📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี บันทึกตำนานราชันอหังการ – ตอนที่ 280

บทที่ 280 - สระบัวยังคงอยู่ ทว่าแท่นพระไม่มีเหลือ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ครุ่นคิดสักครู่ มู่ซีก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงเครียด “ศพเหล่านี้คงจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่เดินทางมากันในช่วงระยะเวลาอันใกล้ เพียงแต่ไม่รู้ว่า มีคนที่บุกเข้ามาในส่วนลึกของวัดวิปัสสนาร้างแห่งนั้นจำนวนเท่าใด”

ดวงตางดงามของหนิงซือฮวามองไปที่ซูอี้ แล้วกล่าวคำ “สหายเต๋ามองออกหรือไม่ว่าพวกเขาตายอย่างไร?”

“ค่ายกลใหญ่”

ซูอี้ตอบน้ำเสียงราบเรียบ “คล้ายกับค่ายกลใหญ่ต้องห้ามในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนั้น เพียงแต่เห็นได้ชัดว่า ค่ายกลนี้ถูกตั้งโดยผู้มีฝีมือวิถีพุทธ แต่ว่า…”

คิดสักครู่ ถึงตรงนี้ซูอี้จึงกล่าวขึ้นมาว่า “เห็นได้ชัดว่าพลังดั้งเดิมของค่ายกลนี้ได้รับการเซาะกร่อนของพลังมารอสูร ทำให้ปรากฏการณ์ประหลาดที่ค่ายกลนี้แสดงออกมาจึงมีความประหลาดและผิดธรรมดาตามไปด้วย”

เขาเบนสายตามองไปที่เงาเลือนรางของดอกบัวประหลาดสีดำที่มีมากมายนับร้อยนับพันบนท้องฟ้า ก่อนจะกล่าวคำ “หากว่าข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่ค่ายกลนี้ผนึกไว้ข้างใต้ เป็นไปได้มากว่าอาจจะเป็นพลังของมารอสูร”

มารอสูร!

ในสายตาของหนิงซือฮวากับมู่ซีล้วนฉายออกซึ่งความตะลึง

ทว่าขณะที่ซูอี้กำลังพูด เขาก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว

เสียงท่องบทสวดภาษาบาลีสันสกฤตที่คล้ายกับเสียงพร่ำรำพันของภูตผีปีศาจดังขึ้นเป็นพัก ๆ หนาวสะท้านถึงใจ

ทั่วทั้งผืนพสุธามืดมิดอึมครึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปากทางเข้าวัดวิปัสสนาร้างตรงนั้น ซากศพกองพะเนิน เลือดนองราวกับแม่น้ำ ภาพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องขนลุกซู่

ทว่าซูอี้กลับไม่ได้รู้สึกหวาดเกรงแม้แต่อย่างใด ยังคงเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ทีละก้าว

หนิงซือฮวา มู่ซี กับหลานซัวติดตามอยู่ข้างหลัง ทำสีหน้าเตรียมพร้อมระมัดระวังขึ้นมา

จนกระทั่งมาถึงหน้าประตูวัดวิปัสสนาที่ทรุดเอน ซูอี้จึงหยุดฝีเท้า

แทบจะขณะเดียวกัน…

ท่ามกลางหมอกทึบที่อยู่ลึกเข้าไปในประตูสำนัก ปรากฏร่าง ๆ หนึ่งในชุดหลวงจีนสีเทา มือถือลูกประคำ ฉับพลันก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ปากทางเข้าวัดวิปัสสนาร้างราวกับวิญญาณผี

สีหน้าของหลวงจีนรูปนี้เคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยวาจา “โยมทุกท่านจงหยุดก่อน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม หากเข้าใกล้ จะได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต”

เสียงพูดดังก้องกังวานดุจดังเสียงระฆัง

หัวคิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย

หลานซัวกล่าวราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้าคือหลวงจีนจากวัดซ่างหลิน?”

หลวงจีนรูปนั้นสายตาราวกับสายฟ้า ฉับพลันมองไปที่หลานซัว แล้วกล่าวคำออก “โยมหญิงท่านนี้สายตาแหลมคม อาตมามาจากวัดซ่างหลินอาณาจักรต้าฉิน มีสมญาว่า ‘เจวี๋ยเหิง’”

สมญาขึ้นต้นด้วยคำว่าเวทนา!

ดวงตาใสสว่างของหลานซัวจับจ้องเล็กน้อยราวกับตื่นตระหนก จากนั้นจึงหันไปพูดกับพวกของซูอี้อย่างรวดเร็ว

“หลวงจีนที่มีสมญาขึ้นต้นด้วยคำว่าเจวี๋ยของวัดซ่างหลินล้วนเป็นผู้มีฝีมืออยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ แต่ละคนล้วนมีความช่ำชองด้านจิตรับรู้ของสำนักพุทธที่ต่างกันออกไป ทว่าล้วนน่าหวาดกลัวยิ่งนัก บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ในโลกสามัญไม่อาจเทียบเคียงได้”

หนิงซือฮวากับมู่ซีต่างก็ตะลึงขึ้นในใจ

กำลังการฝึกตนเปรียบได้กับคนบนยอดเขา นอกจากเหนือกว่าคนในโลกสามัญ วิธีการฝึกตนที่ชำนาญเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ยอดยุทธ์ในโลกสามัญเหล่านั้นจะสามารถเปรียบเทียบด้วยได้

ยกตัวอย่างเช่น เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เหมือนกัน แต่ยอดยุทธ์ที่เดินออกมาจากกำลังฝึกตนสามารถฆ่าบุคคลระดับเดียวกันในโลกสามัญได้อย่างง่ายดาย!

ก็เพราะว่ามีความแตกต่างกันในเรื่องของพื้นฐาน การสืบทอดและพรสวรรค์

ทว่าซูอี้กลับไม่ใส่ใจ กล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ความเป็นตายของพวกเราไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า หากว่าเจ้าปรารถนาดีจริง ๆ จงหลีกไปเสียเดี๋ยวนี้”

พูดพลางก้าวตรงไปยังประตูสำนักที่ทรุดเอนนั้นแล้ว

“ช้าก่อน!”

หลวงจีนผู้อ้างตนว่าชื่อเจวี๋ยเหิง พลังในตัวผุดระเบิด น่าหวาดกลัวประดุจวานรกำลังคลั่ง “อาตมาบอกไปแล้ว ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม ดีที่สุดพวกเจ้าอย่าได้หาเรื่องใส่ตัว มิเช่นนั้น…”

ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็สะบัดแขนเสื้อ

สวบ!

ดาบสีเขียวอ่อนอันลี้ลับปรากฏขึ้นกลางอากาศ พุ่งแทงไปยังเจวี๋ยเหิงที่ยืนอยู่ตรงปากทางเข้าวัดวิปัสสนาร้าง

“เหลวไหล!”

เจวี๋ยเหิงโกรธจัด สองมือประกบเป็นรูปสัญลักษณ์กดลงไปในอากาศ

โครม!

ตราประทับรูปพระพุทธสีทองอร่ามปรากฏขึ้นกลางอากาศ องค์พระน่าเกรงขามกดทับลงมาอย่างแรง

จิตรับรู้ของสำนักพุทธนี้มีความมหัศจรรย์เหลือคณา อีกทั้งยังดูความน่าเกรงขามเช่นนั้นแล้ว ผู้แข็งแกร่งติดอันดับสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างซือถูกงไม่อาจเทียบเคียงด้วยได้

เพียงแต่…

ดาบนี้ดาบเดียวของซูอี้ที่ดูคล้ายกับบางเบาไร้พิษสง หาใช่ธรรมดาไม่!

พอประกายดาบผุดขึ้นก็เกิดเสียงอันดัง ตราประทับรูปพระพุทธสีทองขาดเป็นสองท่านราวกับกระดาษ จากนั้นระเบิดกลางอากาศ สะเก็ดไฟแตกกระเซ็น

ทว่าดาบของซูอี้พุ่งตรงไปที่เจวี๋ยเหิง

เจวี๋ยเหิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พลันขยับลูกประคำในมือ แสงสีทองแสบตาปรากฏขึ้นในทันใด จับตัวกันเป็นเกราะสีทองเรืองอร่ามคุ้มกันอยู่ด้านหน้า

ปัง!!!

ดาบกระแทกเข้ากับเกราะสีทอง เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วฟ้า

ท้ายสุด ถึงแม้จะบั่นทอนพลังของดาบลงไปบ้าง ทว่าบนเกราะสีทองนั้นยังคงปรากฏรอยร้าวราวกับใยแมงมุม ก่อนจะแตกจนเป็นชิ้นย่อยและสลายหายไป

ร่างของเจวี๋ยเหิงสั่นสะท้าน ในที่สุดสีหน้าก็เปลี่ยนไป พลางกล่าวคำออก “โยมท่านนี้คิดจะเป็นศัตรูกับวัดซ่างหลินของพวกเราเช่นนั้นหรือ?”

ซูอี้คร้านจะพูดมาก สะบัดแขนเสื้อแล้วพุ่งดาบเข้าหา

ท่าทีที่รวดเร็วฉับไวนั้นทำให้เจวี๋ยเหิงทั้งตื่นตระหนกและโกรธ

“เมตตาไม่อาจฉุดช่วยผู้ปฏิเสธ ในเมื่อพวกเจ้าหลับใหลไม่ยอมตื่น ถ้าเช่นนั้นก็รอรับภัยพิบัติก็แล้วกัน!”

เขาไม่ดึงดันต่อไปอีก และหมุนตัวพุ่งเข้าไปในวัดวิปัสสนาร้างที่มีหมอกหนาทึบ

ผลุบ~~

ทว่าดาบของซูอี้ที่พุ่งเข้าไปกลับถูกค่ายกลประหลาดทำให้หายลับไปในระลอกคลื่นอย่างไร้สุ้มเสียง

“ตามความคาดหมาย ในวัดร้างแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยค่ายกล”

ประกายสายตาประหลาดผุดขึ้นในแววตาของซูอี้

ส่วนหลานซัวที่มองเห็นภาพเหตุการณ์เหล่านี้ก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “คุณชายซูไม่กลัวว่าจะถูกวัดซ่างหลินจ้องเล่นงานเช่นนั้นหรือ? นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักพุทธแห่งแรกในอาณาจักรต้าฉินของข้า ลำพังเพียงแค่บุคคลเทพเซียนเดินดินเช่นนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยแล้ว”

“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” ซูอี้ย้อนถาม

หลานซัวนิ่งพูดไม่ออก ลงไม้ลงมือไปแล้ว ก็แสดงว่าซูอี้ไม่สนใจวัดซ่างหลินสักนิด

หนิงซือฮวากล่าวเตือนเบา ๆ “หลานซัว ประเดี๋ยวพวกเราบุกเข้าไปในวัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้ เกรงว่าจะต้องเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนวิถีพุทธของวัดซ่างหลิน เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้ดี”

หลานซัวพยักหน้า

“พวกเจ้าติดตามข้าอยู่ข้างหลัง”

พูดจบซูอี้ก็ย่างเดินไปข้างหน้าแล้ว

ครืน!

พวกของซูอี้เพิ่งก้าวเข้าปากทางเข้าของวัดวิปัสสนาร้างแห่งนั้น เมฆหมอกโดยรอบเกิดแปรปรวนขึ้นมา

แผ่นดินราวกับลาดเอียงไปในฉับพลัน หยินและหยางตาลปัตร มังกรไอหมอกจำนวนนับไม่ถ้วนโอบล้อมเข้ามาจากแปดทิศทางรอบสี่ด้าน

เห็นได้ชัดว่านี่คือค่ายกลหมอกลวง ไม่เพียงแต่เป็นอุปสรรคขัดขวาง ทั้งยังเป็นค่ายกลที่น่ากลัวมากค่ายกลหนึ่ง

มังกรเมฆแต่ละตัวมีความยาวตั้งแต่หลายสิบจนถึงหลายร้อยจั้ง ทั้งหมดล้วนเกิดจากการรวมตัวของพลังแห่งความชั่วร้ายทั้งสิ้น เปรียบดังโซ่ตรวนขนาดใหญ่พาดอยู่บนท้องฟ้า โอบล้อมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

หากว่าเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น คงถูกโซ่ตรวนหมอกเมฆาเหล่านี้ทำร้ายจนกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว

ทว่า สำหรับซูอี้แล้ว ค่ายกลใหญ่แห่งนี้ไม่ได้มีความหมายอันใดมากนัก

ฉับพลันนั้นเอง…

ประกายแสงเทวะในดวงตาลุ่มลึกของเขาส่องสว่างเจิดจ้า พลางสะบัดแขนเสื้อ

“เปิด!”

ครืน

ดาบเล่มหนึ่งพุ่งเข้าหาพร้อมกับเสียงดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า จากนั้นก็กลายร่างเป็นสายรุ้งยาวใหญ่มหึมา ฟันลงไปอย่างแรง

มังกรหมอกเมฆายาวนับสิบจั้งตนนั้นถูกฟันขาดกลางอากาศอย่างง่ายดาย

ชั่วพริบตาเดียว หมอกหนาที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าร้อยจั้งถูกกวาดจนเรียบเป็นหน้ากลอง

พวกของหนิงซือฮวาเห็นเช่นนี้แล้วต่างก็ตื่นตะลึง

ดาบเล่มนี้ฟาดฟันร้อยจั้งราวกับผ่ากระบอกไม้ไผ่!

วัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าลึกลงไปเท่าใด พวกของซูอี้ก็โฉบลงไปร้อยจั้งแล้ว ทว่ามองดูทิศทางรอบด้านแล้วก็ยังคงมีแต่หมอกชั่วร้ายหนาทึบ

กลิ่นอายความชั่วร้ายเหล่านี้ถูกขับเคลื่อนโดยพลังค่ายกล สามารถสกัดกั้นการจับตามองของจิตรับรู้ ต่อให้ตอนนี้ซูอี้มีจิตสัมผัส ก็สามารถทำได้เพียงแค่สัมผัสรับรู้สภาพการณ์ในระยะสามจั้งเท่านั้น

ทว่า ซูอี้ยังคงคร้านจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้

เพียงแค่ค่ายกลหมอกลวงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาวิธีแก้ บุกฆ่าไปตลอดทางก็ได้แล้ว

ชิ้ง!

ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าปรากฏอยู่ในมือ

“ฟัน! ฟัน! ฟัน!”

ซูอี้ขับเคลื่อนพลังปราณในกาย ชุดยาวสีเขียวโบกสะบัดจนเกิดเสียง มือตวัดดาบฟันไม่ยั้ง

ด้วยผลการฝึกตนในตอนนี้ของเขา ประกอบกับกระบวนท่าวิถีดาบ อานุภาพการฟาดฟันถึงขั้นสามารถคร่าชีวิตของบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้

ขณะที่ลงมือ ดาบฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับสายรุ้งเทพอันน่ากลัวพุ่งออกระลอกแล้วระลอกเล่า แหวกค่ายกลหมอกลวงนี้ให้เปิดออกเป็นทางยาว

นี่ก็คือ ‘คนแรงเยอะคนเดียวสามารสยบคนมีวิทยายุทธสิบคน’

ไม่ว่าเจ้าจะมีค่ายกลล้ำเลิศเพียงใด ข้าล้วนทำลายด้วยแรงกำลังของตัวเอง

“คน ๆ นี้เป็นปรมาจารย์ขั้นสองจริง ๆ หรือ?”

หลานซัวเห็นแล้วก็ตกตะลึง บนใบหน้าที่งดงามรูปหน้าชัดเจนเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก

อานุภาพการฟาดฟันของดาบแต่ละดาบ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวจนเนื้อเต้น ไม่อาจคาดคิดได้ว่านี่คือพลังที่ปรมาจารย์อายุสิบเจ็ดปีจะสามารถมีได้

ทว่าสำหรับหนิงซือฮวากับมู่ซีแล้ว พวกเขาเห็นมามากจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว

อย่างรวดเร็ว คนทั้งหมดก็ผ่านค่ายกลหมอกลวงแห่งนี้ไปได้ และมาถึงสระน้ำที่แห้งเหือดไปแล้ว

ที่ตรงนี้ก็เป็นสถานที่ร้างเช่นกัน ทรุดโทรมมาก จนสามารถมองออกได้ลาง ๆ ว่าที่ตรงนี้เดิมทีเป็นลานพิธีขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่ง สระน้ำที่แห้งขอดแห่งนั้นตั้งอยู่กลางลานพิธี

สังเกตดูให้ดี สระน้ำที่แห้งขอดแห่งนั้นมีความยาวถึงร้อยจั้ง ดินโคลนภายในสระแห้งจนแตกเป็นรอยร้าว ซากกระดูกที่เน่าเละกองเกลื่อนกลาด

ทว่าบนโครงกระดูกแต่ละโครงล้วนมีดอกบัวสีดำประหลาดงอกออกมา ซึ่งมีจำนวนนับร้อยนับพันดอก แต่ละดอกล้วนเบ่งบานสะพรั่ง

พลังชั่วร้ายสีดำผุดออกมาจากดอกบัวประหลาดเหล่านั้น ปล่อยกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายหนาวเหน็บจนทิ่มกระดูกออกมา

เมื่อมาถึงที่ตรงนี้ นัยน์ตาดำของซูอี้จับจ้องเล็กน้อย จิตสัมผัสซึ่งไวต่อความรู้สึกรับรู้ได้ว่าสถานที่ตรงนี้มีค่ายกลต้องห้ามที่อันตรายน่ากลัว

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ปรากฏการณ์ดอกบัวอสูรสีดำที่พวกเราเห็นมันสะท้อนอยู่ใต้ท้องฟ้าภายนอกเมื่อก่อนหน้านี้ ที่แท้ก็มาจากที่ตรงนี้นี่เอง…”

ซูอี้แสดงท่าทีตระหนักเข้าใจออกมา

“ใจกลางลานพิธีแห่งนี้มีสระดอกบัวตั้งอยู่ เดิมทีเป็นสถานที่แสดงธรรมของสำนักพุทธ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด ไม่นึกเลยว่า บัดนี้ได้กลายเป็นฐานที่มั่นของค่ายกลอสูรชั่ว”

“โครงกระดูกเน่าเละที่อยู่กลางสระเหล่านั้น คงจะเป็นผู้ฝึกตนที่มาดับชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้เมื่อนานมากแล้ว ค่ายกลแห่งนี้ดูดกลืนพลังลมปราณและเลือดเนื้อของพวกเขา รวมกันเป็นพลังที่ขับเคลื่อนค่ายกล”

“ใช้พลังแห่งเลือดเนื้อเป็นตัวนำ สร้างค่ายกลแห่งการเข่นฆ่าล้างผลาญ เห็นได้ชัดว่านี่คือวิธีการของผู้ฝึกปีศาจสำนักอสูร”

“น่าสนใจ สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสำนักของผู้บำเพ็ญแห่งวิถีพุทธเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว ข้าเกรงว่ายังจะมีผู้ฝึกปีศาจกับพลังของสำนักอสูรร่วมอยู่ด้วย…”

ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิดตรึกตรองนั้นเอง

มู่ซีที่ทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้นมา “ในอดีตข้าเคยมาสถานที่แห่งนี้ เพียงแต่ว่า ตอนนั้นในสระน้ำแห่งนี้ไม่ได้มีดอกบัวประหลาดสีดำเหล่านั้น และด้านหลังของสระยังมีแท่นพระที่เกิดจากการนำก้อนหินสีดำมาวางกองรวมกัน แต่ตอนนี้ไม่เห็นมีแท่นพระนั้นอีกแล้ว!”

“แท่นพระนั้นมีอะไรโดดเด่นเช่นนั้นหรือ?”

หนิงซือฮวาถามด้วยความสงสัย

มู่ซีนิ่งเงียบไปสักครู่จึงกล่าว “จี้หยกโลหิตของข้า ได้มาจากแท่นพระแห่งนั้น”

พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ซูอี้ก็อดแสดงท่าทีตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน

เขาจำได้ชัดเจน จี้หยกโลหิตของมู่ซีนั้นสร้างจากโลหิตวิญญาณแท้จริง หากอยู่ในเก้ามหาแดนดินก็ยังถือได้ว่าเป็นของล้ำค่ามาก

ไม่คิดเลยว่า จี้หยกเช่นนี้จะมาจากแท่นพระลึกลับ!

นึกถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็นึกถึงพระพุทธรูปที่ได้มาจากราชาปราการเพลิงองค์นั้นขึ้นมา

องค์พระนั้นมีขนาดประมาณเท่ากับฝ่ามือเท่านั้น ทว่าถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกวิญญาณแท้จริง สองมือขององค์พระทำสัญลักษณ์รูปดอกบัว บนตัวมีมังกรแท้พันรอบ มีความลึกลับมากเช่นกัน

ซูอี้ไม่มีทางลืมว่าตอนที่ใช้จิตสัมผัสรับรู้องค์พระนั่น เคยเห็นปรากฏการณ์ประหลาดมีหลวงจีนชุดขาวขี่มังกรท่องไปในหมู่ดวงดาว

หากคาดเดาตามคำกล่าวของมู่ซี ถ้าเช่นนั้นองค์พระองค์นั้นก็ต้องมาจากวัดวิปัสสนาร้างแห่งนี้เช่นกัน!

Facebook Twitter Telegram Pinterest
บันทึกตำนานราชันอหังการ

บันทึกตำนานราชันอหังการ

First Immortal of The Sword, Fis, Jiandao di yi xian, Supreme sword god (donghua), 剑道第一仙
Score 8.8
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เสียงคำรามกราดเกรี้ยวดังเลือนลั่นฟ้า การจากไปของผู้ยิ่งใหญ่นำมาซึ่งความโกลาหนทั่วเก้ามหาแดนดิน เหล่าคนละโมบต่างคิดหมายแย่งชิงสิ่งวิเศษที่ผู้เป็นยอดปรมาจารย์เคยปกครองยุคสมัยครอบครอง ทว่านั่นหาใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น! แท้จริงแล้วภายในโลงสัมฤทธิ์ มันว่างเปล่า! ไร้ศพ ไร้คน และไร้ซึ่งดาบเก้าคุมขัง!!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset