📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 362

บทที่ 362 - กองทัพปีศาจข้ามพรมแดน
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

หญิงงามในชุดขาวเผยรอยยิ้มจูงใจ “เจ้าลองหาดูก่อนก็ได้ ว่าสถานที่ซึ่งอ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อยู่ที่ใด”

ชายที่มีใบหน้าพร่ามัวส่ายศีรษะ กล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ข้าเดินทางไปทั่วฉู่โจวเพื่อประเมินชะตากรรม แต่ข้ากลับไม่พบสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่ แต่ความลับสวรรค์บอกข้าว่ามันอยู่ที่ฉู่โจว”

ผู้หญิงในชุดขาวยับยั้งท่าทีอันทรงเสน่ห์ เรียวคิ้วที่ทั้งตรงและยาวย่นเข้าหากันเล็กน้อย กล่าวอย่างไตร่ตรองว่า

“สิ่งที่เขากำลังแข่งกับเราคือเวลา เมื่อกลั่นแก่นโลหิตสำเร็จ ต่อให้พวกเราคิดจะหยุดเขาก็ไม่สามารถทำได้แล้ว ถึงเวลานั้น มีเพียงการสังหารมู่หนานจือเท่านั้นถึงจะสามารถหยุดการเลื่อนขั้นระดับสองของอ๋องสยบแดนเหนือได้ แต่มู่หนานจืออยู่กับเด็กหนุ่มคนนั้น หากต้องการฆ่า โหรอย่างพวกเจ้าก็ลงมือเองเถอะ”

เหอะๆ การถูกคนที่มีโชคชะตาเหนือกว่าแค้นเคือง ช่างเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายเสียจริง

“จริงสิ เจ้าบอกว่าท่านโหราจารย์รู้แผนการของอ๋องสยบแดนเหนือใช่หรือไม่? ถ้ารู้ เหตุใดเขาจึงไม่คิดแยแส? จู่ๆ ข้าก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าที่มู่หนานจืออยู่กับสวี่ชีอัน เป็นเพราะท่านโหราจารย์แอบจุดไฟเติมเชื้อเพลิง”

ชายชุดขาวแค่นหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเดาต่อไปได้ รอให้เจ้าเดาแผนการของเขาออกและความลับสวรรค์รู้สึกซาบซึ้ง ท่านโหราจารย์ก็จะมา ข้ามีวิธีที่จะหนีพ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับเจ้า คงไม่ต้องการหางจิ้งจอกนี้แล้วกระมัง”

ผู้หญิงในชุดขาวมีท่าทีหวาดกลัวตามคาด ทั้งที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านโหราจารย์มากมายนัก

“สามวัน ภายในสามวันต้องหาสถานที่ที่อ๋องสยบแดนเหนือก่อเหตุสังหารหมู่ให้เจอ มิเช่นนั้นทั้งหมดจะกลายเป็นข้อสรุปที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้” ผู้หญิงในชุดขาวกล่าวพึมพำ

“ข้ามีความคิดหนึ่ง”

โหรผู้ไม่เปิดเผยรูปลักษณ์ทอดสายตามองภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ไกลออกไป กล่าวต่อจากคำพูดของนาง “สวี่ชีอันรึ?”

“ทั้งใช่และไม่ใช่” นางกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยพลางลูบขนนุ่มของจิ้งจอกขาวหกหาง แล้วกล่าวว่า

“เจ้าคิดว่าโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ของสวี่ชีอันจะสามารถนำทางพวกเราได้ นี่คือลู่ทางของความคิดที่แท้จริง แต่ความคิดของข้า คือดูเหมือนทุกคนล้วนละเลยเว่ยเยวียน เขาเป็นนักวางแผนคนเดียวที่สามารถแข่งขันและเสมอกับท่านโหราจารย์บนกระดานหมากรุกได้ เหตุใดพวกเราถึงไม่จับตามองคณะทูตล่ะ”

ชายชุดขาวทอดถอนใจ “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเขาสามารถแข่งขันและเสมอกับท่านโหราจารย์ ก็ควรรู้ว่าคณะทูตเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง ข้าไม่เคยดูถูกเว่ยเยวียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าแค่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับทัศนคติของเขาในเรื่องนี้

“เว่ยเยวียนเป็นบุคคลที่มีความสามารถของอาณาจักร ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก เขามองปัญหาโดยไม่พิจารณาในแง่ของความดีและความชั่วธรรมดาๆ หากอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนขั้นระดับสอง แดนเหนือของต้าฟ่งก็จะไม่มีเรื่องให้กังวลใจอีกต่อไป เพราะแม้แต่เผ่าคนเถื่อนที่โหดเหี้ยมก็ยังหายใจไม่ทัน

“หลายปีที่ผ่านมาเว่ยเยวียนทั้งต่อสู้ในท้องพระโรง ทั้งบำรุงซ่อมแซมอาณาจักรที่อ่อนแอขึ้นทุกวัน เขาน่าจะคาดหวังที่จะได้เห็นอ๋องสยบแดนเหนือเลื่อนระดับขึ้น

“แต่ทุกสิ่งที่อ๋องสยบแดนเหนือทำกระทบไปถึงหนอนบ่อนไส้ ไม่รู่ว่าเว่ยชิงอียินยอมพร้อมใจ หรือกำลังแอบแทงข้างหลังอ๋องสยบแดนเหนือกันแน่ หึ เกรงว่ากระทั่งอ๋องสยบแดนเหนือเองก็ยังไม่แน่ใจ”

เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว โหรในชุดขาวก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความระอา “ตอนนี้ไอ้โง่นั่นก็ยังมุ่งหน้าไปทางตะวันตก”

ผู้หญิงในชุดขาวโยนจิ้งจอกขาวหกหางออกจากอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล กล่าวกระซิบว่า “ไปแจ้งกลุ่มปีศาจให้แทรกซึมเข้าฉู่โจวด่วนที่สุด ซ่อนตัวอยู่ในป่าบนภูเขาแล้วรอคำสั่งจากข้า”

จิ้งจอกขาวตัวเล็กน่ารักตกลงมาจากหน้าผา ระหว่างนั้น ร่างที่กลมนุ่มของมันก็พองตัวและเหยียดออกกลายเป็นจิ้งจอกยักษ์ที่มีความสูงหนึ่งฟุตพร้อมร่างกายที่คล่องแคล่วและขาทั้งสี่อันทรงพลัง ส่วนหางจิ้งจอกที่อยู่ด้านหลังก็พองสยายราวกับนกยูงรำแพนหางไม่มีผิด

มันวิ่งบนอากาศด้วยขาอันทรงพลังทั้งสี่ข้างและจากไปไกลด้วยความรวดเร็ว

สวี่ชีอันหลับใหลอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้บนถนนสายตะวันตก ในความฝันเขากำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงกับหญิงงามหยาดเยิ้ม ทันใดนั้นนายพลในชุดขาวก็นำกองกำลังทหารและม้านับพันบุกทะลวงเข้ามา

‘ฟู่…’

สวี่ชีอันลืมตาขึ้น เงาของต้นไม้สั่นไหว แสงสว่างแตกดับ หญิงงามในความฝันก็ค่อยๆ ทับซ้อนกับพระมเหสีที่เป็นดั่งดอกถานฮวาชั่วค่ำคืนในคืนนั้น

สิ่งนี้ทำให้เขาแยกไม่ออกว่าตนเองไม่ได้ไปที่สำนักสังคีตนานเกินไป หรือว่าพระมเหสีมีเสน่ห์มากเกินไปกันแน่

ผู้หญิงคนนี้เป็นเหมือนยาพิษ เพียงแค่ได้มองก็ติดอยู่ในสมองตลอดไป จะลืมก็ลืมไม่ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็หันไปมองพระมเหสีที่กำลังพิงต้นไม้หลับใหล และใบหน้าที่งดงามปานกลางของนาง ทันใดนั้นจิตใจของสวี่ชีอันก็สงบลงมาก

เป็นช่วงเวลาที่คุณธรรมของนักปราชญ์ผุดขึ้นในส่วนลึกของหัวใจ

“เฮ้ๆ ตื่นได้แล้ว”

สวี่ชีอันสะกิดปลุกพระมเหสีให้ตื่น เมื่อเห็นนางลืมตาขึ้นด้วยความสะลึมสะลือก็กล่าวเร่งรัดว่า

“เราจะไปให้ถึงเมืองต่อไปก่อนมื้ออาหารกลางวัน พวกเราจะเปลี่ยนที่กินกันสักหน่อย จะได้ถือโอกาสดูด้วยว่าจะฆ่าเผ่าคนเถื่อนหรือสายลับของสามีเจ้าได้อีกกี่คน”

พระมเหสีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า ‘สามีเจ้า’ สามพยางค์นี้ไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกดีใจสักนิด นางจึงกลอกตาแล้วยิ้มเยาะด้วยความไม่ชอบใจ

แต่เมื่อสวี่ชีอันย่อตัวลง นางก็ปีนขึ้นไปบนแผ่นหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง

พระมเหสีแสดงท่าทีเย่อหยิ่งอยู่สักพักหนึ่ง แขนเรียวโอบรอบคอของเขา มองทิวทัศน์ที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางกระซิบถามว่า

“นี่ เจ้าเคยต่อสู้กับไหวอ๋องหรือไม่ เจ้าเตรียมตัวรับมือกับเขาอย่างไร”

แม้ว่าตอนนี้จะถูกดึงดูดด้วยอารมณ์ที่เขาแสดงให้เห็นในชั่วขณะหนึ่ง แต่พระมเหสียังประจักษ์ชัดในความเป็นจริงและเกิดความสงสัยอย่างมากว่าสวี่ชีอันจะจัดการกับอ๋องสยบแดนเหนืออย่างไร

ถ้าสวี่อันกล่าวว่าข้าวางแผนจะฆ่าอ๋องสยบแดนเหนือด้วยดาบเล่มเดียว

งั้นนางก็จะตัดสินใจเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้ทำเรื่องโง่ๆ ด้วยการส่งตัวเองไปตายเช่นนี้

สวี่ชีอันกลับกล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าจะแทงภรรยาเขาด้วยดาบขาวสะอาด และดึงดาบที่อาบเลือดออกมา”

“?”

พระมเหสีชะงักไปชั่วขณะก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เรียวคิ้วทั้งสองข้างเหยียดตรงและกำหมัดแน่นก่อนจะเขกศีรษะเขาอย่างแรง

‘ตุบ ตุบ ตุบ’

เสียงทุบตีดังตลอดทั้งทาง

เขตป้องกันฉู่โจว

หยางเยี่ยนพาหลิวยวี่สื่อมาหยุดอยู่นอกค่ายทหาร เรียกกันว่าค่ายทหาร แต่ไม่นับว่าเป็นกระโจมตามความหมายปกติ

นอกจากกระโจมซึ่งเป็นที่อยู่ของทหารแล้ว กองทัพทหารที่ประจำการตามสถานที่ต่างๆ ล้วนมีค่ายทหารของตัวเองซึ่งไม่ต่างจากบ้านพักอาศัยทั่วไป

โดยปกติจำนวนทหารยามในโจวเฉิงจะมีห้าถึงหกพันนาย ส่วนจำนวนทหารยามที่ชายแดนของโจวเฉิงจะมีตั้งแต่หนึ่งถึงสองหมื่นนาย

และโจวเฉิงซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนเหมือนฉู่โจวเช่นนี้ ประกอบกับมีอ๋องสยบแดนเหนืออีกปัจจัยหนึ่ง จำนวนทหารยามจึงเพิ่มขึ้นถึงสามหมื่นหกพันนาย

ทหารยามสามหมื่นหกพันนายนี้ เป็นทหารที่อ๋องสยบแดนเหนือสามารถควบคุมสั่งการได้โดยตรงโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ส่วนกองกำลังเว่ยและกองกำลังสั่วในสถานที่ต่างๆ ของฉู่โจว ในฐานะอ๋องสยบแดนเหนือซึ่งเป็นแม่ทัพแห่งฉู่โจวก็สามารถควบคุมพวกเขาได้เช่นกัน แต่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ

ฉู่โจวล้วนต้องมีประทับตราของผู้บัญชาการ!

หยางเยี่ยนและหลิวยวี่สื่อนั่งอยู่บนหลังม้าและอาบแดดเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ม้าที่อยู่ข้างใต้ต่างก็ร้อนจนส่งเสียงร้องออกมาทางจมูก

หลิวยวี่สื่อเอนกายอยู่บนหลังม้าด้วยริมฝีปากแห้งแตกและกระสับกระส่ายก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “ฆ้องทองคำหยาง พวก…พวกเรากลับกันก่อนเถอะ ข้าตากแดดจนจะกลายเป็นคนแดดเดียวอยู่แล้ว”

ขณะนั้นเอง ทหารยามนายหนึ่งที่ถือดาบอยู่ในมือเดินออกมาและกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ท่านผู้บัญชาการเชิญท่านทั้งสองเข้าไปขอรับ”

หลิวยวี่สื่อโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก เขาพ่นลมหายใจออกมาราวกับใกล้จะหมดแรงและแทบจะกลิ้งลงจากหลังม้า

ทั้งสองตามทหารยามเข้าไปในค่ายทหาร เดินผ่านที่อยู่อาศัยของทหารทีละหลัง จนมาถึงบริเวณจวนหลังใหญ่ที่มีทางเข้าสองทาง

เมื่อเข้าไปในห้องโถงก็เห็นผู้บัญชาการเขตฉู่โจว หรือเจ้าอารักขาเชวียหย่งซิว

เชวียหย่งซิวมีผิวพรรณที่ดีมาก หน้าตาหล่อเหลาและไว้เคราสั้น เพียงแต่เขาตาบอดข้างหนึ่ง เหลือเพียงตาอีกข้างที่เฉียบแหลมและเต็มไปด้วยความดื้อรั้น

เขานั่งตัวตรงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ ถือถ้วยชาอยู่ในมือพลางจ้องหยางเยี่ยนด้วยดวงตาข้างเดียวที่คมกริบ “นี่ไม่ใช่บุตรกาฝากของเว่ยเยวียนหรอกรึ เจ้ามาทำอะไรที่ค่ายทหารของข้า?”

บุตรกาฝากก็คือบุตรบุญธรรม เพียงแต่บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกราวกับถูกยั่วเย้าและเหน็บแนมเล็กน้อย

หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งย่อมไม่เกิดความโกรธด้วยเหตุนี้อย่างแน่นอน เขากล่าวอย่างสงบโดยไม่กะพริบตาสักนิด “สืบสวนคดี”

เชวียหย่งซิวแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า “สืบสวนคดีอะไรรึ?”

หยางเยี่ยนกล่าวอย่างไม่แยแส “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ข้าต้องการดูบันทึกการเข้าออกของทหารฉู่โจว”

ที่เขาเริ่มตรวจสอบจากทหารยามของฉู่โจวก่อน ก็เพราะการเดินทางไปถึงแดนเหนือของกลุ่มภารกิจย่อมต้องมาที่เขตฉู่โจวก่อนถึงจะใกล้เคียงกับหลักการที่สุด และกองทัพทหารและม้าสามหมื่นหกพันนายล้วนเป็นคนสนิทของอ๋องสยบแดนเหนือ

นอกจากนี้ยังเป็นกำลังหลักของฉู่โจวด้วย

เผ่าคนเถื่อนสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ อ๋องสยบแดนเหนือต้องส่งทหารออกไปทำสงครามอย่างแน่นอน เช่นนั้นบันทึกการเข้าออกก็คือหลักฐาน การระดมกองทัพเป็นงานที่ยุ่งยากและน่าเอือมระอา

ไม่ใช่พูดว่าออกจากค่ายก็จะออกจากค่ายได้เลย ทั้งสัมภาระที่เกี่ยวข้อง อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ล้วนสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทั้งหมด

แต่เนื่องจากเขตฉู่โจวที่ถูกควบคุมดูแลโดยอ๋องสยบแดนเหนือก็อาจจะไม่หลงเหลือเบาะแสใดๆ แล้ว แต่อย่างไรก็ยังต้องตรวจสอบ มิเช่นนั้นกลุ่มภารกิจก็จะทำได้เพียงดื่มชาและนอนหลับอยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้าเท่านั้น

“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้อะไรกัน!”

เชวียหย่งซิวตบโต๊ะเสียงดังและยืนขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หลิวยวี่สื่อสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

เจ้าอารักขาท่านนี้เดินดุ่มๆ ไปที่เบื้องหน้าหยางเยี่ยนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะชี้ไปที่จมูกของเขา พลางก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสีย “ข้าติดตามอ๋องสยบแดนเหนือและปกป้องฉู่โจวมานานกว่าสิบปี เพียงแค่เจ้าที่เป็นลูกกาฝากของสุนัขรับใช้เว่ยพูดว่าจะตรวจสอบก็ตรวจสอบได้เลยงั้นรึ?”

หยางเยี่ยนไม่ตอบและมองเขาด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ในขณะที่ข้าสังหารศัตรูอยู่แนวหน้าในสนามรบและปกป้องชายแดน พวกเจ้ากำลังนอนอยู่บนเตียงของหญิงงามในเมืองหลวงอยู่เลย ตอนนี้วิ่งมาพูดกับข้าว่าสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อะไรกัน ถุย! ไสหัวกลับไปบอกเว่ยเยวียนเถอะ บอกพวกขงจื๊ออวดดีที่จับได้แต่ด้ามพู่กันด้วยว่า หากคิดจะใส่ร้ายข้าหรือไหวอ๋อง ก็ฝันไปเถอะ”

เจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวกล่าวยิ้มเยาะ “ตอนนี้มาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น”

หลิวยวี่สื่อที่กำลังบึ้งตึงด้วยความโกรธชี้เชวียหย่งซิวและกล่าวตำหนิว่า “เจ้าอารักขา พวกเราได้รับราชโองการให้สอบสวนคดี เจ้ากล้าขัดพระบัญชารึ?”

เชวียหย่งซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มมุ่งร้าย “หลังหลิวยวี่สื่อกลับไปเมืองหลวงแล้ว ก็สามารถฟ้องร้องให้ข้าออกจากตำแหน่งได้”

บ้าบิ่นอะไรเช่นนี้

กล้ามเนื้อแก้มของหลิวยวี่สื่อกระตุกด้วยความโกรธ แต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้ เขาไม่ใช่หัวหน้าผู้รับผิดชอบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ตรวจการ อย่างไรเขาก็ไม่มีสิทธิ์จัดการกับเจ้าอารักขาท่านนี้ได้

ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมีเรื่องกับฝ่ายตรงข้ามในเขตฉู่โจวได้ เนื่องจากพวกเขาไม่มีกองกำลังหนุน สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ มีเพียงฟ้องร้องเจ้าอารักขาท่านนี้อย่างห้ำหั่นหลังจากที่กลับเมืองหลวงไปแล้วโนเวลกูดอทคอม

“ไปกันเถอะ!”

หยางเยี่ยนหมุนตัวกลับและเดินออกไป

“….”

ความโกรธของหลิวยวี่สื่อพุ่งขึ้นจนแทบจะถึงขีดสุด เขาถูกแสงแดดแผดเผาอยู่ข้างนอกเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง กว่าจะเข้ามาในค่ายทหารก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายลงเอยด้วยการที่อีกฝ่ายจงใจให้พวกเขาเข้ามาและฉวยโอกาสทำให้อับอายอย่างโหดเหี้ยม

จะสอบสวนคดี แต่กระทั่งจุดเริ่มก็ยังไม่มี

“เดี๋ยว!”

จู่ๆ เชวียหย่งซิวก็ตะโกนเรียกทั้งสอง เมื่อหยางเยี่ยนหันกลับไป เขาก็กระตุกยิ้มที่มุมปากและกล่าวว่า “หยางเยี่ยน เจ้าปกป้องพระมเหสีไม่ได้ ซ้ำร้ายยังถูกเผ่าคนเถื่อนลักพาตัวไป จนถึงตอนนี้ก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ไหวอ๋องโกรธมากแต่กลับไม่กล่าวโทษเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าเว่ยเยวียน แต่หากเจ้ายอมรับผิดและคุกเข่าสำนึกที่นอกค่ายทหารเป็นเวลาสองชั่วยาม ข้าก็จะยกเว้นให้พวกเจ้าตรวจสอบบันทึกการเข้าออกของทหาร”

ในขณะที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ เชวียหย่งซิวก็ยกยิ้มยั่วยุที่มุมปากอย่างไม่สะทกสะท้าน

“รังแกกันเกินไปแล้ว” หลิวยวี่สื่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะนั้นก็คิดอยากจะแสดงความขิงก็ราข่าก็แรงของขุนนางบุ๋นให้ทหารที่หยาบคายคนนี้ได้สัมผัสสักหน่อย ว่าหญิงทุกคนในตระกูลของเขาสูญเสียความบริสุทธิ์ไปโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร

แต่กลับถูกหยางเยี่ยนขัดขวางด้วยสายตา

ทั้งสองหันหลังเดินจากไปท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเชวียหย่งซิวที่ดังกึกก้องอยู่เบื้องหลัง

“รังแกกันเกินไป รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ…” หลิวยวี่สื่อโกรธจนหัวใจเต้นเร็วอย่างฉับพลัน กล่าวด้วยริมฝีปากอันสั่นเทาว่า

“หลังจากกลับไปเมืองหลวง ข้าจะทำให้ผู้ชายชั้นต่ำคนนี้รู้ถึงความเก่งกาจของปัญญาชนที่จับด้ามพู่กัน”

หยางเยี่ยนกล่าวอย่างสงบ “เขาจงใจยั่วโมโหข้า เขาต้องการฆ่าพวกเรา”

หลิวยวี่สื่อตกตะลึง “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”

หยางเยี่ยนไม่ตอบและเหยียบขึ้นหลังม้าพลางกล่าวเสียงทุ้มว่า

“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้อาจรับมือยากกว่าที่เราคิด สวี่ชีอันตัดสินใจถูกแล้ว ไปแดนเหนืออย่างลับๆ และแยกตัวออกจากกลุ่มภารกิจ หากเขายังอยู่ในกลุ่มภารกิจ เขาก็จะทำอะไรไม่ได้เลย

“นิสัยของเขาที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง ก็สามารถตกหลุมพรางของเชวียหยงซิ่วได้อย่างง่ายดาย ที่นี่ เขาไม่สามารถต่อสู้กับเจ้าอารักขาและอ๋องสยบแดนเหนือได้ หากลงสนามก็มีแต่ความตายที่รอเขาอยู่เท่านั้น”

ใบหน้าของหลิวยวี่สื่อซีดขาวลงอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็พยายามระงับอารมณ์ทั้งหมดลงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ด้วยสติปัญญาของสวี่อวิ๋นหลัว คงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นกระมัง”

หยางเยี่ยนส่ายศีรษะ “ไม่มีวิธีการยั่วยุแบบเรียบง่ายอย่างแน่นอน…”

แต่ถ้าเป็นแบบฆ้องเงินสกุลจูในตอนนั้น สวี่ชีอันจะยังทนได้หรือไม่?

หลิวยวี่สื่อไม่ได้ถามคำถามใดๆ เพิ่มเติม ไม่ใช่เพราะเขาเข้าใจว่าหยางเยี่ยนหมายถึงอะไร แต่เพราะสัญชาตญาณขุนนางบุ๋นอันเฉียบแหลมของเขา เขาจึงตระหนักได้ว่าสังหารเลือดสังหารหมู่สามพันลี้นั้นยุ่งยากกว่าที่คณะภารกิจคาดไว้

มิเช่นนั้นเจ้าอารักขาจะมีเจตนาฆ่าได้อย่างไร?

“ข้าจะเล่าเรื่องตลกให้เจ้าฟัง”

สวี่ชีอันที่กำลังเดินป่าอยู่บนภูเขาพร้อมกับแบกพระมเหสีอยู่บนหลัง เปิดปากพูดอย่างนุ่มนวล

ไม่ใช่เพราะศีรษะถูกกระแทก แต่สวี่ชีอันสรุปแล้วว่าพระมเหสีคนนี้ขี้เหนียว ขี้ขลาดและหยิ่งผยอง…สองอย่างหลังไม่สำคัญเท่าใดนัก เพียงแต่นางขี้เหนียวถึงเพียงนี้ อืม…นางจึงประชดประชันด้วยการไม่เปิดปากพูดเสียนาน

สวี่ชีอันรู้สึกเบื่อหน่ายจึงคิดหาบทสนทนาขึ้นมา

พระมเหสีเห็นเขาโอนอ่อนก็ตอบรับเพียงคำว่า “อืม” ก่อนจะเชิดคางขึ้นพลางกล่าวว่า “ข้าจะลองฟังก่อน”

“กาลครั้งหนึ่ง มีมดตัวหนึ่งชอบเล่นขาของมันมาก วันหนึ่งมันเห็นกิ้งกือก็ดีใจสุดขีดและกล่าวว่า ‘โอ้โหบร๊ะเจ้า’ ขาพวกนี้ข้าสามารถเล่นได้เป็นปีเลย”

พระมเหสีตะลึงงันครู่หนึ่งก่อนจะค้นพบความลึกซึ้งในนั้นจึงระเบิดหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ขึ้นมา “ข้าไม่เคยเห็นกิ้งกือมาก่อนแต่คงเป็นแมลงที่มีขาเยอะใช่หรือไม่ ดังนั้นมดน้อยจึงตกตะลึงมาก”

“ใช่แล้วๆ”

“แล้วบร๊ะเจ้าหมายถึงอะไร?”

“…ก็เป็นคำที่ใช้แสดงความตกใจน่ะ”

พระมเหสีพยักหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อแสดงว่าตนเองได้เรียนรู้แล้ว ส่วนในใจก็อภัยให้สวี่ชีอันไปแล้วเช่นกัน

สวี่ชีอันเดินทางด้วยการแบกนางไว้ด้านหลังตลอดทั้งทางแต่จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลงในหุบเขาแห่งหนึ่ง

“เป็นอะไรไป?” พระมเหสีเอ่ยปากถาม

“ปวดฉี่” สวี่ชีอันตอบกลับอย่างสงบ

พระมเหสีถ่มน้ำลาย ก่อนจะลงจากหลังของเขาและหันหน้าไปทางอื่น

สวี่ชีอันชำเลืองมองนางด้วยความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้คิดว่าตนเองจะฉี่ต่อหน้านางจริงๆ รึ? คิดอะไรอยู่นะ ช่างวิปลาสเสียจริง

เขาเดินตรงเข้าไปในป่าทึบที่อยู่ข้างหุบเขา ในขณะที่กำลังเตรียมปลดเข็มขัดกางเกงและระบายความหดเกร็งของกระเพาะปัสสาวะ จู่ๆ เสียงกรีดร้องของพระมเหสีก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ในขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็ตรวจจับได้ถึงเสียงการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วและหนักแน่นดังมาจากที่ไกลๆ

เขารีบรัดเข็มขัดกางเกงและพุ่งตัววิ่งออกจากป่าอย่างรวดเร็ว เห็นพระมเหสีที่มีท่าทางราวกับจะร้องไห้กำลังวิ่งตามเขาเข้ามาในป่าทึบด้วยความตื่นตกใจ

“สวี่ชีอัน บร๊ะเจ้า…” พระมเหสีตะโกนเสียงดัง

ช่างเป็นพระมเหสีที่เรียนรู้ได้เร็วจริงๆ…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะทอดสายตามองออกไปไกล ทันใดนั้นเขาก็รู้ได้ทันทีว่าทำไมพระมเหสีจึงมีท่าทีตกใจมาก

ด้านหน้ามีงูยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งมีความยาวกว่าสิบฟุตกำลังเลื้อยเข้าไปในหุบเขา พุ่มไม้แตกออกตามทางเดินและทิ้ง ‘รอยเท้า’ ไว้อย่างชัดเจน

ข้างหลังงูยักษ์มีม้าสีดำตัวสูงกว่าสองเมตร บนหน้าผากมีเพียงเขาเดียว ดวงตาสีแดงก่ำและเท้าทั้งสี่กีบที่ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิง หนูยักษ์ตัวสูงเท่าคน มีกล้ามเป็นมัดๆ เดินนำฝูงหนูที่ขนัดแน่น จิ้งจอกขาวสี่หางที่มีรูปร่างคล้ายกับม้าทั่วไปเดินนำฝูงจิ้งจอกที่ขนัดแน่นเช่นกัน

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในป่าข้างหุบเขาทั้งสองข้างยังมีสัตว์หลายชนิดนับไม่ถ้วนซุ่มซ่อนอยู่ในนั้น มีทั้งลิง ภูตปีศาจภูเขา แกะสีฟ้า เสือและแมวป่า…ยังมีสัตว์ร้ายอีกมากมายที่สวี่ชีอันไม่รู้จัก

กองทัพปีศาจกำลังเดินทางข้ามพรมแดน!

“เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ…”

สวี่ชีอันดึงพระมเหสีมาไว้ข้างหลังทันทีราวกับกำลังเผชิญหน้ากับกองทัพปีศาจที่เป็นศัตรูตัวฉกาจ

สถานการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้คาดเดาไม่ได้ สวี่ชีอันไม่คาดคิดว่าตนเองจะพบกับกองทัพปีศาจขนาดใหญ่เช่นนี้ เขาสงสัยว่าเผ่าปีศาจตรงมาหาเขาแต่การเดินทางของตนเองไม่มีความแน่นอนและไม่เป็นจุดสนใจ เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกกองทัพขนาดใหญ่ไล่ตามเช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากเผชิญหน้าแล้วก็ต้องเผชิญหน้า

เวลานี้งูยักษ์ที่นำทางอยู่ข้างหน้าส่งเสียงขู่ฟ่อยาวและหยุดเดิน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องสวี่ชีอันด้วยม่านตาแนวตั้งที่เฉียบแหลมและดุร้าย

ผู้นำขบวนอย่างจิ้งจอกสี่หาง ม้าดำและหนูยักษ์ทยอยกันกรีดร้องเพื่อส่งสัญญาณบางอย่าง จากนั้นสัตว์ทุกชนิดในป่าก็แผดเสียงคำรามดังก้องสะท้อนไปทั่วผืนป่า

จากนั้นกองทัพปีศาจทั้งหมดก็หยุดเดิน

แนวสายตานับไม่ถ้วนจากฝั่งตรงข้ามพุ่งผ่านป่าทึบออกมาและเล็งเข้าที่ร่างของสวี่ชีอันเป็นตาเดียว เจตนาร้ายนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาราวกับกระแสน้ำ ซึ่งวิกฤตทั้งหมดนี้ถูกตรวจจับโดยสัญชาตญาณของนักรบ

พระมเหสีตกใจจนหน้าถอดสี เรียวขาทั้งสองข้างสั่นไหว กอดท่อนแขนของสวี่ชีอันอย่างแน่นแฟ้น ราวกับว่าผู้ชายคนนี้เป็นที่พึ่งพิงเดียวของนาง

สมองของสวี่ชีอันหมุนโคจรด้วยความเร็วสูง กำลังพิจารณาว่าจะจัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้อย่างไร

พิจารณาจากกลิ่นอายของความขนัดแน่น ปีศาจเหล่านี้ล้วนไม่ใช่มือสมัครเล่น ข้าบุกเดี่ยวตะลุยฆ่าคนเดียวยังแทบไม่ไหว นับประสาอะไรกับการปกป้องพระมเหสี…ไม่ว่าพวกมันจะตรงมาหาข้าหรือไม่ก็ตาม ด้วยพฤติการณ์ของเผ่าปีศาจ หากมีโอกาสล่าเหยื่อได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ย่อมไม่ปล่อยผ่านอย่างแน่นอน

“พวกนี้คือเผ่าปีศาจแดนเหนือรึ? กองทัพปีศาจรวมตัวกันที่ฉู่โจว งั้น…จะเกิดการจลาจลครั้งใหญ่ในฉู่โจวหรือไม่?”

‘ฟู่…’ หน้าอกของสวี่ชีอันกระเพื่อมขึ้นลง เขาแตะพื้นผิวของหินหยกเบาๆ แล้วดาบโลหะเล่มยาวสีดำและตำราวรยุทธ์ของลัทธิขงจื๊อก็โผล่ออกมา

มือข้างหนึ่งคว้าตัวพระมเหสีไว้ ส่วนมืออีกข้างถือดาบเล่มยาว เขาค่อยๆ ยกตำราขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก กองทัพปีศาจที่อยู่รอบๆ ส่งเสียงคลุมเครือดังระงมไปทั่ว

“ในบรรดาพวกเจ้า ใครคือผู้นำปีศาจ?”

งูยักษ์พูดภาษามนุษย์ จ้องสวี่ชีอันด้วยสายตาเยือกเย็น “เจ้าเป็นใคร?”

ไม่รู้จักข้า…แสดงว่าไม่ได้ตรงมาหาข้า…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวว่า “ข้าเป็นแค่ทหารในยุทธภพ ข้าไม่มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับพวกเจ้า”

เขาเลือกที่จะระบุทัศนคติอันชัดเจนของตนเองก่อน

ตอนนี้เขาเน้นเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างความสงบสุข การสู้รบและฆ่าฟันไม่ใช่เรื่องดี

แต่เห็นได้ชัดว่าเขาประเมินนิสัยของเผ่าปีศาจผิดไป เสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังระงมออกมาจากป่า

“กินเขาเลย กินเขาเลย”

“พลังเลือดลมอันทรงพลังนี้เติมเต็มเลือดเนื้อเราได้”

“ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างคนนั้นดูสดและน่าอร่อยมาก กินเป็นอาหารว่างได้”

“กินเขาเลย กินเขาเลย หักกระดูกและดูดกินเขาซะ”

คลื่นแห่งความมุ่งร้ายท่วมท้นและทรงพลังอย่างยิ่งราวกับมันสามารถผลักภูเขาพลิกทะเลได้

สีเลือดบนใบหน้าของพระมเหสีจางลงราวกับดอกไม้เล็กๆ ในสายลมหนาวที่น่าสงสาร

งูยักษ์แลบลิ้นแผล็บๆ รูม่านตาอันเยือกเย็นค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความปรารถนาที่จะลิ้มรส พวกมันรับคำสั่งขององค์หญิงให้แทรกซึมเข้าไปในฉู่โจว เป็นการสมควรกว่าที่จะไม่ทำตัวให้เป็นจุดสนใจ

แต่เลือดลมของชายผู้นี้ช่างเย้ายวนเสียจริง

ดูเหมือนไม่มีทางยุติความขัดแย้งลงได้เลย…ประจวบเหมาะกับที่ยากระตุ้นกำลังของไต้ซือเสินซูมาถึงพอดี…สวี่ชีอันทอดถอนใจก่อนจะชี้ดาบไปที่หว่างคิ้วของเขา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

“พวกเจ้าแน่ใจรึว่าจะกินข้า!”

จุดเคลือบประกายสีทองปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว ก่อนแผ่กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว แสงสีทองเจิดจ้าเปล่งความหมายอันทรงพลังซึ่งสะท้อนอยู่ในสายตาของปีศาจทั้งปวง

“พลังเทพวชิระงั้นรึ?!”

เสียงโห่ร้องด้วยความหวาดกลัวดังก้องไปทั่วป่าทึบ กลุ่มปีศาจตกอยู่ในความโกลาหลทันทีทันใด

ผู้นำเผ่าปีศาจหลายตนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset