📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ยอดวิถีแห่งปีศาจ – ตอนที่ 432

บทที่ 432 - สำเร็จ (2)
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ยังจะหนีอีกหรือไม่” ลู่เซิ่งอุ้มเฉินอวิ๋นซีไปถึงด้านหน้าประตูห้องด้านใน กลิ่นอายอันไร้รูปร่างหลายสายลอยออกมาจากบนร่าง พัดให้ชุดคลุมสีดำตัวโคร่งที่แขวนอยู่ใกล้ๆ ลอยขึ้นมาสวมลงบนร่างคนทั้งสอง

แม้เขาจะใช้เกราะเกล็ดซึ่งเป็นเกราะอ่อนของร่างหลักปกปิดแทนเสื้อผ้าได้ แต่เฉินอวิ๋นซีทำไม่ได้ ชุดคลุมสีดำนี้ใช้ปกปิดร่างกายของนางมากกว่า

“…ไม่…ไม่หนีแล้ว…” เฉินอวิ๋นซีใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด จึงค่อยเค้นคำพูดนี้ออกมาได้ นางแทบจะพูดไปร้องไห้ไป

ความรู้สึกที่เหมือนกับตัวเองจะตายให้ได้เมื่อก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยเจอมาก่อน และเป็นสิ่งที่นางปรารถนามาโดยตลอด เพียงแต่ความรู้สึกนั้นรุนแรงเกินไป…ทำให้นางแทบจะสลบไสล เสียสติ และจมดิ่งอยู่ในความสุขอันน่าอัศจรรย์นั้น

จนถึงตอนนี้ นางยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังชักกระตุกอยู่ ขอแค่สัมผัสผิวหนังเพียงเล็กน้อย ก็จะเกิดความรู้สึกเหมือนแตะกระแสไฟฟ้า

ได้ยินเฉินอวิ๋นซีตอบอย่างขลาดกลัว ลู่เซิ่งก็หัวเราะลั่น ก่อนจะผลักประตู จากนั้นก็อุ้มนางกลับไปยังเรือนที่นางอยู่ทั้งอย่างนี้

เรื่องที่เฉินอวิ๋นซีได้รับความเอ็นดูกระจายไปทั่วตระกูลลู่อย่างรวดเร็ว หลังจากลู่เซิ่งส่งเฉินอวิ๋นซีกลับเรือนของตัวเอง ไม่นานคนจากทั่วทั้งคฤหาสน์ลู่รวมถึงลู่เฉวียนอันก็พากันไปเยี่ยมเยียนนาง

หนึ่งเดือนต่อจากนั้น ลู่เซิ่งตั้งใจอยู่กับครอบครัวที่บ้าน ในช่วงเวลานี้เฉินอวิ๋นซีลุกจากเตียงไม่ไหว เวลาจะกินอะไรต้องให้หญิงรับใช้ประคองป้อนให้อย่างเดียว

ไม่นานหมอที่ลู่เซิ่งตั้งใจเชิญมาก็คลำเจอชีพจรตั้งครรภ์ของนาง

ทั่วทั้งคฤหาสน์ลู่ต่างยินดี สำนักมารกำเนิดแขวนผ้าหลากสีเพื่อฉลองอยู่หลายวัน พอลู่เซิ่งได้รับข่าวยืนยัน ก็ตรวจสอบด้วยตัวเองดู จึงค่อยแน่ใจว่าเฉินอวิ๋นซีตั้งท้องแล้วจริงๆ เขาดีใจเช่นกัน จากนั้นก็มอบโอสถล้ำค่าสำหรับบำรุงร่างกายโดยเฉพาะให้ไม่น้อย แถมยังแขวนอาวุธเทพชิ้นหนึ่งที่ตนเก็บรวบรวมมาในห้องของเฉินอวิ๋นซีด้วย

อาวุธเทพชิ้นนี้ใช้ปรับร่างกายให้แก่เฉินอวิ๋นซีเป็นการเฉพาะ แถมยังเชื่อฟังมากอีกต่างหาก

ตอนนี้บนมือลู่เซิ่งยังเหลืออาวุธเทพสามชิ้น ต่างก็เชื่อฟังคำมาก เป็นเพราะพวกที่ไม่เชื่อฟังถูกการุณยฆาตด้วยการยัดลงท้องลู่เซิ่งไปแล้ว

อาวุธเทพที่แขวนไว้นี้มีความสามารถควบคุมโลหิต จึงมีส่วนช่วยเหลือในการชดเชยปราณและเลือดอย่างใหญ่หลวง

หลังจัดการเรื่องทางเฉินอวิ๋นซีเสร็จ ลู่เซิ่งก็มุ่งหน้าไปยังโลกแห่งความเจ็บปวดและทำภารกิจเก็บอาวุธเทพที่สือจื้อซิงมอบให้จนสำเร็จ ทั้งยังกินอาวุธเทพระดับใบไม้ท้องคำชิ้นหนึ่งที่แย่งมาเกิน จากนั้นตอนเพิ่งกลับมาถึง ก็ได้รับคำร้องขอเข้าพบของตระกูลมู่ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ที่มาจากนอกแคว้น

โถงประชุมของสำนักมารกำเนิด

หน่วยหลักของสำนักมารกำเนิดที่สร้างไว้ด้านนอกเขตจันทราสารทเป็นตำหนักสีดำสนิทที่ใหญ่โตยิ่งกว่าอารามของสำนักมารกำเนิด ตำหนักแบ่งออกเป็นบนล่างสองส่วน ตำหนักบนเป็นส่วนบนผิวดิน ตำหนักล่างเป็นส่วนใต้ดิน

เมื่อมียอดฝีมือที่มีพลังเหี้ยมหาญระดับราชามารอยู่สองสามคน การสร้างตำหนักแบบนี้จึงไม่ได้ใช้ความพยายามมากมายอะไรนัก

ลู่เซิ่งในตอนนี้อยู่ที่ตำหนักบนของสำนักมารกำเนิด กำลังต้อนรับตัวแทนของตระกูลมู่ที่มาจากแคว้นสี่อุบัติซึ่งเป็นแคว้นด้านนอกอยู่

“มู่ชิงเย่ กับหลานสาวมู่เจวี๋ยชิ่ง และหลานชายมู่เชวียหนิงแห่งตระกูลมู่คำนับเจ้าสำนัก”

ลู่เซิ่งนั่งบนตำแหน่งประธานด้านในโถงเล็ก สองฟากข้างคือรูปปั้นมังกรหินสีดำที่แยกเขี้ยวกางเล็บ ตะเกียงติดผนังสีแดงเข้มแขวนอยู่บนผนังรอบๆ ขับด้านในสำนักมารกำเนิดมืดครึ้มและน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม

นี่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็น ต่อจากนี้ลู่เซิ่งยังคิดจะย้ายสำนักมารกำเนิดมาอีก อย่างไรสำนักมารกำเนิดก็มีครึ่งหนึ่งเป็นของวิญญาณ และวิญญาณก็ไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่สว่างมากเกินไป ดังนั้นความจริงแล้วโถงประชุมแห่งนี้จึงสร้างขึ้นให้แก่สมาชิกสำนักที่เป็นวิญญาณ

เขาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานมองไปที่ใต้บันได คนที่เห็นกลับเป็นมู่เจวี๋ยชิ่งเด็กสาวจากตระกูลมู่ที่ได้พบตอนไล่ล่าสวีฉีเมื่อก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ด้านหลังของนาง คนที่ติดตามนางมาด้วยยังมีมู่เชวียหนิงลูกผู้พี่ของนางอีกคน

มู่เชวียหนิงในตอนนี้จมูกเขียวหน้าบวม ลมหายใจปั่นป่วนถึงขีดสุด ไม่ทราบว่าบาดเจ็บภายในมากขนาดไหน ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะถูกทุบตี

“พวกเจ้าไปทำอะไรมา” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย ปัจจุบันเขาในฐานะเจ้าสำนักมารกำเนิด แม้จะไม่จัดการภารกิจประจำวัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถพบเขาได้ ถ้าไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายแบไพ่ตระกูลมู่ เขาคงไม่มาต้อนรับคนทั้งสาม

มู่ชิงเย่เป็นสตรีใบหน้าเย็นชาที่มีบุคลิกบริสุทธิ์เหมือนกับแม่ชี สีหน้ารักษาความเคารพพื้นฐานต่อลู่เซิ่ง ตอนนี้พอได้ยินลู่เซิ่งถาม นางก็บอกถึงจุดประสงค์ในครั้งนี้ของตัวเองอย่างช้าๆ

“เจ้าสำนักลู่เป็นอัจฉริยะที่ฟ้าให้กำเนิด ทั้งยังเฉลียวฉลาดเจ้าแผนการ แถมมรรคายุทธ์ยังประสบความสำเร็จจนน่าตกใจ ตระกูลมู่ในแคว้นสี่อุบัติของพวกเราเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง หลานสาวมู่เจวี๋ยชิ่งจึงหวังจะได้กราบท่านเป็นอาจารย์เพื่อฝึกฝนมรรคายุทธ์และแก่นจริงแท้” นางกล่าวคำพูดนี้อย่างกะทันหันและฝืนๆ อยู่บ้าง

แม้ลู่เซิ่งจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่เขาไม่คิดว่าชื่อเสียงของตัวเองจะดังไปถึงทางด้านแคว้นสี่อุบัติ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งก่อนทำศึกใหญ่กับสวีฉี ด้วยความสัมพันธ์ที่อาจจะคงอยู่ของสวีฉีกับตระกูลมู่ อีกฝ่ายไม่น่าจะถึงกับเดินทางไกลเป็นพันลี้มากราบเขาเป็นอาจารย์

แคว้นสี่อุบัติก็ไม่ใช่ว่าไม่มีอริยะเจ้าเช่นกัน

ใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นลู่เซิ่งก็มองมู่เจวี๋ยชิ่งที่รอคอยอย่างกระสับกระส่ายอยู่ด้านข้าง นางคล้ายสัมผัสได้ว่าสายตาของลู่เซิ่งหยุดอยู่บนใบหน้านาง สีหน้าจึงแดงเรื่อ ก้มหน้าอย่างขวยเขิน ส่วนมู่เชวียหนิงที่อยู่ด้านหลังกลับหน้าซีด ทำท่ากลัวหัวหด

“ข้าไม่มีความตั้งใจจะรับศิษย์ พวกเจ้าโปรดกลับไปเถอะ” ลู่เซิ่งเว้นเล็กน้อย ก่อนจะให้คำตอบ

“เจ้าสำนักกังวลว่าชิ่งเอ๋อร์จะไม่เข้าเงื่อนไขของท่านหรือ ชิ่งเอ๋อร์เป็นร่างวิญญาณไม้ในตำนาน สามารถฝึกฝนความสามารถแก่นจริงแท้ธาตุไม้ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังมีความก้าวหน้าอันน่าทึ่ง ปัจจุบันได้สร้างพื้นฐานไว้แน่นแล้ว สามารถก้าวสู่ขอบเขตไตรลักษณ์ได้ตลอดเวลา” มู่ชิงเย่หยิบเมล็ดสีแดงชาดเม็ดเล็กๆ ออกมาวางไว้กลางฝ่ามือ แล้วแสดงให้เห็น

“นอกจากนี้ นี่ยังเป็นของขวัญกราบอาจารย์ที่ตระกูลมู่ของเรามอบให้ เมล็ดดูดซับวิญญาณหนึ่งเม็ด”

“อ้อ?!” ลู่เซิ่งเห็นเมล็ดสีแดงชาดก็ประหลาดใจเล็กน้อย เมล็ดดูดซับวิญญาณเป็นเมล็ดฟ้าดินชนิดหนึ่ง ว่ากันว่าเกิดขึ้นในหุบเหวมารที่พิภพมาร หากว่าปลูกมันลงไป จะจำลองตัวเองเป็นสารกายพร้อมกับผลิตปราณมารที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุดออกมาได้

นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผู้ฝึกฝนวิชามารซึ่งฝึกแก่นมาร เมล็ดเม็ดนี้มีค่าอย่างน้อยเท่ากับอาวุธเทพใบไม้ทองคำสองชิ้น แถมยังมีราคาแต่ไม่มีตลาดอีกต่างหาก เนื่องจากว่าเมล็ดดูดซับวิญญาณนี้หายากมากเกินไป ส่วนอาวุธเทพจะตกลงมาจากโลกแห่งความเจ็บปวดทุกปีอยู่แล้ว

‘ลงทุนจริงๆ!’ ลู่เซิ่งคิดอีกทีหนึ่ง ทราบว่าอีกฝ่ายคงรู้แล้วว่าตอนนี้เขาต้องการอะไร สำนักมารกำเนิดต้องการขยับขยาย จึงต้องการยอดฝีมือจำนวนมากจริงๆ แต่ปัจจุบันได้แต่พึ่งพายอดฝีมือแค่ไม่กี่คนคอยประคับประคอง ความจริงขนาดการพัฒนาได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว

เมล็ดดูดซับวิญญาณเป็นกุญแจสำคัญที่เร่งให้ยอดฝีมือของสำนักยกระดับได้เร็วกว่าเดิม

ลังเลเล็กน้อย จากนั้นลู่เซิ่งก็มองมู่เจวี๋ยชิ่งอีกครั้ง ดีที่ต้าอินไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อการฝึกฝนวิชามาร ขอแค่แสดงจุดยืนว่าไม่ใช่ฝ่ายพิภพมาร ต้าอินก็ไม่สนใจว่าท่านจะฝึกฝนวิชาอะไร แถมตอนนี้ลู่เซิ่งยังพอจะแยกแยะออกแล้วว่า แก่นมารปราณมารที่ฝึกฝนได้จากวิชามารกับแก่นมารปราณมารในพิภพมารของจริง เป็นสิ่งของที่แตกต่างกันโนlวลกูดอทคoม

ต้าอินมีเครื่องรางของขลังที่ใช้แยกของสองสิ่ง ดังนั้นจึงไม่สนใจ

‘ร่างวิญญาณไม้หรือ’ เขาเคาะที่พักแขนของเก้าอี้เบาๆ พร้อมกับไตร่ตรอง มาถึงขั้นนี้ การจะยกระดับพลังอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

แม้จะมีพลังอาวรณ์เยอะกว่านี้ ก็ไม่สามารถยกระดับอัคคีอนธการถึงขั้นปฐมพลังได้

การยกระดับวิชาไร้ขอบเขตอย่างมากสุดก็แค่ยกระดับอานุภาพบางส่วนของอัคคีอนธการเท่านั้น ลู่เซิ่งเคยทดลองเรียนรู้ในระดับสูงกว่านี้มาก่อนแล้ว และมันก็จำเป็นต้องศึกษาต้นกำเนิดของอัคคีอนธการเช่นกัน

เขาขาดข้อมูลข่าวสารทางด้านนี้ เป็นเหตุให้ผลลัพธ์ที่ออกมาหลังจากการเรียนรู้สองครั้งมีพลังเพิ่มขึ้นมาเพียงน้อยนิดเท่านั้น พลังอาวรณ์ที่สูญเสียไปกับการยกระดับที่ได้มาไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ทั้งยังต้องทำตามเงื่อนไขการยกระดับแต่ละประเภทที่แตกต่างกันอีก

หลังลองอยู่หลายครั้ง ลู่เซิ่งก็ยอมแพ้โดยสมบูรณ์ แล้วหันมาตั้งใจคิดศึกษาวิธีแต่ละอย่างในการวิจัยอัคคีอนธการแทน

การลงทุนด้วยพลังอาวรณ์เป็นสิ่งที่ได้ผลอย่างแน่นอน เขารู้สึกได้ว่าดีปบลูคำนวณวิเคราะห์อัคคีอนธการผ่านพลังอาวรณ์อย่างรวดเร็ว ทว่าจำนวนที่ต้องการยังขาดอีกมาก

ตอนนี้มีเวลามากมายสำหรับใช้เก็บรวบรวมอาวุธเทพและสั่งสมพลังอาวรณ์ เวลาอันยาวนานขนาดนี้ นอกจากการขยับขยายอำนาจของสำนักมารกำเนิดแล้ว เขาก็ควรทิ้งหลักประกันในอนาคตส่วนหนึ่งให้แก่ตัวเอง ให้แก่สำนักมารกำเนิด สำนักอาทิตย์ชาด รวมถึงครอบครัวจริงๆ

เมื่อเป็นแบบนี้ วันหนึ่งในตอนที่เขามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ที่นี่ จะได้มีคนช่วยเขาคุ้มครองขุมกำลังและกิจการ รวมถึงช่วยเหลือคนรุ่นหลัง แต่จะทำถึงขั้นนี้ได้ คนที่อยู่ในสำนักมารกำเนิดเหล่านี้ยังมีศักยภาพไม่พอ

เมื่อเห็นลู่เซิ่งคล้ายกับลังเล มู่เจวี๋ยชิ่งก็พูดเอง

“อาจารย์อาจจะยังไม่รู้จักคุณสมบัติของข้าดี ร่างวิญญาณไม้ของข้าเป็นคุณสมบัติร่างอันเหมาะสมที่อาวุธเทพธาตุไม้ชอบที่สุด ขอแค่เป็นอาวุธเทพธาตุไม้ ก็จะต้องชอบข้าอย่างแน่นอน หมายความว่า ข้ามีโอกาสเลื่อนจากระดับพันธนาการเป็นผู้ถืออาวุธถึงสิบส่วน! ต่อให้เป็นบ้านเก่า คนที่มีคุณสมบัติอย่างข้าก็มีไม่มากเช่นกัน”

ลู่เซิ่งยังคงไม่หวั่นไหว เมื่อมาถึงระดับของเขา ผู้ถืออาวุธเพียงปกป้องตัวเองได้เท่านั้น หากคิดจะรักษากิจการ อย่างน้อยต้องเป็นอริยะเจ้า

เขามองเด็กสาวด้านล่าง การจะสำเร็จเป็นอริยะเจ้าจำเป็นต้องมีจิตวิญญาณและความตั้งใจที่แข็งแกร่งแน่วแน่ ต้องทำถึงขั้นหลอกลวงโลกรวมถึงก้าวก่ายความเป็นจริงได้

เขาพลันนึกขึ้นได้ว่า ร่างวิญญาณไม้มีข้อดีที่ร่างวิญญาณร่างอื่นสู้ไม่ได้ นั่นก็คือหากกลายเป็นผู้ถืออาวุธและได้ครอบครองอาวุธเทพธาตุไม้เมื่อไหร่ อายุขัยของคุณสมบัติร่างชนิดนี้จะยาวนานถึงหลายพันปีทันที ถึงขั้นที่อายุยืนกว่าอริยะเจ้าเสียอีก

ถือว่าเป็นหมากสำรองก็แล้วกัน

หลังจากใคร่ครวญเสร็จ ในที่สุดลู่เซิ่งก็พยักหน้าช้าๆ

“ข้าจะทดสอบเจ้าระยะหนึ่ง ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบของข้าได้ อย่างนั้นข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ถ้าหากเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็เป็นอันจบ”

ใบหน้าของมู่เจวี๋ยชิ่งพลันฉายแววยินดีและแดงเรื่อ นางโค้งตัวให้มู่ชิงเย่น้อยๆ คล้ายกับเป็นการขอบคุณ จากนั้นก็จูงมือลูกผู้พี่ก้าวขึ้นด้านหน้า

“ท่านวางใจ ตั้งแต่เด็กจนโต ยังไม่เคยมีเรื่องใดที่สร้างความลำบากให้ข้าได้มาก่อน” นางแสดงสีหน้ามั่นอกมั่นใจ

“หวังว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นเรื่องจริง” ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับมองเด็กน้อยผู้นี้อย่างขบขัน

“อย่างนั้นข้าน้อยขอตัวแล้ว” มู่ชิงเย่ปล่อยเมล็ดดูดซับวิญญาณในมือออกไปเบาๆ ให้มันลอยไปถึงตรงหน้าลู่เซิ่ง

“เจ้าสำนักลู่ ที่จริงเรื่องนี้เป็นชิ่งเอ๋อร์แอบมาขอให้ข้าพานางมา ถ้าหากว่าไม่ผ่านการทดสอบ…” มู่ชิงเย่แสดงสีหน้าจนใจก่อนจะจากไป

“นี่ๆ พูดมากไปแล้วนะ!” มู่เจวี๋ยชิ่งรีบกระโดดไปปิดปากมู่ชิงเย่ไว้ แต่น่าเสียดายที่ช้าไปแล้ว

แผนที่ตระกูลวางไว้ให้นางในตอนแรกก็คือ ให้ไปสถานที่ใกล้ๆ ราชธานีอินตูเพื่อกราบอริยะเจ้าระดับสูงสุดคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลมู่เป็นอาจารย์ คนผู้นั้นเป็นอาจารย์มีเมตตาที่โด่งดัง สั่งสอนยอดฝีมือระดับอริยะเจ้าได้ถึงสองคน แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดมู่เจวี๋ยชิ่งจึงดื้อด้านนัก จะมาสำนักมารกำเนิดเพื่อกราบลู่เซิ่งที่เพิ่งจะผงาดขึ้นมาเป็นอาจารย์ให้ได้ คนในบ้านจะเตือนอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง

หลังจากอาละวาดเสร็จ มู่เจวี๋ยชิ่งก็ออกจากบ้านอย่างหงุดหงิด แล้วขอให้มู่ชิงเย่ที่สนิทสนมกับตนที่สุดพามาเขตจันทราสารทพร้อมมู่เชวียหนิง

ร่างวิญญาณไม้เป็นคุณสมบัติร่างวิญญาณอันแข็งแกร่งดั้งเดิม ซึ่งเป็นคนละชนิดกับร่างจันทราทมิฬที่ลู่เซิ่งถูกเข้าใจผิด เพียงอ่อนแอกว่าร่างจันทราทมิฬขั้นหนึ่ง ถ้าหากภายหลังคนที่ครอบครองคุณสมบัตินี้เลื่อนถึงระดับปฐพีกำเนิด ก็สามารถสำเร็จจากปฐพีกำเนิดเป็นผู้ถืออาวุธได้แทบจะร้อยส่วน

ดังนั้นมู่เจวี๋ยชิ่งจึงได้รับความสำคัญในตระกูล ในเมื่อนางต้องการกราบลู่เซิ่งเป็นอาจารย์ให้ได้ ตระกูลมู่ก็ได้แต่ต้องยอม ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมืออริยะเจ้า แม้จะไม่ใช่ระดับเทวปัญญา แต่ว่าสำหรับมู่เจวี๋ยชิ่งแล้ว กลับไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากนัก

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Way of the Devil, Cực Đạo Thiên Ma, Extreme Dao Heavenly Demon, WoD, 极道天魔
Score 9.3
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , ต้นฉบับ: 1213 Chapters (จบแล้ว)
ลู่เซิ่งพนักงานรัฐวิสาหกิจ พบว่าตัวเองมาอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคย กลายเป็นคุณชายร่ำรวยมีเงินทอง แต่ละวันมีกับข้าวสามมื้อ มีสาวใช้อุ่นเตียง เดิมทีเขาคิดจะใช้ชีวิตสบายๆ แบบนี้ไปจนตาย จนกระทั่งว่าที่น้องเขยของเขาตายอย่างลึกลับหลังจากตรวจสอบคดีประหลาด ทั้งยังถูกฆ่าล้างตระกูล!.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset