พูดคุยกับจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอยู่พักใหญ่ แดนความฝันถึงสิ้นสุดลง
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆ
เขามองสองมือของตน รับรู้ได้ถึงพลังเวทอันแข็งแกร่งของตัวเอง
เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ ในชั่วขณะนั้น เขาถึงขั้นที่นึกไปว่าตนไร้พ่ายในใต้หล้านี้แล้ว
แต่เขานึกถึงเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาลขึ้นมา นึกถึงสภาพน่าอนาถของปรมาจารย์ลัญจกรสรวง
จะหลงลำพองไม่ได้!
หานเจวี๋ยเข้าสู่แบบจำลองการทดสอบทันที เตรียมจะดึงสติตัวเองสักเล็กน้อย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
เขาวางมือจากแบบจำลองการทดสอบ
ไม่ไหว ไม่ได้ทำให้เยือกเย็นขึ้นเลย กลับทำให้หลงลำพองยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!
‘เมื่อถึงเวลานั้นจะใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบมิ่งดูก่อนสักเล็กน้อย หากว่าเป็นระดับยอดมหามรรค ข้าค่อยพาลูกชายหนีตรงๆ เสียเลย’
หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ
เขารู้สึกว่ามิ่งน่าจะอยู่ในระดับอริยะมหามรรค มิเช่นนั้นหากต้องการสยบวังสวรรค์ ไยต้องอาศัยการเดิมพันด้วยเล่า?
หานเจวี๋ยปรับอารมณ์ ฝึกบำเพ็ญต่อ
….
ฟ้าบุพกาล ณ วังสวรรค์
ภายในพระราชวังเทียมเมฆา โจวฝานเดินนำเหล่าแม่ทัพนายพลเดินเข้ามา ในบรรดานั้นมีฉินหลิงรวมอยู่ด้วย
หลังจากศึกในครั้งนั้น เขารู้สึกพอใจในตัวฉินหลิงเป็นพิเศษ มักจะให้ติดตามอยู่ข้างกายเสมอ ด้วยความช่วยเหลือของเขา ตบะของฉินหลิงเพิ่มพูนขึ้นเร็วยิ่ง ยามนี้เป็นเซียนทองต้าหลัวแล้ว หากอ้างอิงจากความเร็วในการฝ่าทะลวงก่อนหน้านี้ คาดว่าอีกไม่กี่หมื่นปีก็น่าจะพิสูจน์ครึ่งอริยะได้แล้ว เลิศล้ำอย่างยิ่ง!
เมื่อหานทั่วมองเห็นฉินหลิง เขาพยักหน้าให้นิดๆ
ฉินหลิงก็ทำเช่นเดียวกัน
ความรู้สึกที่ฉินหลิงมีต่อหานทั่วนั้นซับซ้อนอย่างยิ่ง อาจารย์ปู่หานอวี้คาดหวังให้เขาเหนือกว่าหานทั่ว เดิมทีเขาคิดว่าหานทั่วเป็นคนชั่วร้าย ไม่นึกเลยว่าหานทั่วจะคอยดูแลเขาเป็นพิเศษ ทำให้เขารู้สึกขัดแย้งยิ่งนัก
แน่นอน หากว่ากันในแง่คุณสมบัติแล้ว ฉินหลิงรู้สึกว่าตนไม่ด้อยไปกว่าหานทั่วเลย!
เขายังคงพยายามจะทำความหวังของอาจารย์ปู่หานอวี้ให้สำเร็จ เหนือกว่าหานทั่วให้ได้!
โจวฝานหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านช่างอยู่นิ่งไม่เป็นเลยจริงๆ เพิ่งจบศึกเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งมา ก็ตีกับมิ่งต่อเลยหรือ เดิมพันการต่อสู้ของพวกท่านเรียกได้ว่าแพร่กระจายไปทั่วฟ้าบุพกาลแล้ว”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้าก่อนเอ่ยว่า “หาใช่เราที่ก่อเรื่องไม่ เป็นมิ่งที่มาท้าทายก่อน คาดว่าคงเป็นเขาเช่นกันที่แพร่กระจายข่าวลือออกไป”
รอยยิ้มบนใบหน้าโจวฝานเลือนหายไป เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าก็รู้สึกว่าผิดปกติเช่นกัน จึงพาเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่มาด้วย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ข้าล้วนจะสนับสนุนท่าน!”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายลุกขึ้นมา เดินมาหยุดตรงหน้า ตบไหล่เขาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้รู้ใจของเราจะเคยเป็นทหารสวรรค์ในสังกัดเรามาก่อน”
โจวฝานกลอกตาใส่เขา คนผู้นี้ชมชอบเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าผู้อื่นนัก กดให้โจวฝานอยู่ต่ำกว่าตนเสมอ
“จะว่าก็ว่าเถอะ รอจนเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่ของข้าเผชิญอันตราย วังสวรรค์ของท่านก็ต้องมาเช่นกัน”
“นิสัยของเรา เจ้ายังไม่รู้กระจ่างอีกหรือ จะไม่ให้การสนับสนุนได้อย่างไร”
ทั้งสองสบตากัน เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น
เหล่าเเม่ทัพนายพลของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่และเหล่าเทพเซียนของวังสวรรค์ล้วนเผยรอยยิ้มออกมา
ฟ้าบุพกาลกว้างไกลไร้สิ้นสุด สองกลุ่มอิทธิพลเคยเผชิญศึกร่วมกันมาหลายต่อหลายครั้ง คอยพึ่งพาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ต่างนับถือกันเป็นพี่เป็นน้องแล้ว
โจวฝานเอ่ยว่า “ระยะนี้อาจจะมีผู้ทรงพลังของกลุ่มอิทธิพลมรรคาสวรรค์อื่นๆ มุ่งหน้ามา เมื่อถึงเวลานั้นวังสวรรค์จะปล่อยพวกเขาเข้ามาหรือไม่”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ปล่อยสิ ย่อมปล่อยแน่อยู่แล้ว ผู้ที่ถูกคุกคามมิได้มีเพียงวังสวรรค์ หากมีชัย วังสวรรค์ของเราจะมีชื่อเสียงเลื่องลือ หากว่าพ่าย จะทำให้กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ รู้สึกสะท้านไปด้วย”
โจวฝานพยักหน้ารับ ลอบสะท้อนใจอยู่ภายใน
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสิถึงจะเป็นผู้กระทำการใหญ่อย่างแท้จริง ตัวเขาโจวฝานถึงแม้จะก่อตั้งกลุ่มอิทธิพลขึ้น แต่กลับเหมือนราชาตราตั้งเท่านั้น ไม่ได้มีรัศมีเยี่ยงจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย และยิ่งไม่สันทัดการวางแผนเหมือนเขา
หากเขาเป็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย คงกังวลว่ากลุ่มอิทธิพลอื่นจะมาสร้างปัญหาซ้ำเติม
เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญของเจดีย์มรรคายิ่งใหญ่จึงพักอยู่ที่วังสวรรค์
โจวฝานดึงตัวหานทั่ว ฉู่ซื่อเหรินและฉินหลิงไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ใช้คำกล่าวอ้างสวยหรูว่าเป็นการรวมตัวของศิษย์ร่วมสำนัก
เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง มีกลุ่มอิทธิพลทยอยมาเยี่ยมเยือน จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ปล่อยพวกเขาเข้ามาในวังสวรรค์ ใจกว้างผ่าเผยยิ่ง
บางคนลอบถากถางจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายว่าโง่เขลา วู่วาม บางคนเลื่อมใสในความกล้าหาญและนิสัยของเขา ทัศนคติแตกต่างกันไป
แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขามีเพียงข้อเดียวเท่านั้น
พวกเขาอยากทราบถึงพลังของมิ่ง!
ณ ส่วนหลังของพระราชวังเทียมเมฆา ภายในศาลาศิลาลอยฟ้าแห่งหนึ่ง จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและนักพรตเต๋าชราคนหนึ่งกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่
เป็นโพธิสัตว์เจียอิ๋นแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม
ผู้ก่อตั้งสำนักพุทธแห่งมรรคาสวรรค์
โพธิสัตว์เจียอิ๋นกล่าวด้วยความสะท้อนใจ “ไม่นึกเลยว่าเด็กน้อยในวันนั้นยามนี้จะบุกเบิกสร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วฟ้าบุพกาล”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เราเพียงทะเลาะต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ตบะของตนนั้นกลับไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย”
โพธิสัตว์เจียอิ๋นเอ่ยถาม “บิดาเจ้าสบายดีหรือไม่”
เมื่อจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายได้ฟังแววตาพลันเย็นเยียบ แต่ก็เก็บงำไว้อย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีอันใดให้ดีหรือไม่ดีกันเล่า กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลแล้ว สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ก็นับว่ามีโชคเทียมฟ้าแล้ว”
“ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะกลายเป็นสิ่งอัปมงคล กลายเป็นนายแห่งเหล่าสิ่งอัปมงคลอีกด้วย” โพธิสัตว์เจียอิ๋นรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
“นึกถึงอดีตปีนั้น บิดาเจ้าคือบุตรแห่งสวรรค์ที่เลิศล้ำที่สุดของเผ่ามังกรแท้ ชื่อเสียงของเขาแว่วมาถึงแดนเทพหวนปัจฉิมเช่นกัน จนใจที่บังเอิญประสบเคราะห์ในแดนต้องห้ามอันธการ…”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยว่า “หากเขาไม่กลายเป็นสิ่งอัปมงคล เราคงไม่รอดพ้นจากการถูกสิ่งอัปมงคลยึดร่าง แล้วไปเถิด ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้อาวุโส มิ่งมาครานี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ล้วนต้องหาทางหน่วงเหนี่ยวกักตัวเขาไว้”
โพธิสัตว์เจียอิ๋นหรี่ตาพลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด เราได้หารือกับเทพสูงสุดหยวนสื่อ เจ้าแม่หนี่ว์วา ฝูซีเทียน รวมถึงสิบสองบรรพชนเผ่าจอมเวทแล้ว มิ่งช่างจองหองเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ก็คุกคามพวกเราเช่นกัน”
วังสวรรค์ไม่ใช่แห่งแรกที่ถูกคุกคาม ถึงอย่างไรเหล่าอริยะมหามรรคแห่งแดนเทพหวนปัจฉิม ต่างก็เผชิญกับการท้าทายจากมิ่งอย่างต่อเนื่องโนเวลกูดอทคฺอม
จักรพรรดิสวรรค์เอ่ยอย่างใช้ความคิด “ผู้อาวุโส ท่านว่ามิ่งทำเช่นนี้ด้วยสาเหตุใด ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไร ล้วนรู้สึกว่าการกระทำนี้เสมือนหาความตายใส่ตัว หากเขาโจมตีตรงๆ ยังพอว่า เขาไล่ท้าทายกลุ่มอิทธิพลมีชื่อเสียงทั้งหมดในฟ้าบุพกาล ถึงขั้นที่ดูแคลนเทพมารฟ้าบุพกาลด้วย”
โพธิสัตว์เจียอิ๋นเอ่ยว่า “หากว่ากันในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะได้รับผลดีอันใด เช่นนั้นเหตุผลก็มีอยู่เพียงข้อเดียวแล้ว เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หาได้ต่อสู้เพื่อตนเองไม่”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายขมวดคิ้วแน่น
ตัวหมากอย่างนั้นหรือ
….
สามพันปีผ่านไป
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
ไม่รู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะใช้วิชาอัญเชิญเทพตอนใด สำหรับศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง เขารู้สึกประหม่ายิ่งนัก ทั้งยังตื่นเต้นและกังวลเล็กน้อย
ตอนที่มาเข้าฝันก่อนหน้านี้ เขาได้ถ่ายทอดวิชาอัญเชิญเทพให้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เมื่อถึงเวลาจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจะเรียกหาเขา
หานเจวี๋ยสงบใจฝึกบำเพ็ญต่อไม่ได้ จึงเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ
เขาตั้งค่าให้ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงหนึ่งร้อยคนเข้าโจมตีตนพร้อมกัน อยากเห็นว่าตนจะเอาชนะได้หรือไม่
ต่อให้มิ่งแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ยังต้องสู้กับอริยะมหามรรคแบบตัวต่อตัว แต่จะกล้าเผชิญหน้ากับการปิดล้อมโจมตีของอริยะมหามรรคหนึ่งร้อยคนหรือไม่
จากนั้น…
หานเจวี๋ยเผชิญกับการรุมสังหารอย่างน่าอนาถ
ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงหนึ่งร้อยคนลงมือพร้อมกัน ความแข็งแกร่งเกินเรื่องราวไปมากจริงๆ
แต่นั่นก็ยิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขา
ด้วยเหตุนี้ หานเจวี๋ยจึงรอคอยการเข้าฝันจากจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลางหมกตัวอยู่ในแบบจำลองการทดสอบไปด้วย
และในเวลาเดียวกันนี้
ภายในมิติลึกลับ หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้าที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่ในสระน้ำพลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน
มองเห็นหมอกแสงผืนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา ภายในลำแสงปรากฏฉากสถานการณ์ของวังสวรรค์
“ข้าจะสยบวังสวรรค์ และถือโอกาสทำให้พวกเจ้าได้เห็นว่าพลังแห่งอันธการแข็งแกร่งมากแค่ไหน!”
เสียงของมิ่งดังขึ้นมา น้ำเสียงสะท้อนเลื่อนลอย ไม่สามารถสืบสาวไปถึงตัวจริงได้
หลี่เต้าคงฟังแล้วขมวดคิ้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างวังสวรรค์และสำนักซ่อนเร้น เขารู้ดีที่สุด อีกทั้งไมตรีส่วนตัวที่เขามีต่อจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็ดียิ่ง
จู่ๆ สือตู๋เต้าก็ถามขึ้นมาว่า “เอาแต่เอ่ยถึงพลังแห่งอันธการอยู่ตลอด นอกจากมิ่งอย่างพวกเจ้าแล้ว อันธการยังมีกลุ่มอิทธิพลด้วยใช่หรือไม่”