ตระกูลซาวอลสืบเชื้อสายมาจากผู้ส่งสาร ซึ่งถูกปลดปล่อยโดยกษัตริย์แห่งปัจฉิมราชวงศ์
วิถีชีวิตของพวกเขา ซึ่งแบ่งปันชะตากรรมร่วมกับราชวงศ์ ถึงคราวต้องแปรเปลี่ยนเมื่อราชวงศ์สิ้นสุดลง
ประกอบกับความลี้ลับของแผ่นดินเริ่มจางหาย อำนาจของตระกูลซาวอลจึงอ่อนแอลงอย่างมิอาจเลี่ยง
แต่เมื่อโลกปะทะกับต่างมิติ และซาวอลเซอึมถือกำเนิด ชะตากรรมของตระกูลได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่
ในวันที่เด็กน้อยลืมตาดูโลก แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ส่องออกจากสุสานประจำตระกูล
ต้นตอของแสงมาจากป้ายหลุมศพของอดีตผู้ส่งสารไร้นาม
เงาของอดีตผู้ส่งสาร และเงาของต้นตระกูล ได้เสด็จเยือนสุสานท่ามกลางแสงสว่าง
ทั้งสองฝากคำพูดไว้กับผู้นำตระกูลหนุ่ม—บิดาบังเกิดเกล้าของซาวอลเซอึม
—ผืนแผ่นดินอาจไม่หลงเหลือกษัตริย์ แต่เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อเผยแผ่ ‘สาร’ ไปทั่วโลก
—เราเหล่าผู้ส่งสาร มิได้เกิดมาเพียงเพื่อถ่ายทอดพระราชโองการ แต่ยังมีหน้าที่ถ่ายทอด ‘ถ้อยคำแห่งราชันที่ไม่ควรหลงเหลือในประวัติศาสตร์’
—เพื่อให้เด็กคนนี้ใช้พลังในทิศทางที่ถูกต้อง จงบ่มเพาะเขาอย่างอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ต้องมอบประสบการณ์และวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
ท่ามกลางความคาดหวังและกังวลของทุกฝ่าย ซาวอลเซอึมได้เติบโตกลายเป็นเด็กฉลาดและซื่อตรง
แต่ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
โลกภายนอกเป็นยังไงกันนะ?
ซาวอลเซอึมคอยรบเร้าซาวอลเซมินที่ออกไปทำงานข้างนอก ให้เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังเมื่อกลับถึงบ้าน
อยู่มาวันหนึ่ง ซาวอลเซอึม—เด็กที่ไม่เคยเลือกกินหรือทำตัวดื้อแพ่ง ยืนกรานหนักแน่นว่าเขาต้องได้รับสิ่งนี้
“ผมจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายแสงเงิน!”
แม้ตระกูลซาวอลจะยังไม่ลืมคำสอนของบรรพชนที่ว่า ‘จงมอบประสบการณ์และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลให้เขา’ แต่หลายคนอยากให้ซาวอลเซอึมเติบโตอยู่แต่ในบ้านจนกว่าจะกลายเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน
อย่างไรก็ดี ครอบครัวรู้สึกเห็นใจเขา ผู้มักอ้อนวอนขอออกไปท่องโลกภายนอกมาตั้งแต่เด็ก
จึงเริ่มใจอ่อนและอนุญาตเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่โลกปะทะกับต่างมิติ ตระกูลซาวอลเข้าสู่ ‘ช่วงเวลาแห่งการไตร่ตรอง’ นานนับร้อยปี
และนี่จะเป็นหนแรกที่มีคนก้าวเท้าออกจากบ้านด้วยนามสกุล ‘ซาวอล’ อย่างเปิดเผย
แต่ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง ซาวอลเซอึมถูกคนของงานประมูลมายาลักพาตัวไป
‘…โลกไม่ได้มีแต่สิ่งสวยงาม’
โลกด้านนอกบาเรีย ซึ่งซาวอลเซอึมเคยเห็นผ่านโฮโลแกรมและหน้าจอ LCD เท่านั้น
เป็นโลกที่งดงามมาก แต่ก็โหดร้ายมากเช่นกัน
ซาวอลเซอึมผู้ปลุกแสงประทานในวันปีใหม่ครบอายุสิบเจ็ด แต่ชีวิตต้องถูกขังอยู่ในกรงพร้อมกับถูกผนึกพลังวิเศษ ค้นพบสัจธรรมด้วยความเจ็บปวด
เขาใช้แสงประทานไม่ได้ จะเรียกคลื่นพลังวิเศษก็ไม่ได้ แต่เข้าใจรายละเอียดของมันอย่างถ่องแท้
‘แสงประทานของเราอันตรายมาก… จากบรรดาผู้ส่งสารคนก่อนๆ มีเพียงท่านต้นตระกูลเท่านั้นที่ครอบครองพลังนี้’
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะปลุกแสงประทาน เขาเห็นเต็มสองตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับซาวอลเซมินที่พยายามช่วยตนออกไป
ลิ่วล้อของงานประมูลมายาคงจงใจให้ทั้งสองคนได้พบหน้ากัน จึงค่อยทำลายความหวังให้ป่นปี้ ซาวอลเซอึมจะได้ท้อแท้จนไม่กล้าฝันถึงการถูกช่วยอีก
และเป็นไปตามที่พวกมันต้องการ ซาวอลเซอึมล้มเลิกความหวังที่จะมีใครมาช่วยตน
อย่างไรก็ดี เขาพัฒนาความแน่วแน่บางอย่างขึ้นมาแทน
ถึงจะร่ำไห้ด้วยความกลัว ซาวอลเซอึมยังคงครองสติไว้มั่น
‘จะปล่อยให้คนใจร้ายพวกนี้ใช้แสงประทานของเราไม่ได้เด็ดขาด! จะไม่ยอมให้ใครรู้ความจริง หรือถ้ารู้ก็จะไม่มีใครได้ใช้มัน!’
แต่ทันใดนั้น ต่อหน้าซาวอลเซอึมที่เพิ่งลั่นวาจาสาบานกับตัวเอง ฮีโร่สวมหน้ากากได้ปรากฏตัวพร้อมกับทำลายมายาเกต
วีรกรรมที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความกล้าหาญของเขา ทำเอาซาวอลเซอึมนึกชื่นชมและซาบซึ้งในบุญคุณ
เด็กหนุ่มถึงได้กล้าพูดอย่างมั่นใจ ต่อหน้าครอบครัวที่โน้มน้าวให้เขาล้มเลิกการเข้าเรียนที่โรงเรียนแสงเงิน
“โลกอาจเต็มไปด้วยคนชั่วอย่างบยอนซุนโฮและพรรคพวก หรือกลุ่มคนที่เข้าร่วมงานประมูลมายา แต่ในทางกลับกันก็ยังมีบุคคลจิตใจงดงามเฉกเช่นท่านจอมโจรผาแดง ผู้ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่เรียกร้องผลตอบแทน! เป็นเพราะเขา เพลเยอร์ที่มีพลังวิเศษหายากซึ่งถูกลักพาตัวมาก่อนหน้าผม ต่างก็ถูกช่วยเหลือไว้ได้ทั้งหมด!”
ซาวอลเซอึมที่ตื่นขึ้นบนเตียงโรงพยาบาล ยืนกรานหนักแน่นว่าจะไม่เปลี่ยนใจ
‘เขายังบอกด้วยว่า… เจอกันที่โรงเรียน… จอมโจรผาแดงเป็นคนของโรงเรียนแสงเงิน!’
เมื่อการพักฟื้นและการโน้มน้าวครอบครัวเป็นไปอย่างราบรื่น ซาวอลเซอึมได้ไปโรงเรียนเป็นครั้งแรกในวันเอพริลฟูล
โรงเรียนแสงเงินที่เขาไปถึงหลังจากหลงทางบนถนนอยู่นาน เต็มไปด้วยความประทับใจและความสนุก
ไล่ตั้งแต่อีเวนต์วันเอพริลฟูลสุดประหลาด ไปจนถึงเรื่องบังเอิญเล็กๆ เรื่องหนึ่ง:
นักเรียนคนแรกที่เขาได้เจอในโรงเรียน ดันเป็นเพื่อนร่วมชั้นนามว่าโชอึยชิน
แม้การตระเวนบินไปทั่วโรงเรียนทุกวันจะไม่ช่วยให้เจอตัวจริงของจอมโจรผาแดง หรือกระทั่งรุ่นพี่ย็อมจุนยอลก็ยังปฏิเสธว่าไม่ใช่เขา แต่ชีวิตในรั้วโรงเรียนของซาวอลเซอึมยังคงเต็มไปด้วยความสุข
และในยามที่ซาวอลเซอึมกับเพื่อนๆ เผชิญวิกฤติร้ายแรงที่อาจทำลายความสุขนั้นไปตลอดกาล
“ฉันคือ… จอมโจรผาแดง”
จอมโจรผาแดงปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง
* * *
ในวันที่ช่วยซาวอลเซอึมออกมา พระจันทร์ก็สว่างสดใสคล้ายตอนนี้
ส่งผลให้มังกรแดงของย็อมจุนยอลดูเด่นชัดเป็นพิเศษ
ทว่า ซาวอลเซอึมกลับยังเอาแต่กะพริบตาถี่ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
‘…ยังไม่พออีกหรือ’
ขณะฉันไตร่ตรองว่าควรพูดอะไรต่อ
น้ำตาเริ่มพรั่งพรูจากดวงตาที่เบิกกว้างของซาวอลเซอึม
“อึยชิน… หมายความว่า…”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ
“อึยชินคือ… ท่านจอมโจรผาแดง?”
จอมโจรผาแดง
ท่าน
ฉันเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจถูกเรียกด้วยสรรพนามนี้
แต่พอได้ยินกับหูแล้วรู้สึกเจ็บปวดพิลึก
นิ้วมือทั้งสิบหงิกเกร็งโดยไม่รู้ตัว
มังกรแดงเริ่มกำมือแน่นราวกับสะท้อนความรู้สึกของฉัน
การเพิ่มคำว่า ‘ท่าน’ ไว้ข้างหน้า ‘ชื่อนั้น’
ราวกับเป็นการทวีคูณความบรรลัย
“…ไม่ต้องเรียกท่านได้ไหม”
“แต่ว่า… ต่อหน้าท่านจอมโจรผาแดง… ผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิต… แถมฉันยังทำตัวเสียมารยาท… ทั้งที่เรียนด้วยกันมาตลอดแท้ๆ แต่กลับดูไม่ออกว่าอึยชินคือท่านจอมโจรผาแดง… ทำตัวเป็นเด็กเนรคุณ… ถึงขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้ฉันเรียกว่าท่านได้ยังไง…!”
ถ้าต้องทนฟังคำว่า ‘ท่าน+ชื่อนั้น’ ไปเรื่อยๆ ฉันยอมถูกแบคโฮกุนซ้อมด้วยเขี้ยวขาวทุกวันยังดีเสียกว่า
หรือจะให้ทนกินยาวิเศษบ่อน้ำนรกของเผ่ากวางอีกสัปดาห์ก็ยังไหว
…ไม่สิ อันหลังขอคิดดูก่อน
ถึงตัวละครของฉันจะเอาแต่ร่ำไห้ขณะตะโกนคำนั้นออกมาไม่หยุด แต่ยิ่งฟังมันก็ยิ่งมีความหมายแย่ลงทุกที
เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป ฉันยกเลิกเส้นทางเพลเยอร์
ซ่า…!
ทันทีที่กลับสู่ร่างโชอึยชิน ซาวอลเซอึมเริ่มร้องไห้น้ำตานองหน้า
วิกฤติที่เกิดขึ้นบนเกาะ, การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของบุคคลที่ตามหามานาน และการใช้แสงประทานล้มเหลวหลายครั้งติดต่อกัน ทุกสิ่งชักนำให้เขาตกอยู่ในอาการสับสน
ฉันปลอบประโลมซาวอลเซอึมด้วยเสียงนุ่มนวลที่สุด
“ขอโทษที่เพิ่งมาบอกเอาป่านนี้นะ แต่ฉันได้ฟังคำขอบคุณที่ฝากผ่านรุ่นพี่ย็อมจุนยอลแล้วล่ะ…”
“ย…อย่าขอโทษเลยนะ! ท่านจอมโจรผาแดงไม่ควรขอโทษ… ที่บอกว่าจะเจอกันที่โรงเรียน… นายรักษาสัญญา… แต่ฉันกลับดูไม่ออก!”
ยิ่งซาวอลเซอึมสับสน ก็ยิ่งพูด ‘ชื่อนั้น’ ออกมาบ่อยครั้ง
แม้สติของฉันจะเริ่มปั่นป่วน แต่ก็พยายามรักษาความเยือกเย็นขณะตบบ่าอีกฝ่าย
“…ช่วยส่งเสียงแทนฉันหน่อยได้ไหม แล้วก็ช่วยเรียกชื่อฉันตามปกติด้วย”
เมื่อได้ยินคำขอร้อง ซาวอลเซอึมเริ่มสูดลมหายใจลึก
เขาเช็ดน้ำตาพลางพยุงตัวยืนตรง
“…อื้อ!”
ซาวอลเซอึมขานรับด้วยรอยยิ้มแม้จะดวงตาจะบวมเป่ง
“ถ้ามีท่านจอมโจรผาแดง… ไม่สิ… ถ้ามีอึยชินอยู่ด้วยล่ะก็ ฉันไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว! ไม่ว่าจะเป็นสารแบบไหนก็มั่นใจว่าส่งได้!”
คลื่นพลังวิเศษอันอบอุ่น บรรจงไหลออกจากร่างกายซาวอลเซอึมอย่างเงียบงัน
ในค่ำคืนที่อากาศเย็นสบาย ข้อความที่ฉันฝากไว้กับผู้ส่งสารเริ่มดังกังวานโน!วลกูดoทคอม
* * *
เมื่อหมอกสีแดงจางลง มิติสีเขียวหยกเผยตัวอย่างเด่นชัด
คิมชินรกไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ณ เสี้ยววินาทีแห่งความสิ้นหวัง
การได้เห็นร่องรอยของบิดาที่ห่างเหินกันเพราะความรู้สึกผิด และพลังของเพื่อนสนิทที่คบหากันมานาน สร้างความตกตะลึงแก่คิมชินรกเป็นอย่างมาก
ยังกับภาพหลอนที่คนเรามักจะเห็นก่อนตาย
ซู่ว!
ราวกับตระหนักถึงความฉงนของคิมชินรก ยงเจกอนกับเสือแดงที่ลอยตัวกลางอากาศด้วยศาสตร์แห่งมิติและสกิลบิน ร่อนลงพื้นดินอย่างนุ่มนวล
หมอกสีแดงที่ห่อหุ้มพวกเขาสลายไป เป็นสัญญาณว่าทั้งสองใช้ควันแดงอำพรางตัวมาเนิ่นนาน
“ชินรก ข้าขอโทษ… ได้ยินว่าพวกหมีมักปากสว่างต่อหน้าเหยื่อ ข้าจึงอยากรอให้ถึงที่สุดเสียก่อน… สันดานอย่างพวกหมีต้องพูดเพื่อให้เจ้าทุกข์ทรมานแน่”
ยงเจกอนมองกลับไปยังคิมชินรกด้วยดวงตาสีเขียวหยกเฉกเช่นคลื่นพลังวิเศษ
สีของดวงตาซึ่งปกติแล้วจะหรี่ซ่อนไว้ กับเส้นผมที่ถูกย้อมให้ดำขลับตอนทำงาน ต่างก็เปล่งประกายเจิดจ้าด้วยสีเขียวหยก
เป็นหลักฐานว่าพลังของยงเจกอนถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่
‘บ้าน่า… ควันแดง… ศาสตร์แห่งมิติ… สกิลบิน… ทั้งสองคนใช้พลังสามชนิดนี้ซุ่มอยู่รอบตัวเรามาตลอด?’
เป็นไปไม่ได้
ฟังดูเหมือนเสือแดงร่วมมือกับยงเจกอน เพื่อคอยปกป้องตนด้วยความห่วงใย
กับมังกรพิสดารนั่นอาจมีสิทธิ์
แต่กับเสือแดง?
ยงเจกอนที่คอยสังเกตสีหน้าคิมชินรก พูดราวกับอ่านความคิดอีกฝ่ายออก
“คนที่สืบจนพบว่าเจ้าถูกปองร้าย ไม่ใช่ใครนอกจากบิดาของเจ้า”
บ้าน่า…
ขณะมองแผ่นหลังใหญ่ๆ ที่คอยปกป้องตนจากเผ่าหมีโดยไม่พูดอะไรสักคำ หัวใจคิมชินรกทวีความหนักอึ้ง
ผมของเสือแดงถูกย้อมกลายเป็นสีแดงสว่างเช่นกัน ราวกับกำลังปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมด
“อยู่ที่นี่แหละ ไม่มีที่ใดปลอดภัยไปกว่าด้านหลังของชายคนนี้กับข้าแล้ว”
ยงเจกอนกล่าวพลางยิ้ม
เพียงพริบตา สายฟ้าอันทรงพลังสีแดงพุ่งเข้าหาเผ่าหมี ฝ่ายศัตรูแผ่คลื่นพลังวิเศษออกมาตอบโต้
พลังงานสองขั้วปะทะกันจนเกิดแสงสว่างเจิดจ้า
คิมชินรกมิอาจละสายตาจากแสงนั้นได้เลย
* * *
ด้วยสีหน้าประหลาดใจ ควอนเลนารีบเปิดดีไวซ์ขณะฟังคำอธิบายของเม็งเฮียวทง
“จริงด้วย… ดีไวซ์ไม่ทำงาน!”
“…ตอนนี้ครูประจำชั้นของเรากำลังอยู่ตามลำพัง รีบไปตามหากันเถอะ! เขาคงยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น!”
แม้จะสนทนากับนักเรียนหญิงยังไม่คล่อง แต่เม็งเฮียวทงก็ประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดข้อมูล ถึงจะดูน่าอึดอัดไปบ้างก็ตาม
ฟังคำพูดอันวกวนของอีกฝ่ายจบ ควอนเลนาพยักหน้ารับ
“ตกลง! ตามคำอธิบายของเฮียวทง… จุดที่ยังไม่มีใครผ่านไป… เริ่มจากตรงนี้…”
“เดี๋ยวนะ… นายบอกว่ามีรอยแยกอยู่ทางเหนือ?”
ใบหน้าของคิมยูรีผู้ยืนฟังเม็งเฮียวทงเงียบๆ ด้วยร่างกายสั่นเทา ยิ่งทวีความซีดเซียว
“พวกเราต้องไปทางตะวันตกเฉียงใต้!”
“หัวหน้าห้อง…?”
“ขอโทษ… ฉันจะไปตรวจสอบเอง… ไปคนเดียวก็ได้… ในความฝันน่ะ… ในความฝัน…!”
“จะปล่อยให้ยูรีไปคนเดียวได้ยังไง! ฉันก็จะไปด้วย! แต่ความฝันมันทำไม… หรือว่าเธอได้รับวิวรณ์บอกให้ไปทางนั้น?”
ไม่ใช่เรื่องแปลกเกินไปนัก หากเพลเยอร์จะได้รับวิวรณ์จากเบื้องบนที่คอยคุ้มครองตน
ควอนเลนาทราบเรื่องนี้ดี เนื่องจากเธอเองก็เป็นเพลเยอร์ที่ได้รับพรคุ้มครองจากเทพธิดาแห่งทารก
เทพธิดาแห่งทารกคอยแวะเวียนมาทักทายควอนเลนาอยู่บ้าง แม้พระองค์จะมี ‘ลูก’ ต้องดูแลมากมาย
“ไม่… ตรงกันข้าม… ในฝันห้ามไม่ให้ฉันไปทางนั้น”
เม็งเฮียวทงกับควอนเลนาพากันสับสน
ถูกห้ามไม่ให้ไป แล้วทำไมต้องไป?
แม้จะไม่มีใครถาม แต่ราวกับอ่านใจเพื่อนได้ คิมยูรีเปิดปากอธิบาย
“พวกท่านกระซิบบอกให้ฉันหนีขึ้นเหนือ… มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ ที่ทางเหนือซึ่งมีรอยแยกจะปล่อยภัยมากกว่า… ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่า… ภัยคุกคามที่ร้ายแรงยิ่งกว่ากำลังจะโจมตีทางทิศใต้ของเกาะ! พวกเราต้องรีบไปบอกให้ครู เพื่อนๆ และชาวบ้านทางใต้อพยพออกมา!”
ขณะกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว คิมยูรีเริ่มมัดผมหางม้าสูง
เม็งเฮียวทงยืนมองหญิงสาวมัดผมหนาๆ ให้เรียบร้อยได้ในพริบตา
ทันใดนั้น เขาเริ่มพบความไม่ชอบมาพากล
‘…หือ ปกติแล้วมันหน้าตาแบบนี้หรือไง’
ยางรัดผมเส้นประจำของคิมยูรีที่มีรูปดอกแมกโนเลีย
บนดอกแมกโนเลีย เม็งเฮียวทงเห็นผีเสื้อตัวเท่าเล็บมือติดอยู่
เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเครื่องประดับมากนัก แต่ผีเสื้อตัวนี้ดูน่าขัดใจอย่างบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตนไม่ควรทักเรื่องเล็กน้อยจนทำให้การใหญ่ล่าช้า เม็งเฮียวทงจึงปิดปากเงียบ
“เฮียวทง เลนา ไปกันเถอะ!”
“…อื้อ!”
นำโดยคิมยูรี ทั้งสามเริ่มวิ่งไปทางทิศใต้