📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 453

บทที่ 453 - สารภาพต่อกลุ่มสนทนาพรรคฟ้าดิน
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ข้ามิใช่คนโง่งม…สวี่ชีอันยิ้มอย่างขมขื่น “หลังจากกลับมาจากเจี้ยนโจว ข้าได้พิสูจน์ตัวตนของจินเหลียนแล้ว แต่ก่อนอื่นข้ามีข้อสงสัย”

จงหลีบอกกับเขาว่าดวงวิญญาณของนักบวชเต๋าจินเหลียนนั้นขาดหาย เช่นเดียวกับฝูเซียง

ผลที่ตามมาของดวงวิญญาณที่เว้าแหว่งนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลายเป็นคนโง่สองคน หรือไม่ก็นอนเป็นผัก

นักบวชเต๋าจินเหลียนถือกำเนิดมาในลัทธิเต๋านิกายปฐพี จิตเดิมเป็นศาสตร์ที่ลัทธิเต๋าเชี่ยวชาญ ดังนั้นดวงวิญญาณขาดหายจึงไม่ได้มีความหมายอันใดสำหรับเขา และอาจเป็นไปได้ว่าจิตเดิมอีกครึ่งหนึ่งนั้นสูญหายไปโดยไม่เจตนา

แต่เมื่อเขาร่วมมือกับหลี่เมี่ยวเจิน เขาเกิดความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีการของลัทธิเต๋า หลี่เมี่ยวเจินช่วยเขารวบรวมจิตเดิม และจงหลีก็ช่วยประกอบจิตเดิมเข้าด้วยกัน

ตบะของนักบวชเต๋าจินเหลียนนั้นแข็งแกร่งกว่าหลี่เมี่ยวเจิน หาได้อ่อนแอกว่านางไม่ เหตุใดเขาถึงไม่รวบรวมจิตเดิมของตนเองเล่า

เช่นนั้นจิตเดิมอีกครั้งหนึ่งที่ไม่อาจรวบรวมมาได้นั้นหายไปอยู่ที่ใด

นี่เป็นข้อสงสัยอย่างหนึ่ง

ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมาย เช่นชิ้นส่วนหนังสือปฐพี หรือรากบัวเก้าสี นักพรตนิกายปฐพีผู้หนึ่งที่ไปไม่ถึงขั้นสาม และผู้นำเต๋าขั้นสองที่สามารถช่วงชิงรากบัวเก้าสีไปได้…

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อสงสัยประการหนึ่ง ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าจินเหลียนคือผู้นำเต๋านิกายปฐพี

จนกระทั่งเขาไปที่เจี้ยนโจว และได้เห็นภาพนักบวชเต๋าจินเหลียนหลอมรวมจิตเดิมกับผู้นำเต๋านิกายปฐพี แม้ว่าไป๋เหลียนคนงามจะบอกว่าวิธีที่นักบวชเต๋าจินเหลียนใช้เป็นเคล็ดวิชาลับแห่งนิกายปฐพีก็ตาม

แต่สวี่ชีอันก็ไขข้องสงสัยทั้งหมดจนกระจ่างในวินาทีนั้นเอง

อย่าว่าแต่ข้าเลย ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี นอกจากลี่น่าแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการต่อสู้ปกป้องเมล็ดบัวที่เจี้ยนโจวก็คงจะตั้งข้อสงสัยตื้นบ้างลึกบ้างไม่ต่างกัน…สวี่ชีอันจ้องมองลั่วอวี้เหิงผู้มีใบหน้างามลออ ทว่าดวงตาคู่สวยเย็นชาดั่งกระจก

“ท่านราชครู ท่านทราบเรื่องที่นักบวชเต๋าจินเหลียนตกสู่ทางมารตั้งแต่เมื่อใด”

ลั่วอวี้เหิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้น

“เมื่อหกปีที่แล้ว จินเหลียนล้มเหลวในการทะลวงด่าน ก่อนที่จะตกสู่ทางมารเขาแบ่งจิตวิญญาณออกเป็นสองส่วน จิตฝ่ายธรรมถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี คอยปกป้องลูกศิษย์ส่วนหนึ่งให้หลบหนีไป ส่วนจิตฝ่ายอธรรมแผ่อิทธิพลต่อลูกศิษย์ส่วนใหญ่ในนิกาย ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นพรรคฟ้าดินและนิกายปฐพีในปัจจุบัน

“ในตอนนั้น จิตฝ่ายธรรมของจินเหลียนได้เข้ามายังเมืองหลวงอย่างลับๆ และมาเยือนอารามรัตนะเพื่อขอความช่วยเหลือจากข้า เวลานั้นข้าเพิ่งจะเลื่อนขั้นมาถึงขั้นสองได้ไม่นาน รากฐานยังไม่มั่นคง ยิ่งไปกว่านั้นนิกายปฐพีที่ปลูกฝังเรื่องบุญกุศล เมื่อตกสู่ทางมาร ก็กลับกลายเป็นผู้ที่ชั่วช้าที่สุดในโลก วิธีการฝึกบำเพ็ญของนิกายมนุษย์ คือปล่อยให้ไฟแห่งกรรมผลาญกาย เดิมทีก็ไม่ต่างจากการยืนอยู่บนขอบผาอยู่แล้ว หากถูกนิกายปฐพีป้ายมลทินอีก ย่อมจบลงด้วยตัวตายเต๋าสลายเท่านั้น”

เมื่อหกปีที่แล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนมาถึงเมืองหลวง เอ่อ ดังนั้นฮว๋ายชิ่งจึงได้รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีจากนักบวชเต๋า และได้กลายมาเป็นสมาชิกพรรคฟ้าดินในเวลานั้นสินะ

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก สวี่ชีอันปะติดปะต่อเรื่องอย่างไม่รู้ตัว ในใจเต้นตึกตัก “เช่นนั้น นักบวชเต๋าจินเหลียนได้รับช่วยเหลือนิกายสวรรค์หรือไม่”

ลั่วอวี้เหิงแค่นยิ้มกล่าว “นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไร”

เช่นนั้นก็คาดเดาเอาว่าหลี่เมี่ยวเจินเองก็ได้รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน แต่นางก็คงไม่รู้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนคือผู้นำเต๋านิกายปฐพี และท่านอาจารย์ของนางก็ไม่เคยบอกนางด้วย

“นิกายสวรรค์เห็นด้วยหรือ”

“นิกายสวรรค์ปลูกฝังให้ละทิ้งอารมณ์ ลูกศิษย์อย่างเมี่ยวเจิน นับว่าเป็นศิษย์นอกคอก” นางพูดเรียบๆ

สวี่ชีอันเข้าใจแล้วว่าผู้นำเต๋านิกายสวรรค์ไม่เห็นด้วยกับการออกหน้าช่วยเหลือ ลั่วอวี้เหิงหวาดกลัวความเสื่อมทรามของนิกายปฐพี ส่วนผู้นำเต๋านิกายสวรรค์เอาแต่บอกว่า ‘ข้าละแล้วซึ่งความรู้สึกทั้งปวง ข้าไม่สนใจ’

ตกสู่ทางมารเมื่อหกปีก่อน ต่างจากที่ข้าคาดเดาไว้…

ลั่วอวี้เหิงปรายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เดาผิดหรือ”

สวี่ชีอันพยักหน้า ก่อนจะส่ายหัวอีกครั้งและพูดว่า “ท่านราชครู ก่อนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนจะตกสู่ทางมาร มีอะไรผิดสังเกตบ้างหรือไม่ขอรับ นิกายปฐพีตกสู่ทางมารนั้นเป็นไปอย่างกะทันหัน หรือค่อยเป็นค่อยไป”

ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ย

“เท่าที่ข้ารู้ ตอนนั้นจินเหลียนปลีกวิเวกเพื่อหนีเคราะห์กรรม และปลีกวิเวกนานกว่าสามสิบปี ส่วนการตกสู่ทางมารนั้น แม้ข้าไม่ได้ฝึกบำเพ็ญบุญกุศลของนิกายปฐพี แต่ก็รู้ดีว่าเขื่อนพันลี้พังทลายได้ด้วยรังมด สรรพสิ่งไม่อาจตัดขาดจากสัจธรรมข้อนี้ การตกสู่ทางมารไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน”

ตึก ตึก ตึก!

สวี่ชีอันได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งสองสามครั้ง เขากลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ข้าพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ท่านราชครู ช่วยฟังสิ่งที่ข้าจะพูดทีนะขอรับ…”

เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้าสงสัยว่าสิ่งที่ไหวอ๋องและหยวนจิ่งเจอในหนานย่วน แท้จริงแล้วไม่ใช่หมี แต่เป็นผู้นำเต๋านิกายปฐพี ในเวลานั้นเขาเริ่มมีวี่แววของการตกสู่ทางมาร บางทีอาจเป็นเพราะไม่อาจซุกซ่อนความกระหายเลือดไว้ได้ หรือไม่ก็เพื่อเซ่นสังเวยแก่สิ่งชั่วร้าย จึงเลือกที่จะอยู่ในหนานย่วน และฆ่าสัตว์ธรรมดาแทน เนื่องจากในเมืองหลวงมีท่านโหราจารย์และยอดฝีมือนับไม่ถ้วน เขาจึงไม่สามารถเข่นฆ่าผู้คนในเมืองหลวงได้

“เช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าเหตุใด ฤดูใบไม้ร่วง รัชศกเจินเต๋อที่ยี่สิบหก สัตว์ป่ารอบเขตหนานย่วนจึงสาญสูญไปเกือบหมด ในเวลานั้นไหวอ๋องและหยวนจิ่งเข้าไปล่าสัตว์ในหนานย่วน และบังเอิญพบกับนักบวชเต๋าจินเหลียนที่ตกสู่ทางมาร ส่วนทหารรักษาพระองค์ที่ตายไปทั้งหมด หึ หมีตัวเดียวจะสังหารยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนั้นได้อย่างไร แต่หากเป็นนักบวชเต๋าจินเหลียนก็ว่าไปอย่าง ไม่ว่าจะมีทหารรักษาพระองค์สักกี่คน ก็ต้องตายตกสถานเดียว

“เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่า ผู้นำเต๋านิกายปฐพีปลีกวิเวกเป็นเวลาสามสิบปี และทะลวงด่านล้มเหลว จึงตกสู่ทางมาร เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ก็เกือบจะตรงกับช่วงเวลาที่เขาไปจากเมืองหลวงพอดี เวลาใกล้เคียงกันมากทีเดียว กล่าวคือ ช่วงที่เขาอยู่ในเมืองหลวง มีปรากฏวี่แววของการตกสู่ทางมารอยู่แล้ว”

ยิ่งฟัง สีหน้าของลั่วอวี้เหิงก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้นเท่านั้น นางพยักหน้าและกล่าว “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดจินเหลียนถึงไม่สังหารหยวนจิ่งและไหวอ๋องเสียเล่า”

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัว

“เขาต้องมีจุดประสงค์แน่ เพียงแต่เบาะแสที่มีอยู่ตอนนี้ยังสาวไปไม่ถึงจุดประงสงค์ที่ว่า ดังนั้นข้าจึงคาดเดาไม่ได้ ในความเห็นของข้า ข้าคิดว่าพวกเขาถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนทำให้แปดเปื้อนแล้ว”

ตอนอยู่ที่ฉู่โจว เขาได้ประมือกับร่างแยกของผู้นำเต๋านิกายปฐพี ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดคือเจตนาที่จะป้ายมลทินของอีกฝ่าย ราวกับจะทำให้สรรพสิ่งบนโลกเสื่อมสลายไปด้วยกัน

แม้แต่ดาบสยบดินแดนยังถูกปนเปื้อน และสูญเสียจิตวิญญาณไปกว่าหนึ่งเค่อ

เช่นนั้น หยวนจิ่งและไหวอ๋องผู้แปดเปื้อนก็ลงล็อก เป็นคำอธิบายที่ดีที่สุด

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่จินตนาการเลื่อนลอย แต่มาจากการอนุมานที่สมเหตุสมผลจากเบาะแสที่มีอยู่ของสวี่ชีอัน

“เช่นนั้นก็อธิบายได้ถึงความเห็นแก่ตัวไร้ปรานีของไหวอ๋อง และการไขว่คว้าชีวิตที่ยืนยาวจนไร้เหตุผลของจักรพรรดิหยวนจิ่งได้ แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะดูเหมือนคนปกติ แต่ความจริงแล้วพวกเขากึ่งๆ วิปลาสมาเนิ่นนาน เช่นเดียวกับนักพรตนิกายปฐพี”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ลั่วอวี้เหิงก็ตั้งคำถาม “แล้วกลุ่มค้ามนุษย์มันเรื่องอะไรกันล่ะ ไหนจะความผิดปกติใต้ชีพจรมังกรอีก”

เรื่องนี้…สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ เขายังไม่อาจหาข้ออนุมานที่เข้าเค้าได้

หลังจากพิจารณาครู่ เขาก็พูดขึ้นว่า “การที่ผู้นำเต๋านิกายปฐพีทำให้หยวนจิ่งและไหวอ๋องแปดเปื้อนนั้น ข้าเกรงว่าน่าจะมีจุดประสงค์อื่นอยู่ แต่เรื่องราวภายในนั้น เขาไม่อาจคาดเดาได้ เนื่องจากยังขาดเงื่อนงำ”

ทว่าลั่วอวี้เหิงเผยสีหน้าราวกับนึกอะไรขึ้นได้กระทันหัน ก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

สวี่ชีอันตั้งใจฟัง

“ผู้นำเต๋านิกายปฐพีเชี่ยวชาญในวิชาแปลงเอกปราณเป็นไตรวิสุทธิเทพ จินเหลียนและผู้นำเต๋านิกายปฐพีปัจจุบัน คือสองดวงจิต ฝ่ายธรรมและฝ่ายอธรรม หากเขาเคยแปลงเอกปราณเป็นไตรวิสุทธิเทพแล้วละก็ ร่างสุดท้ายหายไปอยู่ที่ใด” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยถาม

ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ สวี่ชีอันโพล่งขึ้นมาทันที “อยู่ในชีพจรมังกรใต้ดิน?”

“เจ้าคิดเหมือนกับข้า” ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และกล่าว

“หยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมมานานนับยี่สิบปี ผลาญทรัพยากรของคนทั้งแผ่นดินเกือบหมด แต่จนถึงวันนี้ก็ยังหลอมแก่นปราณออกมาไม่ได้สักที ช่างชวนให้สับสนจริงๆ แน่นอนว่าการบำเพ็ญธรรมไม่ได้มองเพียงทรัพยากรเท่านั้น ความสามารถก็สำคัญมากเช่นกัน แต่ก่อนข้าเคยคิดว่าพรสวรรคของเขาไม่ดี แต่หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย หากเบื้องของเขามีร่างอวตารอีกร่างของจินเหลียนอยู่ ก็สมเหตุสมผลขึ้นมากทีเดียว ยาอายุวัฒนะเหล่านั้น เกินกว่าครึ่งย่อมตกไปอยู่ในท้องของจินเหลียนด้วย

“เป็นไปได้มากว่าที่เขาทำให้ไหวอ๋องและหยวนจิ่งแปดเปื้อนก็เพื่อตบะ เพื่อปูทางให้เขาทะลวงไปสู่ขั้นหนึ่ง รอคอยให้ทั้งสามคนรวมเป็นหนึ่งเดียวในภายภาคหน้า และทะลวงระดับกลายเป็นเซียนครองพิภพในคราวเดียว

“แน่นอนว่าหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าใต้ชีพจรมังกรมีร่างอวตารซ่อนตัวอยู่ แต่พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้อมูลที่เจ้าให้มาคราวก่อน มันน้อยเกินกว่าจะพิสูจน์อะไรได้ แต่อีกประเดี๋ยว ข้าจะส่งร่างแปลงไปสำรวจชีพจรมังกรกับเจ้า เพื่อเป็นการยืนยัน

“อ้อ ถ้าใต้ชีพจรมังกรมีร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพี ถ้าหยวนจิ่งถูกผู้นำเต๋านิกายปฐพีปนเปื้อนจริงๆ ละก็ ข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการแยกทางกับหยวนจิ่งอีกต่อไป”

อีกอย่าง เจ้าเองก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้นำเต๋านิกายปฐพีด้วย เพราะว่าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป ท่านโหราจารย์ย่อมไม่อาจนิ่งดูดายได้…จงหลีเคยบอกว่า ชีพจรมังกรเป็นสิ่งที่ท่านโหราจารย์ไม่อาจควบคุมได้โดยง่าย หากมันซ่อนตัวอยู่ในชีพจรมังกรจริงๆ ก็สามารถรอดพ้นจากสายตาของท่านโหราจารย์ไปได้…ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยด้วยเสียงกระซิบต่ำ

“ท่านราชครู หากหยวนจิ่งแปดเปื้อนมลทินและถูกควบคุมโดยผู้นำเต๋านิกายปฐพี เช่นนั้นเขาก็ก่อกวนการบำเพ็ญคู่ของท่านมาโดยตลอด เรื่องนี้มีคำอธิบายที่เข้าท่าบ้างหรือไม่”

เต๋ามารนิกายปฐพีในสมองเต็มไปด้วยความคิดเลวทรามต่ออิสตรี ตอนที่อยู่ในเจี้ยนโจว เขามีประสบการณ์ลึกซึ้งมากับตัว

ไม่ใช่เพราะเต๋ามารนิกายปฐพีเป็นพวกเฒ่าตัณหากลับ แต่เพราะกมลสันดานของผู้ชายทุกคนคือเฒ่าตัณหากลับ ใช้ความชั่วช้านำทางชีวิต

สวี่ชีอันไม่เคยพิจารณาความเป็นไปได้ที่ว่าหยวนจิ่งจะเป็นร่างอวตารของผู้นำเต๋านิกายปฐพีเสียเอง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ หยวนจิ่งเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน เกิดมาพร้อมโชคชะตา จึงทำได้เพียงชักจูง ป้ายมลทินเท่านั้น ไม่อาจขึ้นมาแทนที่

นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่ง การเพิ่มพูนโชคชะตาไม่ใช่เรื่องที่ดี บรรพชนแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เจี้ยนโจวท่านนั้น ก็ไม่ปรารถนาที่จะเพิ่มพูนโชคชะตาเช่นกัน เพราะเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกห้าร้อยปีโuเวฺลกูดoทคอม

ลั่วอวี้เหิงคล้ายจะแสลงหูกับคำว่า ‘บำเพ็ญคู่’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันออกมาจากปากของสวี่ชีอัน นางเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ

“อีกครึ่งเดือน เราเข้าไปสำรวจในชีพจรมังกรกันเถิด”

“เหตุใดต้องรอถึงครึ่งเดือนด้วย”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว ครึ่งเดือนนานเกินไป

ลั่วอวี้เหิงมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แต่เลือกที่จะสงบใจ และตอบ “ช่วงนี้ ข้าต้องเผชิญไฟแห่งกรรมผลาญกายอีกครา”

ภายในครึ่งเดือน ท่านต้องประสบกับไฟแห่งกรรมผลาญกายหรือ ได้โปรดให้ข้าช่วยดับไฟแห่งกรรมแทนท่านเถิด…แม้ในใจของสวี่ชีอันจะพวกปากมอม แต่ภายนอกเขาก็ยังคงภาพลักษณ์สุภาพชนไว้ เขาพยักหน้าและกล่าว

“ตกลง ข้าจะติดต่อไปเมื่อท่านหายดี”

ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะแปลงเป็นแสงสีทองและสลายไป

หลังจากผ่านไปประมาณสิบวินาที ประตูห้องก็ถูกผลักออกเบาๆ ศีรษะของจงหลีโผล่ออกมาจากช่องประตูที่แง้มออก นางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างเงียบเชียบ

“ไปแล้ว”

สวี่ชีอันกล่าว

ทันทีที่สิ้นเสียง ดาบไท่ผิงก็พุ่งทะยานเข้ามาทันใด มันกระแทกเข้ากับบานประตูดังปัง พยายามจะปิดบานประตูลง

“แค่ก…”

เสียงแหบแห้งดังมาจากลำคอของจงหลี นางหายใจไม่ออกราวกับถูกแขวนคอ จึงค่อยๆ ร่วงลงมากองกับพื้นอย่างช้าๆ

ไหนบอกว่ามีประสบการณ์มามาก ปกป้องตัวเองได้ไง แล้วไหงศาสดาพยากรณ์ผู้ช่ำชองถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้เล่า…สวี่ชีอันเรียกดาบไท่ผิงกลับมาด้วยความโมโห เอ่ยถามว่าเหตุใดถึงได้รังแกจงหลี

ดาบไท่ผิงสั่นเทา และส่งกระแสจิตบอกว่า ‘ข้าคิดว่าน่าจะสนุกดี’

การสำรวจชีพจรมังกรจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งเดือนให้หลัง ถึงตอนนั้นความจริงทั้งหมดก็จะถูกเปิดเผย…และข้าก็จะสามารถสารภาพกับฮว๋ายชิ่งและคนอื่นๆ ได้เสียที สวี่ชีอันคิดในใจ และมองไปทางจงหลี พร้อมกล่าว

“ข้าจะไปหาพี่ไฉ่เวยที่สำนักโหราจารย์”

เขาวางแผนจะให้ฉู่ไฉ่เวยไปพบฮว๋ายชิ่ง และนัดแนะให้มาพบกันที่จวนสกุลสวี่อย่างลับๆ หยุดพูดคุยกันผ่านชิ้นส่วนหนังสือปฐพี

เนื่องจากเรื่องราวที่ดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาไม่มั่นใจว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นชาวบ้านหรือหมาป่ากันแน่ เมื่อคืนที่ขอนัดพบกับฮว๋ายชิ่ง ก็เป็นเพราะความกังวลดังกล่าว แต่ฮว๋ายชิ่งปฏิเสธที่จะนัดเจอเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต

แน่นอนว่าเขาจะขอให้ฉู่ไฉ่เวยช่วยนัดพบกับฮว๋ายชิ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือเขาจะไม่พูดมากเป็นอันขาด

ดินแดนประจิมทิศ

ท้องฟ้าในดินแดนประจิมทิศเป็นสีฟ้าครามใส ไร้เมฆ ผืนดินส่วนใหญ่เป็นที่ราบอันแห้งแล้ง ขาดต้นไม้ใบไม้เขียวชอุ่มและยอดเขาเขียวขจี ทำให้ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนดินและท้องฟ้าอันเวิ้งว้าง

ภูเขาอาหลานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับสำนักพุทธ มันเป็นแกนหลักของอาณาจักรพุทธหลายแห่งในดินแดนประจิมทิศ และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของผู้นับถือศาสนาพุทธหลายพันคน

บนภูเขาลูกนี้เองที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม บรรลุพุทธภาวะ และสร้างศาสนาพุทธขึ้น

อารามพุทธตั้งบนเขาอาหลานหลายพันแห่ง ล้อมรอบพระราชวังต้าหมิงบนยอดเขา บางครั้งก็จะมีเสียงสวดเป็นภาษาสันสกฤตดังแว่วมาจากทางภูเขา เสียงก้องกังวาน ลุ่มลึก

ในฐานะกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจิ่วโจว สำหรับนักพรตสายหลักนั้น ภูเขาอาหลานเป็นดั่งดินแดนต้องห้ามของพวกเขา ขณะที่ในสายตาของสำนักพุทธ ภูเขาอาหลานเป็นดั่งที่แสวงบุญ

บริเวณพื้นที่ราบ สามารถมองเห็นผู้คนจากดินแดนประจิมทิศได้เป็นครั้งคราว พวกเขามีผิวสีเข้ม สวมเสื้อผ้าเรียบง่าย มีผ้าซับเหงื่อพาดบ่า เดินไปข้างหน้าเก้าก้าวก็หยุดก้มคำนับ มุ่งตรงไปยังสถานที่ศักดิ์อันเป็นหมุดหมายปลายทาง

โหรชุดขาวผู้มีใบหน้าพร่ามัว และตัวตนเลือนรางไม่ต่างกัน ยืนอยู่ใต้ร่มไม้แห่งหนึ่ง มองดูภูเขาอาหลานจากที่ไกลๆ

“เจ้ามาทำอะไรที่เขาอาหลาน”

เสียงที่นุ่มนวลเสนาะหูดังขึ้น เป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดของหญิงสาวผู้หนึ่ง

พระโพธิสัตว์อาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าโหรชุดขาว กระโปรงของนางเป็นพลิ้วไสว ระบายเป็นชั้นๆ ลากไปกับพื้น นางมิได้โกนผมเช่นภิกษุสำนักพุทธ เรือนผมดำขลับปลิวไสวไปตามสายลม

นางมีลักษณะเฉพาะของชาวดินแดนประจิมทิศ เครื่องหน้าชัด ดวงตาเป็นสีดุจแก้วพบเจอได้ยาก

นุ่งขาวห่มขาว บุคลิกสบายๆ ไม่ถือตัว ดวงหน้างามล่มเมือง

เท้าเปลือยเปล่า เท้าหยกคู่งามมิได้เปรอะเปื้อนฝุ่นธุลีแม้แต่น้อย

โหรชุดขาวทอดสายตามองเขาอาหลานจากที่ห่างไกล เมินเฉยต่อพระโพธิสัตว์หญิงที่อยู่ใกล้ตัวไปพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “หลังจากพิธีต้าวฮวดที่เมืองหลวง โชคชะตาของดินแดนประจิมทิศก็คลายลง นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย”

นัยน์ตาแก้วของพระโพธิสัตว์หญิงมิได้เจือด้วยอาวรณ์ เมินเฉย แปลกแยก น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนหวาน

“ตู้เอ้อร์นำพุทธนิกายมหายานกลับมาจากเมืองหลวง และแสดงธรรมบนเขาอาหลานนานกว่าครึ่งปี มีผู้คนจำนวนมากเลื่อมใสศรัทธาในพุทธนิกายมหายาน เขาลดระดับพุทธที่เน้นการบรรลุแก่ตนเองเป็นเพียงพุทธหินยาน ความบาดหมางภายในสำนักพุทธใกล้เข้ามาแล้ว”

โหรชุดขาวกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเด็กหัวขโมยแห่งเมืองหลวงนั่น ไม่ใช่ลูกผู้ชายด้วยซ้ำ”

พระโพธิสัตว์ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนหวาน “ตู้เอ้อร์ตั้งตารอคอยการกลับมาของชายผู้นี้ พร้อมจะยกย่องให้เป็นโอรสแห่งพระพุทธองค์ กว่างเสี่ยนตื่นเต้น แต่เจียหลัวชู่ไม่ค่อยปลื้มนัก”

โหรชุดขาวถามว่า “พระพุทธเจ้าทรงมีดำริเช่นไร”

พระโพธิสัตว์หญิงปรายตามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปกว่าห้าร้อยปีแล้ว”

โหรชุดขาวพยักหน้า และตัดเข้าประเด็น “ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อขอยืมของวิเศษของสำนักพุทธชิ้นหนึ่ง”

ดวงเนตรแก้วสุกใสของพระโพธิสัตว์หญิงจ้องมองเขาด้วยสายตาไม่ยินดียินร้าย

“อย่ารีบร้อนปฏิเสธ ฟังเงื่อนไขของของข้าก่อน” โหรชุดขาวยิ้มและพูดต่อ

“ข้าจะแลกเปลี่ยนกับพวกเจ้าด้วยข้อมูลหนึ่งอย่าง”

พระโพธิสัตว์หญิงนิ่งอยู่

รอยยิ้มที่มุมปากของโหรชุดขาวเผยอขึ้น เขาพูดช้าๆ “ข้ารู้ว่าสิ่งที่เคยถูกผนึกอยู่ใต้ซังผออยู่ที่ใด”

หลังอาหารกลางวัน ฮว๋ายชิ่งขึ้นรถม้าธรรมดา และค่อยๆ หยุดเบื้องหน้าจวนสกุลสวี่

คนขับรถม้านำม้านั่งไม้ออกมาจากด้านล่างของรถม้า ทักทายองค์หญิง ก่อนจะเก็บม้านั่งไว้ใต้รถตามเดิม ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วแน่น นางสัมผัสได้ถึงสายตาที่แอบมองจากในมุมลับ

‘เสด็จพ่อส่งคนมาซุ่มดูจวนสกุลสวี่…’ ฮว๋ายชิ่งเข้าไปข้างในจวนสกุลสวี่โดยไม่กระโตกกระตาก

นางเดินเข้าไปยังโถงชั้นใน โดยที่ญาติๆ ฝ่ายหญิงในจวนสกุลสวี่ยังไม่ทันเอะใจ ด้วยการนำทางของเฒ่าจางที่รอรับหน้าประตู สวี่ชีอันนั่งที่โต๊ะหิน ณ ลานชั้นในคอยท่าอยู่แล้ว เขาส่งยิ้มและพยักหน้าให้นาง

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าตอบและเดินตามเขาเข้าไปในห้อง

ดวงตาที่สดใสดุจบ่อน้ำช่วงสารทฤดูมองไปรอบๆ พลันเห็นหลี่เมี่ยวเจินที่อยู่ในห้องของเขาด้วยเช่นกัน

“ข้าขอให้จงหลีใช้ค่ายกลปิดกั้นเสียงเอาไว้ เพราะเรื่องที่พูดต่อไปนี้ ไม่สามารถแพร่งพรายให้คนนอกรับรู้ได้” สวี่ชีอันนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ พร้อมกล่าวยิ้มๆ

“จริงสิ องค์หญิง หรือจะเรียกว่าหมายเลขหนึ่งดีล่ะ!”

ใบหน้าของฮว๋ายชิ่งชาวาบ นางตัวแข็งทื่อทันที รูม่านตาหดลงเล็กน้อย

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset