายแสงเงิน
[พรคุ้มครอง] คำแนะนำจากเผ่าระกา ‘เรียกหาข้าเมื่อเจ้าต้องการบิน’
…
…
…
ไม่ผิดจากที่เคยเห็น เขามีพรคุ้มครองที่ไม่มีในเกม
‘เผ่าระกามีส่วนร่วมกับเส้นเรื่องก็จริง แต่เบาะแสน้อยเกินกว่าจะนำมาตัดสิน’
แม้จะลองนึกทบทวนเหตุการณ์ในเกม และลองเช็กรายละเอียดด้วยตาตัวเองแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่พบคำตอบ
จึงหันไปถามโอเยจองโดยตรง
“เป็นเผ่าไหน เชื่อใจได้ไหม”
“ไก่ขาวแห่งเผ่าระกา… ต้นตระกูลเผ่าระกาผู้ป่าวประกาศการถือกำเนิดของคิมอัลจี—ต้นตระกูลของราชวงศ์กเยริม… ตำนานกล่าวไว้ว่า ไก่ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้คือผู้แจ้งให้พระเจ้าทัลแฮทราบถึงตำแหน่งของหีบทองคำที่บรรจุทารกคิมอัลจีไว้… เมื่อย่างเข้าสู่รัชสมัยของราชวงศ์กเยริม ไก่ขาวได้กลายเป็นเผ่าแท้และดำรงชีวิตเรื่อยมา”
(เกร็ดเสริม – คิมอัลจีถือเป็นต้นตระกูล ‘คิม’ ของชาวเกาหลี ถูกพระเจ้าทัลแฮเก็บมาเลี้ยงในวังตั้งแต่ยังเป็นทารก พระองค์ชอบใจทารกคนนี้มาก จึงมอบนามสกุล ‘คิม’ ที่แปลว่าทองเนื่องจากถูกพบในหีบทองคำ; ในภายหลังลูกหลานของคิมอัลจีนามว่า ‘คิมมีชู’ ได้ขึ้นครองราชย์ในฐานะ ‘พระเจ้ามีชู’ และถือเป็นทายาทสกุลคิมคนแรกที่ได้ครองบัลลังก์; พระเจ้ามีชูได้ประกาศเปลี่ยนชื่ออาณาจักรและชื่อราชวงศ์เป็น ‘กเยริม’ ตามชื่อของป่าที่พบหีบทองคำบรรจุทารกคิมอัลจี)
กเยริมคืออีกชื่อหนึ่งของชิลลา และสัตว์นำโชคของอาณาจักรชิลลาก็คือไก่
เผ่าระกาที่มอบพรคุ้มครองให้ซาวอลเซอึมมิได้มีจุดเริ่มต้นหวือหวาเหมือนกับเผ่าเสือ แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในเทพนิยายสร้างชาติ จึงถูกยกย่องในระดับเทพนิยายเผ่าระกา
พอได้ยินคำว่าไก่ศักดิ์สิทธิ์ ฉันพยักหน้ารับอย่างเป็นธรรมชาติ
“ถ้าเป็นไก่ขาวที่อยู่มาตั้งแต่ยุคกเยริม ก็คงไว้ใจให้ดูแลซาวอลเซอึมได้”
“หืม… เปลี่ยนสีหน้าทันทีเลยนะ เมื่อสักครู่ยังกังขาอยู่เลยไม่ใช่หรือ”
“ไก่ศักดิ์สิทธิ์ถูกยกย่องว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันทรงเกียรติอย่างยาวนานจนถึงปัจฉิมราชวงศ์ เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถทำนายการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์ได้แม่นยำ”
“ข้อมูลแน่นปึ๊ก…”
“ปัจฉิมราชวงศ์ยังใช้ไหทองเหลืองที่สลักลวดลายไก่ บรรจุน้ำอัมฤทธิ์สำหรับใช้ในพิธีเซ่นไหว้บรรพชน”
เผ่าระกาอาจมีบทบาทน้อยในเกม แต่ตามตำนานแล้วเป็นเผ่าแท้ที่คอยปกป้องมนุษย์มาเนิ่นนาน อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับปัจฉิมราชวงศ์
อย่างน้อยก็ในกรณีของซาวอลเซอึม
“ถูกต้อง เผ่าแท้ที่ฉันแนะนำอาจไม่แข็งแกร่งเท่าเผ่ามังกร แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อปัจฉิมราชวงศ์มาก… อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะมีชีวิตอยู่มานาน นิสัยในบางแง่มุมจึงค่อนข้างพิสดาร เป็นพวกชอบหลับตาพุ่งชนเป้าหมายเวลาสติแตก นั่นคือประเด็นที่ฉันยังกังวล”
คิมอัลจี—ต้นตระกูลของราชวงศ์กเยริม ลืมตาดูโลกครั้งแรกเมื่อราวสองพันปีก่อน สมัยที่พระเจ้าทัลแฮเพิ่งครองบัลลังก์ได้ไม่นาน
…อายุแค่สองพันปีนี่เรียกว่า ‘อยู่มานาน’ ได้แล้วหรือ
ฉันอยากเห็นสีหน้าของโอเยจองในตอนที่ทราบอายุจริงของนักเรียนห้อง 1/0
“คุณกังวลว่าเผ่าระกาจะแทรกแซงโลกมากเกินไป?”
“ใช่ แม้ว่าน้องสามีจะแข็งแกร่ง แต่พรคุ้มครองที่เขาได้รับมันยิ่งใหญ่เกินไปจนน่ากังวล… หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าเผ่าระกาคงกุลีกุจอไปถึงเขตอึนกวางแล้วก่อความวุ่นวาย… แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว”
ถ้าพูดถึงขนาดนั้น เราสามารถอนุมานได้ว่าไก่ขาวแห่งเผ่าระกา เป็นพวกหัวรุนแรงยิ่งกว่าโอเยจองเสียอีก
…ชักเป็นห่วงความปลอดภัยซาวอลเซอึมแล้วแฮะ
“จะช่วยดูให้นะครับ”
“ฝากด้วยนะ ฉันคงออกไปไหนไม่ได้ถ้ายังไม่ได้แต่งงานกับคุณเซมิน… ตาแก่นั่นอาจสร้างเรื่องปวดหัวเป็นพักๆ”
ขณะพูด โอเยจองมองหน้าซาวอลเซมินอย่างมีความสุข
คงสัมผัสถึงสายตาได้ ฝ่ายหลังมองกลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
สองคนนี้ชอบพอกันแน่นอน และตัวละครของฉันอย่างซาวอลเซอึมกับโอเยจี ก็คงอยากเห็นโอเยจองมีความสุข ดังนั้นฉันจะเอาใจช่วยเธออีกแรง
ผ่านไปไม่กี่นาทีหลังจากเดินตามซาวอลเซมินที่เริ่มใจเย็นลง ซาวอลเซอึมกล่าวอย่างร่าเริง
“ห้องของฉันอยู่ทางนั้น เดี๋ยวจะไปเปิดประตูให้นะ!”
ผนังและประตูห้องของซาวอลเซอึมทำจากกระดาษในกรอบไม้ มองผิวเผินอาจดูเหมือนความปลอดภัยต่ำ แต่อักขระบาเรียที่สลักอยู่ตรงห่วงประตูช่วยให้ดูอุ่นใจขึ้นมาก
วาบ!
คลื่นพลังวิเศษของซาวอลเซอึมตอบสนองกับบาเรียที่ห่วงประตู จนมีแสงสว่างแผ่ออกมา
เมื่อแสงหายไป ประตูห้องเปิดออกด้วยตัวเองราวกับกำลังทักทายผู้มาเยือน
ได้เห็นภายในห้องที่คล้ายกับหลุดมาจากฉากในละครย้อนยุค ฉันผงะทันที
เนื่องจากมี ‘คำนั้น’ ถูกแปะอยู่เต็มผนัง
[จอมโจรผาแดงผู้ทำลายมายาเกต ได้ส่งทรัพย์สินทางวัฒนธรรมคืนให้กับรัฐบาล!]
[ตัวแทนองค์กรอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมกล่าวว่า ‘ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง’ เพื่อเชิดชูวีรกรรมอันน่าชื่นชมของจอมโจรผาแดงผู้เปิดโปงงานประมูลมายา!]
[จอมโจรผาแดงคือใครกัน?]
ได้เห็นพาดหัวข่าวที่ตัดมาจากหนังสือพิมพ์ สมองของฉันเริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง
ซาวอลเซอึมกล่าวอย่างไร้เดียงสาโดยไม่สังเกตเห็นความทุกข์ทรมานในตัวฉัน
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยพาเพื่อนมาที่บ้าน… ต้องทำยังต่อหรือครับ”
“เตรียมชากับผลไม้มาเสิร์ฟ”
“จริงด้วย!”
ซาวอลเซอึมรีบบินออกไปเตรียมชา
ชาตังกุยที่ชงจากผงรากสนบดและน้ำผึ้ง ชาตังกุยขาวจะเสิร์ฟเย็น ส่วนตังกุยแดงเสิร์ฟร้อน
ผลไม้ที่ถูกเสิร์ฟคู่กับชา คือลูกพลัมตามฤดูกาลที่ดูเหมือนจะหวานเป็นพิเศษเนื่องจากมีน้ำตาลขาวโรยหน้า
เมื่อน้ำชาและผลไม้ถูกยกเข้ามา ฉันเริ่มแนะนำตัวเองแม้จะสายไปสักนิด
“ขอแนะนำตัวนะครับ ชื่อของผมคือ…”
ฉันกล่าวแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการในฐานะโชอึยชิน
แนะนำตัวเสร็จ โอเยจองเริ่มเล่าเรื่องราวของตนให้ฟัง
เธอเล่าอย่างกระชับ เริ่มจากเรื่องที่เคยพังงานหมั้นของตัวเองซึ่งเธอนิยามมันว่า ‘พิธีประสาทแดก’ และชีวิตหลังจากนั้นจนกระทั่งได้เจอกับพวกเรา
หลังจากกล่าวขอบคุณฉันอีกครั้ง โอเยจองเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“รู้จักน้องสาวฉันไหม โอเยจี อยู่ปีสามโรงเรียนแสงเงิน”
“เคยเจอกันตอนแข่งทัวร์นาเมนต์มากรุก แล้วก็เคยเป็นหนี้บุญคุณในเหตุการณ์บนเรือคีโมโพลียาครับ”
“เล่าเรื่องของเยจีให้ฟังหน่อยสิ น้องสามีแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอเลย”
ฉันเริ่มเล่าความเกี่ยวข้องทั้งหมดระหว่างตัวเองกับโอเยจี
พอเล่ามาถึงคีโมโพลียา โอเยจองเปิดปากอีกครั้งหลังจากเงียบฟังมานาน
“…ไอ้พวกตาแก่วิปริตนั่นคิดจะจับคู่ซูย็อกกับเยจี?”
เธออนุมานเอาเองจากคำบรรยายเพียงไม่กี่คำ ขณะฉันเล่าถึงสถานการณ์ขณะขึ้นเรือคีโมโพลียาพร้อมกับจูซูย็อก
ลางสังหรณ์ดียังกับผี
โดยไม่รอให้ฉันตอบ โอเยจองที่มั่นใจ ทำหน้าบูดพร้อมกับเดาะลิ้น
“ชิ! พวกตาแก่เวรนั่นไม่ได้รับบทเรียนเลยหรือไง… ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องรีบบอกฉันทันทีเลยนะ!”
“เอ่อ… ฉันก็อยากมีช่องทางติดต่อกับเธอด้วยเหมือนกัน”
หลังจากแลกเปลี่ยนรหัสดีไวซ์ เรายังคงสนทนากันต่อ
เมื่อฉันเล่าว่าจูซูกย็อมบาดเจ็บจากการปกป้องโอเยจีในรอยแยกต่างมิติ โอเยจองเผยสีหน้าซับซ้อนพร้อมกับรัวยิงคำถามโuเวลฺกูดoทคoม
“…จูซูกย็อมทำเรื่องแบบนั้นจริงหรือ หมอนั่นเป็นมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไร… ไม่ได้จำผิดแน่นะ?”
“ครับ ผมเห็นแพทย์ประจำเรือรีบรักษาเขาทันทีที่ออกจากรอยแยก รุ่นพี่โอเยจีก็ทำหน้าเป็นกังวลมากเลย”
ขณะโอเยจองขมวดคิ้ว
กริ๊ง!
เสียงกระดิ่งกระจ่างใสดังมาจากที่ใดสักแห่ง
หันไปตามต้นเสียง ฉันเห็นเงาของนกคาบกระดิ่ง ปรากฏอยู่บนประตูกระดาษ
“คงจะเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ!”
เมื่อซาวอลเซอึมเปิดประตูกระดาษ เราสี่คนเห็นนกตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกโดยคาบกระดิ่งไว้ในจะงอยปาก
นกบินวนรอบเด็กหนุ่มแล้วเริ่มกระพือปีกนำทาง
“ทางนั้นมัน… ป่าสนลึกสินะ… แปลกมากเลย ปกติพวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยเชิญใครไปแถวนั้น!”
“ดูเหมือนท่านอาวุโสจะให้เกียรติแขกกิตติมศักดิ์ของเรามากทีเดียว”
ขณะเคอะเขินกับคำว่าแขกกิตติมศักดิ์ ฉันมองเข้าไปในป่าสนสองข้างทางโดยไม่พูดไม่จา
มองผิวเผินอาจดูเหมือนกับป่าที่ไม่มีทางเดิน แต่ยิ่งก้าวไปตามเส้นทางที่นกบินนำ ทิวทัศน์ของทางเดินอันงดงามก็ยิ่งเผยตัวออกมา
หลังจากเดินผ่านป่าสนอยู่สักพัก หลังคาศาลาเริ่มมองเห็นอยู่รำไร
กริ๊ง กริ๊ง
ราวกับเป็นการอำลา นกนำทางสั่นกระดิ่งสองหนแล้วบินหายไปในทิศทางที่เจ้าถิ่นยืนรอต้อนรับอยู่
ภายในศาลาโอ่โถง สี่บุคคลแต่งกายด้วยชุดฮันบกกำลังมองมาทางพวกเรา
บนใบหน้าสงบนิ่งของสี่อาวุโส ล้วนมีเค้าโครงของซาวอลเซอึมปรากฏอย่างเลือนราง
อาวุโสสี่คนแบ่งออกเป็นสองคู่
หนึ่งคู่รักวัยชรา และหนึ่งคู่รักวัยกลางคน
“นี่คือคุณพ่อคุณแม่ และคุณปู่คุณย่าของฉันเอง”
ไม่นานหลังจากซาวอลเซอึมกระซิบ ทั้งสี่ก้มศีรษะคำนับฉันอย่างนอบน้อม
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับผู้มีพระคุณของตระกูลเรา”
แม้จะอึดอัดที่ถูกคนแก่คำนับให้ แต่ฉันรีบตั้งสติแล้วทักทายกลับไปด้วยความนอบน้อมสูงสุด
“ขอบคุณที่ให้เกียรติผมขนาดนี้นะครับ ผมแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ ได้โปรดเงยหน้าขึ้นด้วย”
“ในฐานะเจ้าบ้านและอดีตเจ้าบ้านของตระกูลเซอึม เป็นธรรมดาที่เราจะทักทายผู้มีพระคุณอย่างสมเกียรติ”
แม้จะไม่มี ‘คำนั้น’ หลุดออกมา แต่ฉันรู้สึกจั๊กจี้เพราะคำเยินยอจากพ่อแม่และปู่ย่าของซาวอลเซอึม
“ผมเป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นของซาวอลเซอึม ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยมองผมแบบนั้นด้วยนะครับ”
“อึยชิน…”
ซาวอลเซอึมมองหน้าฉันอย่างซาบซึ้ง
อาวุโสทั้งสี่เงยหน้ามองด้วยความพึงพอใจ
“ผู้มีพระคุณของเรา… ไม่สิ เพื่อนร่วมชั้นของเซอึมเป็นเด็กดีจริงๆ”
“ถึงจะได้ยินจากมาเซอึมแล้ว แต่พอได้เห็นด้วยตาก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นเด็กดีมีคุณธรรม”
ขณะฉันนั่งลงท่ามกลางคำสรรเสริญจากพวกเขา
เหล่าอาวุโสหันไปพูดกับโอเยจองที่ตัวติดกับซาวอลเซมิน
“ว่าที่ลูกสะใภ้ก็มาด้วยสินะ”
“น้องสะใภ้มาด้วยหรือ”
โครม!
ซาวอลเซมินเผลอใช้เข่ากระแทกโต๊ะตอนกำลังจะนั่ง
“เซมิน เป็นอะไรไหม”
“ผ…ผมไม่เป็นไรครับ คุณพ่อ… พี่… ทำไมถึงเรียกคุณเยจองแบบนั้นกันล่ะ”
ได้ยินคำถามซาวอลเซมิน บรรดาอาวุโสทำหน้าไม่เข้าใจ
“หืม… คงอยากให้เรียกลูกสาวไปเลยสินะ”
“ถ้าไม่อยากให้เรียกว่าน้องสะใภ้… งั้นฉันเรียกว่าน้องสาวก็แล้วกัน”
ในบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ข้างซาวอลเซมินเลยสินะ
* * *
ชั้นบนสุดของโรงพยาบาลวังมยอง, วอร์ดสำหรับเพลเยอร์
นักเรียนโรงเรียนแสงเงินออกจากโรงพยาบาลไปหมดแล้ว เหลือเพียงคิมยูรีบนเตียงคนไข้
“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนทุกที… ขอโทษที่ต้องรบกวนทุกวันเลยนะ…”
“ที่จริงไม่ต้องมาทุกวันก็ได้ แต่อีกเดี๋ยวฉันจะไม่ว่างแล้ว เลยอยากตรวจสอบความเรียบร้อยให้ถี่ถ้วนด้วยตัวเอง”
…แล้วมันต่างกันตรงไหน
คิมยูรีที่คิดแบบนั้น มองวังจีโฮซ่อมบาเรียด้วยใบหน้ารู้สึกผิด
‘จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้… ถ้าเรายังเอาแต่ฝืนยับยั้ง สักวันต้องทำให้คนอื่นบาดเจ็บแน่’
คิมยูรีตัดสินใจยอมรับการมีอยู่ของแสงประทาน
แต่แค่นั้นยังไม่พอ
‘เราต้องควบคุมมันให้ได้’
เธอระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งถูกเผ่าผีเสื้อถอนพรคุ้มครอง
…หล่อนเข้าหาเราโดยมีผลประโยชน์แอบแฝง
คิมยูรีไม่รู้ว่าเผ่าผีเสื้อเล็งอะไรไว้ แต่แค่นึกถึงเหตุการณ์บนเกาะซอกโมก็ทำให้เธอขนลุก
เธออยากแข็งแกร่งกว่านี้ ก่อนที่จะถูกความกลัวอันคลุมเครือบดขยี้จนคนรอบข้างได้รับอันตราย
‘เราต้องตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับเบื้องบนและแสงประทาน…’
บุคคลที่คิมยูรีอยากขอคำแนะนำ คือครูฮัมกึนยองและรุ่นพี่อูซังฮี
แต่อูซังฮีกำลังวุ่นวายอยู่กับการวางแผนอนาคต และฮัมกึนยองก็มีงานล้นมือไม่ต่างกัน
ในกรณีของฮัมกึนยอง ภาระงานของเขาเยอะขึ้นเนื่องจากต้องช่วยปกปิดคดีให้คิมยูรีด้วย
…ถ้าสองคนนั้นไม่ว่าง ก็เหลือแค่ทางเลือกเดียว
คนที่รู้เรื่องแสงประทานของคิมยูรี และสามารถสร้างบาเรียที่แข็งแกร่งพอจะยับยั้งอำนาจดังกล่าว
เสือเหลือง
“จีโฮ… ฉัน… อยากทำอะไรสักอย่างกับแสงประทานของตัวเอง…”
เสือเหลืองตอบขณะซ่อมบาเรีย
“คงไม่ได้คิดที่จะรับพรคุ้มครองอันใหม่ใช่ไหม… ไม่ว่าพวกนั้นจะหว่านล้อมด้วยคำพูดสวยหรูแค่ไหน แต่ผลลัพธ์อาจไม่งดงามตามที่พูด”
สิ้นคำดังกล่าว เบื้องบนรอบตัวคิมยูรีต่างพากันส่งเสียง
ส่วนใหญ่เป็นการบอกให้รับพรคุ้มครองไปจากตน
ตอนนี้ไม่มีตราผนึกแสงประทานเหมือนกับเมื่อครั้งที่ได้รับพรคุ้มครองจากเผ่าผีเสื้อ และเนื่องจากใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาสักระยะแล้ว เสียงของพวกเขาจึงชัดถ้อยชัดคำขึ้นมาก
“ฉันว่าจะอยู่ห่างจากพรคุ้มครองไปอีกสักพัก”
เพราะเธอได้เห็นเต็มสองตาแล้วว่า เผ่าแท้ผู้งดงามที่คอยให้กำลังใจตนด้วยเสียงอ่อนหวาน แท้จริงแล้วมีพฤติกรรมเลวทรามเช่นไร
“ฉันอยากควบคุมพลังนี้ ไม่ใช่สะกดมันไว้”
“ไม่ง่ายหรอกนะ”
“แต่ถ้ามันพอจะมีวิธี ฉันก็อยากทำด้วยตัวเอง”
เสือเหลืองยังไม่ตอบ เพียงก้มหน้าครุ่นคิด
ในห้องคนไข้อันมืดมิด บาเรียที่เสือเหลืองกางย้อมสีดวงตาของเขาจนกลายเป็นทองอร่าม
“เข้าใจแล้ว ฉันจะแนะนำหัวหน้าคนทรงของเราให้”
“ขอบคุณนะ!”
“ครั้งถัดไป หัวหน้าคนทรงจะมาที่นี่แทนฉัน”
“อื้อ!”
หลังจากขอบคุณอีกฝ่ายหลายหน คิมยูรีถามเสียงเบา
“ขอถามอีกสักเรื่องได้ไหม”
“ลองว่ามา”
เสือเหลืองผงกศีรษะรับ
สื่อเป็นนัยว่าขึ้นอยู่กับคำถาม
“…อึยชินกับจีโฮเป็นมนุษย์หรือเปล่า”
ความซุกซนเลือนหายไปจากใบหน้าเสือเหลืองชั่วขณะ
คิมยูรีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เนื่องจากตอนนี้เธอไม่สามารถบอกอายุของเพื่อนร่วมห้องที่เห็นหน้ากันเป็นประจำ
“โชอึยชินเป็นมนุษย์”
วังจีโฮตอบแค่นั้นแล้วก็หายตัวไปจากห้องคนไข้