📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 388

บทที่ 388 - ‘สัตว์ประหลาดแห่งจิ่วโจว’
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“หลังจากไหวอ๋องตาย ข้าก็ฉวยโอกาสนำยาวิญญาณกลับมายังเมืองหลวงและมอบให้ฝ่าบาท…” วิญญาณของเชวียหย่งซิวตอบตามตรง

ไม่แปลกใจที่หยางเยี่ยนพูดว่า ตอนสังเวยเลือดประชาชน แก่นโลหิตลอยขึ้นและกลายเป็นยาโลหิต วิญญาณตกลงสู่ใต้พิภพ แต่กลับไม่มีร่องรอยใดหลังจากนั้น ที่แท้ก็ถูกเชวียหย่งซิวฉวยโอกาสขโมยไป…

สวี่ชีอันเข้าใจในทันที เขายังคิดว่ายาวิญญาณถูกผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีเอาไป คิดไม่ถึงว่าจะเข้าไปในกระเป๋าคาดเอวของจักรพรรดิหยวนจิ่ง

พูดเช่นนี้ ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีเข้าร่วมเรื่องนี้เพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความชั่วร้าย’

อืม อ๋องสยบแดนเหนือกับผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีร่วมมือกันประมาณหนึ่ง ไม่รู้ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งสมคบคิดกับผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีด้วยหรือไม่ แบบนี้ไม่ดีแน่ หากเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องใส่ใจตัวตนเสียหน่อย ตอนที่ต่อสู้หนึ่งต่อห้าในวันนั้น ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีสัมผัสได้ว่าข้ามีกลิ่นอายของชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขารู้ว่ายอดฝีมือลึกลับในฉู่โจวคนนั้นเป็นผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ดังนั้นตอนปกป้องดอกบัวเก้าสี ข้าจึงต้องลบร่องรอยทั้งหมดของ ‘สวี่ชีอัน’ ทิ้ง สวี่ชีอันอยู่ที่ฉู่โจว และฉู่โจวก็มียอดฝีมือลึกลับปรากฏตัวขึ้น แถมยังมีกลิ่นอายของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอีก นี่ไม่อาจอธิบายอะไรได้ แต่หากสวี่ชีอันก็เป็นผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพีล่ะ ไอ้คนฉ้อฉลนี่ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็ถามอีกครั้ง “จักรพรรดิหยวนจิ่งแอบสมรู้ร่วมคิดกับผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพีหรือไม่”

เชวียหย่งซิวตอบอย่างไร้ความรู้สึก “ไม่รู้…”

“จักรพรรดิหยวนจิ่งกลั่นยาวิญญาณไปเพื่ออะไร”

“ไม่รู้…”

นี่ก็ไม่รู้ นั่นก็ไมรู้ ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำไม สวี่ชีอันโกรธเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่นานและถามอย่างจริงจัง

“เจ้ามีทรัพย์สินที่ไม่มีใครรู้หรือตำลึงเงินหรือไม่”

เชวียหย่งซิวบอกตามตรง “ไม่มี”

แม้ว่าจวนของเจ้าอารักขาจะอยู่ในเมืองหลวง แต่เชวียหย่งซิวก็บริหารงานอยู่ที่ฉู่โจวนานหลายปี แม้ว่าจะมีทรัพย์สินส่วนตัว แต่ก็อยู่ในฉู่โจว

อืม จวนของเจ้าอารักขาต้องถูกค้นและยึดทรัพย์แน่นอน มิเช่นนั้นก็ไม่อาจบอกให้ขุนนางฟังได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าไม่ใช่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าจึงไม่สามารถเข้าร่วมการค้นบ้านและยึดทรัพย์ได้ ไม่เช่นนั้นคงร่ำรวยไปแล้ว…สวี่ชีอันปวดใจ

“เฉากั๋วกง เจ้ามีทรัพย์สินอะไรที่ไม่มีใครรู้หรือไม่” สวี่ชีอันมองไปทางเฉากั๋วกงอีกครั้ง

“ข้ามีบ้านพักส่วนตัวสิบสามหลังในเมืองหลวง สำหรับเลี้ยงดูคนต่างถิ่นกับชายบำเรอ ในบรรดานั้นมีสามหลังไม่ได้ใช้งาน ในบรรดาสามหลังที่ไม่ได้ใช้งานมีหลังหนึ่งถูกข้าใช้สำหรับเก็บของมีค่า โบราณวัตถุ ภาพตัวอักษร และตำลึงเงิน”

ของมีค่ากับโบราณวัตถุไม่ได้เก็บไว้ในบ้าน แต่เก็บไว้ข้างนอก เรื่องพวกนี้จะบอกใครไม่ได้…ช่างเป็นเจ้าหน้าที่ทุจริตที่น่ารังเกียจจริงๆ…สวี่ชีอันประหลาดใจพลางวิจารณ์

“โฉนดที่ดินกับโฉนดบ้านของบ้านพักส่วนตัวเหล่านั้นอยู่ที่ไหน” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง

“บ้านหลังนั้นที่ข้าใช้สำหรับเก็บโบราณวัตถุกับของมีค่า โฉนดที่ดินกับโฉนดบ้านอยู่ในบ้านทั้งหมด ส่วนที่เหลืออยู่ในจวนของกั๋วกง” เฉากั๋วกงตอบ

ให้ตายเถอะ บ้านพักส่วนตัวสิบสองหลังอยู่ไกลจากข้า…ใจของสวี่ชีอันหนักอึ้ง ความโศกเศร้าที่ยากจะพรรณนาพุ่งขึ้นมา

ขณะเดียวกัน เขาก็อยากรู้เรื่องบ้านพักส่วนตัวที่ใช้สำหรับเก็บของมีค่ากับวัตถุโบราณหลังนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ โฉนดบ้านกับโฉนดที่ดินถูกเก็บไว้ในบ้านพักส่วนตัวและไม่ได้เก็บไว้ในจวนของกั๋วกง นี่หมายความว่าเฉากั๋วกงแยกบ้านพักส่วนตัวหลังนั้นกับตัวเองออกจากจวนของกั๋วกงอย่างสมบูรณ์

ไม่ว่าทางไหนจะเกิดปัญหาก็ไม่อาจเชื่อมโยงทั้งสองหากันได้

เมื่อซักถามเสร็จ เพื่อรักษาความหวังไว้บ้าง เขาจึงไม่ได้ถามเฉากั๋วกงว่าในบ้านพักส่วนตัวมีของมีค่าอะไรบ้าง

หลังเก็บวิญญาณสองดวงกลับเข้าไปในถุงหอม สวี่ชีอันก็ออกจากห้องลับและไปเยี่ยมสหายสามคนแห่งพรรคฟ้าดิน ซึ่งพวกเขาอยู่ในห้องที่แตกต่างกัน

สวี่ชีอันมาที่ห้องของหลี่เมี่ยวเจินก่อนและเคาะประตู

‘ครืด…’ เมื่อประตูเปิด ใบหน้าอันงดงามล่มเมืองก็โผล่ออกมา นั่นคือภรรยากระดาษของสวี่ชีอัน

‘ปัง!’

นางปิดประตูอีกครั้งทันที

ผ่านไปไม่กี่นาที ประตูห้องก็เปิดอีกครั้ง หลี่เมี่ยวเจินแต่งตัวและนั่งที่โต๊ะอย่างเรียบร้อย ฉู่ไฉ่เวยกำลังจัดเก็บยาขี้ผึ้ง ผ้าก๊อซ หม้อยาและของอื่นๆ

เมื่อสักครู่กำลังเปลี่ยนยาหรือ…สวี่ชีอันชำเลืองมองหลี่เมี่ยวเจินอย่างใจเย็นและถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรใช่หรือไม่”

หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า เขาจึงพูดว่า “จักรพรรดิหยวนจิ่งสำนึกความผิดของตัวเองและสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าอับอาย ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องออกจากเมืองหลวงเร็วเกินไป”

อันที่จริงแม้ว่าเขาจะไม่ให้อภัยเจ้า เจ้าก็ไม่เกรงกลัวเช่นกัน ผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์อยู่ระดับเดียวกับท่านโหราจารย์ ถึงมอบความกล้าหาญให้จักรพรรดิหยวนจิ่ง เขาก็ไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ หรอก มี ‘ท่านพ่อ’ สนับสนุนก็นับเป็นเรื่องที่ดี…สวี่ชีอันทอดถอนใจ

ไม่แปลกใจที่ตอนเขาอ่านนิยายเมื่อก่อน ตัวร้ายที่มีผู้สนับสนุนมักชอบกระโดดขึ้นลงและหยิ่งผยอง หากไม่ได้โชคร้ายเจอตัวเอก คนธรรมดาก็จนปัญญากับพวกเขาจริงๆ

“มีธุระอะไรอีกหรือไม่” หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วถาม

เหตุใดเจ้าถึงดูเหมือนต้องการจะไล่ข้าออกไป ข้าส่งผลต่อความเหมาะสมของพวกเจ้าทั้งสามหรือ สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจและยิ้ม

“ยาวิญญาณ ข้าอยากรู้ว่ายาวิญญาณมีประโยชน์อะไร”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เมี่ยวเจินก็มองเขาด้วยสีหน้าสงสัย ราวกับกำลังพูดว่า ‘นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้บอกเจ้าหรือ’

สวี่ชีอันลดเสียงลง “เมื่อครู่ข้าสื่อสารกับวิญญาณของเชวียหย่งซิวและได้รู้จากปากของเขาว่า คนที่ต้องการยาวิญญาณไม่ใช่ผู้นำเต๋าแห่งนิกายปฐพี แต่เป็นจักรพรรดิหยวนจิ่ง”

รูม่านตาของหลี่เมี่ยวเจินดูเหมือนจะหดตัวลง

สวี่ชีอันพูดต่อ “ตามที่นักบวชเต๋าจินเหลียนบอก ดูเหมือนยาวิญญาณไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาทำเรื่องบ้าบิ่นนี้ แต่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงเดาว่ายาวิญญาณอาจจะยังมีประโยชน์อื่นที่ไม่มีใครรู้อีก”

หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดอยู่นานและส่ายหน้าช้าๆ

ในเวลานี้เอง ฉู่ไฉ่เวยก็ถามอย่างสงสัย “ใช่ยาวิญญาณที่กลั่นจากวิญญาณหรือไม่”

สวี่ชีอันหันไปมองนางและถามด้วยสายตากับน้ำเสียงที่สงสัย “เจ้ารู้หรือ”

นี่ไม่เหมือนฉู่ไฉ่เวย แม่หญิงตาโตผู้ทรงเสน่ห์ไม่เหมือนคนใฝ่เรียนรู้ที่จะไปอ่านหนังสือด้านอื่นนอกจากทักษะทางการแพทย์

ฉู่ไฉ่เวยกล่าวว่า “ตอนศิษย์พี่ซ่งทำการค้นคว้าเมื่อสองสามวันก่อน เขาบอกว่ายาวิญญาณอาจทำให้ร่างเนื้อที่เขาสร้างหลอมรวมกับวิญญาณได้ แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น เพราะยาวิญญาณล้ำค่าเกินไปและเงื่อนไขในการกลั่นก็รุนแรง เขาไม่อาจฆ่าคนเพื่อกลั่นยาได้ ท่านอาจารย์โหราจารย์จะกำจัดเขาก่อน อืม ข้าได้ยินศิษย์พี่ซ่งพูดว่า ในหอเก็บตำราบนชั้นแปดของหอดูดาวมีบันทึกที่เกี่ยวกับยาวิญญาณอยู่”

สวี่ชีอันกับหลี่เมี่ยวเจินพูดทันที “พาพวกเราไป”

“นี่…”

ฉู่ไฉ่เวยเผยสีหน้าลำบากใจออกมา “หอเก็บตำราเป็นพื้นที่ต้องห้ามของสำนักโหราจารย์ มีเพียงลูกศิษย์ภายในสำนักเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ นอกจากนี้ยังต้องได้รับการยินยอมจากท่านอาจารย์โหราจารย์หรือศิษย์พี่หยางก่อนด้วย ข้าไม่อาจพาพวกเจ้าเข้าไปได้ มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษ”

หลี่เมี่ยวเจินท้อแท้นิดหน่อยทันที

สวี่ชีอันก้าวไปข้างหน้าและตบไหล่ของไฉ่เวย “สองสามวันนี้อยากกินอะไร บอกพี่ชายมาอย่าได้ลังเล ข้าจะทำให้เจ้า”

ฉู่ไฉ่เวยยิ้มแย้มแจ่มใส “ข้าจะพาพวกเจ้าไป”

หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง “เจ้าไม่กลัวถูกลงโทษแล้วหรือ”

“ไอหยา เรื่องเล็กน้อยๆ”

“…”

สามคนหนึ่งวิญญาณเข้าไปในหอเก็บตำรา แต่ฉู่ไฉ่เวยกลับจำไม่ได้ว่าหนังสือที่บันทึกเรื่องยาวิญญาณเล่มนั้นชื่ออะไรและเก็บไว้ที่ไหน

ชั้นวางหนังสือเรียงรายเป็นแถวเต็มพื้นที่ขนาดใหญ่ การหาบันทึกที่เกี่ยวข้องจากในนั้นไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร

“ข้า ข้าจะไปถามศิษย์พี่ซ่ง…” ฉู่ไฉ่เวยแลบปลายลิ้นออกมาและกระโดดออกไป

หลี่เมี่ยวเจินกับสวี่ชีอันค้นหาอย่างไร้จุดหมายด้วยใบหน้าดำคล้ำ

ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็ถูกหนังสือโบราณเล่มหนึ่งดึงดูดความสนใจ ‘สัตว์ประหลาดแห่งจิ่วโจว เล่มแรก’

ในหนังสือบันทึกไว้ว่า สัตว์ประหลาดเป็นทายาทของเทพมารโบราณ เทพมารโบราณมีกี่ประเภท ตามสัตว์ประหลาดในยุคหลัง จึงสามารถสอดแนมได้เล็กน้อย

สิ่งที่มีจำนวนมากที่สุดและแพร่หลายมากที่สุดคือ ‘เจียว’ ในหนังสือกล่าวถึงบรรพบุรุษของเจียว ซึ่งเป็นเทพมารที่ถูกเรียกว่า ‘มังกร’

อีกตัวอย่างหนึ่งคือสัตว์ประหลาดที่ปรากฏในตำนานของอวิ๋นโจว ซึ่งมาจากต่างแดน ขณะที่หายใจลมฟ้าปะทุ พายุซัดโหมกระหน่ำ บรรพบุรุษจึงอาจเป็นเทพมารที่ถูกเรียกว่า ‘กิเลน’

สวี่ชีอันพลิกอ่านทีละหน้าและต้องตกตะลึงเมื่อพบ ‘เพื่อนเก่า’ มังกรวิญญาณ

บรรพบุรุษของมังกรวิญญาณคืออะไร ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ที่ชัดเจน มันถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ครั้งแรกในสมัยจักรพรรดิโบราณ ซึ่งเป็นพาหนะของจักรพรรดิที่สู้รบไปทั่วทุกสารทิศโuเวลกูดoทคอม

ฝ่าลมโต้คลื่นและเป็นหนึ่งในราชาแห่งสายน้ำ

นี่มันไม่ถูกต้อง ท่าทีที่มังกรขี้ประจบประแจงนั่นแสดงออกมาไม่เหมือนกับราชาแห่งสายน้ำเลย…สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ

ด้วยความสงสัย เขาก้มลงอ่านต่อและเห็นข้อมูลบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน

ฮว๋ายชิ่งเคยบอกเขาว่า มังกรวิญญาณชอบกินปราณม่วง ดังนั้นมันจึงไล่ตามราชวงศ์และกลายเป็นสัตว์วิญญาณข้างกายของราชวงศ์ สำหรับราชวงศ์ มันก็เป็นสัญลักษณ์ของโลกดั้งเดิมเช่นกัน

แต่ในหนังสือบอกว่า มังกรวิญญาณมีอีกความสามารถหนึ่ง นั่นก็คือการกลืนและคายชะตากรรมของราชวงศ์ เพื่อให้อาณาจักรของราชวงศ์ยืนยาวยิ่งขึ้น

เมื่อทุกสรรพสิ่งรุ่งเรืองจนถึงที่สุดย่อมต้องเสื่อมถอยลง เป็นลิขิตสวรรค์ในความมืด เมื่อชะตากรรมของราชวงศ์ราวกับน้ำมันปรุงอาหาร มันจะอ่อนลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ มังกรวิญญาณสามารถกลืนและคายโชคชะตาได้ หากโชคชะตารุ่งเรืองก็ดูดกลืน หากโชคชะตาอ่อนลงก็คายออก

ทำให้ชะตากรรมของราชวงศ์มีระดับเท่ากันเสมอ

อุปกรณ์ทำให้โชคชะตาสมดุล?!

คำนี้แวบขึ้นมาในหัวของสวี่ชีอัน

ตอนเพิ่งข้ามมา ข้าก็สงสัยที่ชะตากรรมของราชวงศ์ในโลกนี้ไม่ตรงกับ ‘กฎสายร้อยปี’ ที่ข้าค้นคว้าในวรรณกรรมข้างถนน ตอนนั้นข้าคิดว่าเป็นเพราะการดำรงอยู่ของพลังพิเศษ แต่ดูจากตอนนี้ เป็นเพราะการดำรงอยู่ของมังกรวิญญาณหรือ

ขณะที่กำลังครุ่นคิด ฉู่ไฉ่เวยก็กระโดดโลดเต้นกลับมาและเอ่ยเสียงดัง “หนังสือเล่มนั้นชื่อ บันทึกยาพันลึก อยู่ตรงตำแหน่งอี่ ชั้นวางหนังสือชั้นที่สาม แถวที่สอง ข้าจะช่วยพวกเจ้าไปเอามันมา”

สวี่ชีอันเก็บความคิดของตัวเอง เดินตามหลังฉู่ไฉ่เวยไปและมองนางดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวางหนังสือชั้นที่สาม แถวที่สองในตำแหน่งอี่ ‘บันทึกยาพันลึก’

ผลลัพธ์ทำให้ผู้คนสิ้นหวัง ผลของยาวิญญาณ นักบวชเต๋าจินเหลียนสรุปเรียบร้อยแล้วและไม่ได้ละเลยอะไรไป

ในฐานะผู้อาวุโสเฒ่าแห่งลัทธิเต๋า นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่มีทางละเลยผลของยาวิญญาณแน่นอน หรือกล่าวอีกนัยคือ ยาวิญญาณเป็นเพียงข้ออ้าง หรือไม่หนึ่งในผลของยาวิญญาณก็มีความสำคัญมาก แต่พวกเราไม่รู้สึก…สวี่ชีอันครุ่นคิดกับตัวเอง

เขาตัดสินใจว่า เมื่อมีโอกาสเขาจะไปหาลั่วอวี้เหิงเพื่อปรึกษาหารือ อย่างน้อยเขาก็ต้องบอกเรื่องนี้กับลั่วอวี้เหิงและขอให้นางจับจ้องจักรพรรดิหยวนจิ่ง

แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้นเขาต้องถามนักบวชเต๋าจินเหลียนก่อน

ป้าผู้จิตใจดีไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับข้า นางจะเชื่อถือได้หรือไม่ ต้องให้นักบวชเต๋าจินเหลียนตรวจสอบ…สวี่ชีอันคิดในใจ

อืม พรุ่งนี้ไปบ้านพักส่วนตัวของเฉากั๋วกงก่อน จากนั้นก็ไปรับอารองกับอาสะใภ้ที่สำนักอวิ๋นลู่ แล้วค่อยติดต่อนักบวชเต๋าจินเหลียน เพื่อถามว่าหญิงผู้นั้นเชื่อถือได้หรือไม่

นอกจากนี้ ข้ายังต้องไปรับพระมเหสีกลับมาอีก ไม่อาจปล่อยนางไว้ข้างนอกตลอดไปได้ จิ๊ เรื่องหยุมหยิมเยอะจริงๆ…

ยามค่ำคืน

แสงจันทร์ราวกับน้ำค้างแข็ง เคลือบผิวทะเลสาบด้วยแสงละมุนบางๆ

มังกรวิญญาณนอนอยู่บนชายฝั่งอย่างหงอยเหงา บางครั้งมันก็พ่นจมูก บางครั้งก็สะบัดหาง ทำให้เกิดคลื่นและคลื่นแสงขรุขระ

ร่างหนึ่งเดินออกมาจากในความมืดและหยุดลงตรงหน้ามังกรวิญญาณ

เขาโน้มตัวลงไปลูบแผงคอที่แข็งและหยาบของมังกรวิญญาณและถอนหายใจ “คดีสังหารหมู่ของไหวอ๋องถูกเผยแพร่สู่สาธารณะแล้ว ข้าไม่อาจเปลี่ยนจุดจบและกู้หน้าตาของราชวงศ์คืนได้”

มังกรวิญญาณพ่นจมูกอย่างเกียจคร้าน ซึ่งถือเป็นการตอบกลับคนคนนั้น

เขาพูดต่ออีกว่า “ราชวงศ์เสียหน้าหมายถึงสูญเสียจิตใจของประชาชน และการสูญเสียจิตใจของประชาชนก็หมายถึงโชคชะตาหายไปส่วนหนึ่งอีก ข้าอยากจะกระจายโชคชะตาออกไปเสียจริง แต่นี่เกินขีดจำกัดที่ข้าจะรับได้ ข้าก็เหมือนกับเจ้า กำลังพยายามรักษาสมดุล ไม่ให้มากไปและไม่ให้น้อยไป แต่ผู้คนข้างนอกนั่นโง่เขลาเกินไป เว่ยเยวียนยิ่งโง่เขลา ไม่เชื่อฟังข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

เขาหยุดลูบและวางฝ่ามือลงตรงระหว่างคิ้วของมังกรวิญญาณ น้ำเสียงทั้งอ่อนโยนและเย็นชา “คืนโชคชะตาของข้าที่อยู่กับเจ้ามาส่วนหนึ่งเถิด”

ดวงตากลมโตสีดำราวกับกระดุมอันน่ารักของมังกรวิญญาณฉายแววเกลียดชังกับต่อต้านออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรและปล่อยให้เขาช่วงชิงโชคชะตากลับไป

วันรุ่งขึ้น ยามเช้าตรู่

‘ครืด…’

ท่ามกลางเสียงของประตูหินที่เปิดออกอย่างช้าๆ สวี่ชีอันเดินตรงไปยังใต้ดินที่มืดสนิทและตะโกนว่า “ศิษย์พี่หญิงจง ข้ามารับเจ้าแล้ว”

หลังจากนั้นไม่นาน จงหลีที่สวมชุดคลุมผ้าฝ้ายและปล่อยผมสยายก็ปีนบันไดหินขึ้นมาอย่างช้าๆ

นางเงยหน้าขึ้น ระหว่างเส้นผมที่ยุ่งเหยิง ดวงตาที่สดใสคู่นั้นก็กระตุกด้วยความปีติยินดี

ตั้งแต่สวี่ชีอันขึ้นเหนือก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว

“การฝึกตนของเจ้าพัฒนาขึ้นอีกแล้ว” จงหลีเอ่ยเสียงเบา

“แต่เจ้ากลับยังเหมือนเดิม” สวี่ชีอันวางฝ่ามือลงบนหัวของนาง

จงหลีปัดออก

เขาวางอีกครั้ง

จงหลีปัดออกอีกครั้ง

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปเถอะ” สวี่ชีอันพูดอย่างโกรธเคือง

จงหลียอมแพ้และปล่อยให้ชายที่เรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงคนนี้ลูบหัวนาง

เขานำจงหลี หลี่เมี่ยวเจิน ภรรยากระดาษ และฉู่หยวนเจิ่นไป คนสองกลุ่มเหยียบกระบี่บินพุ่งออกจากแท่นแปดทิศและบินไปทางสำนักอวิ๋นลู่

“เหตุใดเจ้าถึงต้องการมีส่วนร่วม” สวี่ชีอันส่งกระแสจิตไปยังฉู่หยวนเจิ่นอย่างไม่พอใจนัก

“สี่คนกับกระบี่หนึ่งเล่ม แออัดจะตาย ข้าพาเจ้าไปไม่ดีหรือ”

ฉู่หยวนเจิ่นอธิบายอย่างคนไม่มีความผิด คนคนนี้ไม่มีสามัญสำนึกเลยหรือ เขาบาดเจ็บยังไม่หายสนิทก็มาทำหน้าที่เป็น ‘สารถี’ พาเขาไปที่สำนักอวิ๋นลู่อีก

เขาไม่คิดจะขอบคุณ แต่กลับมาจับผิดตน

เมื่อสังเกตเห็นความไม่พอใจของฉู่หยวนเจิ่น สวี่ชีอันก็ถอนหายใจ เขาไม่ควรแสดงความคิดอันชั่วร้ายตัวเองออกมาโจ่งแจ้งเกินไป จึงเอ่ยอย่างจำใจ

“ข้าเพียงแค่อยากรำลึกถึงความรู้สึกแออัดของรถไฟใต้ดิน ข้าคิดถึงมันมาก”

“รถไฟใต้ดินคืออะไร”

“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้…”

สองวันมานี้เหล่าอาจารย์ของสำนักอวิ๋นลู่ไม่มีความสุขเลย ถึงขั้นจิตใจกระสับกระส่าย

เพราะมักจะมีสามีภรรยาที่มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นคู่หนึ่งจับตัวพวกเขาและพูดว่า ‘สอนลูกข้าทีเถิด’

‘สอนบ้าอะไรล่ะ!’

เหล่าอาจารย์โวยวายในใจเหมือนกันทุกประการ

พวกเขารู้จักเด็กคนนั้น เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จากบ้านสกุลสวี่ น้องสาวคนสุดท้องของสวี่หนิงเยี่ยนกับสวี่ฉือจิ้ว ผู้มีทักษะด้านการทำให้คนโกรธ

คิดไม่ถึงว่านางจะมาเรียนที่สำนักอีก

ในสำนักมีอาจารย์ผู้มีความรู้มากมายสิบกว่าคน พวกเขาสอนตำราพิชัยสงคราม พระคัมภีร์และอื่นๆ ตามหลักแล้ว การสอนเด็กเล็กคนหนึ่งให้ก่อปัญญาเป็นเรื่องง่ายไม่ใช่หรือ

แต่บางคนก็มักจะมีพรสวรรค์พิเศษและความคิดของพวกเขาก็แตกต่างจากคนทั่วไป วิธีที่ใช้กับคนทั่วไปได้ผลจึงไม่เหมาะจะใช้กับพวกเขา

สวี่หลิงอินเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษเช่นนั้น

หลังจากบินไปตามลม ภูเขาเขียวขจีใต้ฝ่าเท้าราวกับยอดคิ้วและถนนหนทางทอดยาว ใช้เวลาเพียงสองเค่อ สวี่ชีอันก็มาถึงภูเขาชิงหยุน

เขาเหลือบมองลงไปและเห็นเด็กคนหนึ่งนอนอยู่บนหญ้าแห้งข้างศาลาใกล้กับสำนัก มวยผมทรงซาลาเปาเนื้อ

“ข้าเห็นสวี่หลิงอิน ลงไปๆ”

ฉู่หยวนเจิ่นลดระดับกระบี่บินและลงจอดข้างศาลาตามคำสั่ง

สวี่หลิงอินนอนหลับสบายอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเศษใบไม้กับเศษหญ้า

สวี่ชีอันเดินไปเขย่าตัวนางจนตื่นและเอ่ยอย่างมีโทสะ “เจ้ามานอนที่นี่อีกแล้ว ข้าจะเรียกแม่ของเจ้ามาตีเจ้า”

“พี่ใหญ่นี่เอง…”

สวี่หลิงอินรักษาท่าทางเหยียดแขนเหยียดขาอย่างกล้าหาญโดยไม่สนใจคำขู่ของพี่ใหญ่

“ข้ากับท่านอาจารย์ออกมาล่าสัตว์ป่า ท่านอาจารย์หายตัวไปขณะที่ล่า ข้าเหนื่อย จึงนอนพักสักครู่” สวี่หลิงอินอธิบายอย่างมีเหตุผลและชัดเจน

จากนั้นนางก็เลิกคิ้วและกล่าวเสริมอีกว่า “ข้าไม่กลัวท่านแม่ตีข้าหรอก”

สวี่ชีอันยิ้มหยัน “เจ้าไม่กลัวแม่ตี แล้วไม่กลัวพ่อของเจ้าใช้ไม้ไผ่ตีเจ้าด้วยใช่หรือไม่”

สวี่หลิงอินเบิกตากว้าง มือสองข้างปิดบั้นท้ายเล็กๆ ไว้ นางกลัวจนหน้าถอดสี “พี่ใหญ่ ดูเหมือนต้นของข้าจะเริ่มเจ็บแล้ว”

“ต้นคืออะไร” สวี่ชีอันหยิบนางขึ้นมาเหมือนหยิบลูกเจี๊ยบและเดินไปบนยอดเขา

“ต้นก็คือบั้นท้าย คำศัพท์ใหม่ที่ข้าเรียนมา” ในที่สุดเสี่ยวโต้วติงก็เจอโอกาสสอนพี่ใหญ่ “พี่ใหญ่รู้หรือไม่”

“มันคือก้น”

“ต้น”

“ก้น!”

“ต้น” เสี่ยวโต้วติงย้ำอีกครั้ง “มีปัญหาอะไรหรือไม่”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset