สำนักอวิ๋นลู่ เจ้าสำนักจ้าวโส่ว ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ระดับสาม
บุคคลยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในลัทธิขงจื๊อยุคนี้
จ้าวโส่วไม่ใช่แค่เป็นตัวแทนของตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของทั้งสำนักอวิ๋นลู่ เป็นตัวแทนของปัญญาชนในลัทธิขงจื๊อทุกคน
ดังนั้นเขาจึงนำดาบสลักมา
เป็นเพราะจักรพรรดิหยวนจิ่งมองเห็นดาบสลัก สีหน้าของเขาจึงซีดเผือดในทันใด ตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ นี่เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิวัยเก้าสิบห้าปีผู้นี้รู้สึกถึงภัยคุกคามต่อความตายเป็นครั้งแรกในพระราชวัง
“เจ้าเข้ามาในเมืองหลวงได้อย่างไร เจ้าเข้ามาในวังได้อย่างไร…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแล้วชี้นิ้วไปที่เขา อารมณ์พลุ่งพล่านเต็มที่ “ท่านโหราจารย์ ท่านโหราจารย์ รีบมาคุ้มกันเดี๋ยวนี้!”
ทหารรักษาวังหนึ่งกองจะวิ่งออกไปนอกท้องพระโรง แต่กลับถูกม่านแสงใสกั้นเอาไว้
“ลัทธิขงจื๊อไม่สังหารราชา แต่จะฆ่าโจร”
สีหน้าของจ้าวโส่วเผยให้เห็นความไม่เกรงกลัวต่อความตาย “จ้าวโส่วเป็นตัวแทนของลัทธิขงจื๊อ ต้องการคำสัญญาของเจ้า สัญญาข้อแรก ยอมรับผิดเดี๋ยวนี้ คำสัญญาที่สอง สวี่ชีอันวอนขอชีวิตให้ประชาชนและร้องทุกข์ให้กับใต้เท้าเจิ้ง ทั้งยังไม่เคยกระทำความผิด เจ้าต้องออกราชโองการสรรเสริญเขา ยืนยันว่าเขาไร้ความผิด และไม่ทำร้ายคนในตระกูลของเขาด้วย”
ใบหน้าของจักรพรรดิหยวนจิ่งซีดเผือด เขากวาดตามองทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง ‘ปัญญาชนจากราชวิทยาลัยหลวงกลุ่มนี้ไม่มีใครกล้าออกหน้าคัดค้านสักคน ราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่ร่วมมือกันโดยที่ข้าไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ?’
“จะให้ข้าออกโองการรับผิดก็ช่าง แต่เหตุใดต้องปกป้องสวี่ชีอันผู้นั้นด้วย”
จ้าวโส่วแย้มยิ้มแล้วประกาศออกมาอย่างใจเย็น “ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยบอก สวี่หนิงเยี่ยนเป็นลูกศิษย์ของข้า”
‘อะไรนะ!’
ขุนนางทั้งราชสำนักตกตะลึงอ้าปากค้าง หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสวี่ชีอันคนนั้น ผู้ชายธรรมดาๆ คนนั้นกลับเป็นศิษย์เข้าสำนักของเจ้าสำนักจ้าวโส่วแห่งสำนักอวิ๋นลู่อย่างนั้นหรือ
‘เขา เขากลับเป็นปัญญาชนของลัทธิขงจื๊อด้วยอย่างนั้นหรือ?’
‘สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะกวี…’
‘แน่นอนว่าผู้ที่สามารถเขียนผลงานเลื่องชื่อมากมายเช่นนั้นออกมาได้ จะไม่ใช่ปัญญาชนจากลัทธิขงจื๊อได้อย่างไรกันเล่า…’
‘คนกันเองนี่นา…’
ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาในสมองของทุกคน
เว่ยเยวียนขมวดคิ้วแล้วมองจ้าวโส่ว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“เจ้าจะให้ข้ายกโทษให้คนทรยศที่ตัดศีรษะกั๋วกงเช่นนั้นหรือ เจ้าจะให้ข้ายอมให้เขาเข้ามาเป็นขุนนางในท้องพระโรงต่อหรือ ฮ่าๆๆๆ…”
คำขอของจ้าวโส่วราวกับทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งพิโรธอย่างหนัก ทำให้เขาเกือบจะตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง หัวเราะราวกับเป็นบ้าไปแล้ว
“จ้าวโส่ว ข้าเป็นผู้ปกครองอาณาจักร เป็นโอรสสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้ากล้าสังหารข้าจริงๆ หรือ ข้าจะใช้ชีวิตมาเดิมพันชะตากรรมกับลัทธิขงจื๊อ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่บ้าคลั่งใช้เท้าเตะโต๊ะเล็กตรงหน้า แล้วก้าวไม่กี่ก้าวไปชี้หน้าตำหนิจ้าวโส่ว “คิดจะรังแกกันหรือ รังแกกันเกินไปแล้ว ข้ายังมีท่านโหราจารย์อยู่นะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านโหราจารย์จะนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้เจ้าลงมือ”
เขาไม่เชื่อว่าจ้าวโส่วจะแลกชีวิตของตัวเองด้วยเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ เขารู้ว่าความปรารถนาตลอดชีวิตของจ้าวโส่วคือการทำให้สำนักอวิ๋นลู่กลับมารุ่งเรือง
และเขายิ่งไม่เชื่อว่าท่านโหราจารย์จะนั่งนิ่งแล้วมองดูจักรพรรดิถูกสังหาร เว้นแต่ว่าท่านโหราจารย์คิดจะตัดขาดกับโชคชะตาของต้าฟ่ง และเว้นเสียแต่ว่าท่านโหราจารย์จะไม่อยากเป็นโหรระดับหนึ่ง
ภายใต้การกดดันจากขุนนางทั้งหลายและการคุกคามจากจ้าวโส่ว จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตกในสภาวะใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ
ตอนนี้เอง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในท้องพระโรง แล้วกลายเป็นภาพมายาของชายชราเคราขาวชุดขาวกลางอากาศ
“หยวนจิ่ง ออกราชโองการรับผิดเสีย!”
จิตใจของจักรพรรดิหยวนจิ่งตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เขาถอยหลังตัวสั่นเทาและล้มลงบนบัลลังก์มังกร
แววตาของเขาเลื่อนลอย สีหน้าทรุดโทรมราวกับเป็นชายชราที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง ราวกับเป็นผู้แพ้ที่ถูกผู้คนทรยศและญาติมิตรลาจาก
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดเว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางถึงสามารถร่วมมือกับขุนนางทั้งหลายเพื่อบีบให้เขาออกราชโองการรับผิดได้ เขารู้แล้วว่าเหตุใดจ้าวโส่วถึงกล้าเข้ามาในเมืองหลวงและบีบให้เขารับผิด
เพราะทุกอย่างนี้ล้วนได้รับความเห็นชอบจากท่านโหราจารย์
หลังจากพูดประโยคนี้จบ ชายชราชุดขาวก็ค่อยๆ สลายหายไป
ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความเงียบสนิท
จนกระทั่งจ้าวโส่วเอ่ยออกมาทำลายความเงียบ “เขาไม่คิดจะกลับมาเป็นขุนนางในท้องพระโรงแล้ว”
เขาคือใคร?
ย่อมหมายถึงชายหนุ่มธรรมดาที่ตะโกนบอกว่าจะไม่เป็นขุนนางผู้นั้น
จักรพรรดิหยวนจิ่งงุนงงไม่เข้าใจ เขานั่งอยู่ในความสับสน ราวกับชายชราไม้ใกล้ฝั่ง
…
หอดูดาว แท่นแปดทิศ
สวี่ชีอันในชุดธรรมดายืนตรงอย่างองอาจ เขามองไปทางพระราชวังแล้วยกเหยือกสุราขึ้นมาเอ่ยยิ้มๆ “ความรุ่งเรืองตกต่ำตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอชำระด้วยสุราเหยือกนี้”
“เจ้าดูภูมิใจนักนะ เรื่องนี้ถ้าไม่มีอาจารย์มาคอยตามล้างตามเช็ดให้เจ้า เจ้าจะจัดการเองได้หรือไม่”
ที่ข้างโต๊ะมีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีเหลืองนั่งอยู่ ใบหน้ารูปไข่ห่านดวงตากลมโต ทั้งอ่อนหวานและน่ารัก ที่ข้างแก้มปูดขึ้นเพราะเคี้ยวอาหาร ท่าทางเหมือนหนูตัวน้อยน่ารักตัวหนึ่ง
“เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่น แล้วก็ไต้ซือเหิงหย่วนเป็นอย่างไรแล้วล่ะ”
สวี่ชีอันแย้มยิ้ม ไม่สนใจการถากถางของฉู่ไฉ่เวย
“ผ่านไปอีกสักหลายวัน เดี๋ยวอาการบาดเจ็บก็ดีขึ้น” ฉู่ไฉ่เวยขมวดคิ้วแน่นและบ่นออกมา “แต่ทำเอาข้าเหนื่อยแทบตาย พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์พี่ซ่งมาช่วยรักษาอาหารหรอก”
ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้กลายเป็นหนูทดลองแน่…สวี่ชีอันคิดในใจ
เขาไม่พูดอะไรอีก แต่หวนนึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อวาน
ในวันนั้น เขามาที่สำนักโหราจารย์แล้วให้ไฉ่เวยไปบอกท่านโหราจารย์หนึ่งประโยคว่า ‘เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางต้องการรวมขุนนางทั้งหมด เพื่อบีบให้จักรพรรดิหยวนจิ่งออกราชโองการรับผิด หวังว่าท่านโหราจารย์จะร่วมมือด้วย’
หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากนักบุญผู้อุปถัมภ์ต้าฟ่งคนนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ควบคุมพรรคต่างๆ และราชสำนักมาหลายปีขนาดนั้น เว่ยเยวียนและหวางเจินเหวินคงยากจะตกลงผลประโยชน์และทำให้ขุนนางในเมืองหลวงกว่าสองในสามยอมรับได้ภายหนึ่งวันเดียว
ซึ่งท่านโหราจารย์ก็ตกลงเห็นชอบ
ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์ที่สวี่ชีอันขวางขุนนางไว้ที่ประตูอู่เหมิน และจัดการกับเฉากั๋วกงและเจ้าอารักขาเชวียหย่งซิวได้
การสังหารโจรสองคนนี้เป็นเพียงฉากเปิดเท่านั้น เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวางต้องการให้จักรพรรดิหยวนจิ่งยอมรับผิด นี่ต่างหากคือผลลัพธ์
แน่นอนว่าหากเว่ยกงและสมุหราชเลขาธิการหวางเลือกที่จะนิ่งดูดาย เช่นนั้นสวี่ชีอันก็ยังจะสังหารโจรสองคนนั้น เพื่อชดใช้แด่เจิ้งซิ่งไหวและดวงวิญญาณในเมืองฉู่โจวทั้งสามแสนแปดหมื่นชีวิต
แล้วจากนั้นเขาก็จะพาครอบครัวออกจากเมืองหลวงไปท่องอยู่ในยุทธภพ
เมื่อวานเขาไปที่สำนักอวิ๋นลู่มารอบหนึ่ง แล้วบอกแผนการนี้ให้จ้าวโส่วได้รู้ จ้าวโส่วไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเข้าสู่ยุทธภพของเขา เพราะสวี่ซินเหนียนเป็นบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่เพียงคนเดียวที่สามารถเข้าสู่สำนักบัณฑิตฮั่นหลินและกลายเป็นผู้ดูแลคลังได้
ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เจ้าสำนักจ้าวเข้าวังไปบีบบังคับจักรพรรดิหยวนจิ่งขึ้นมา
ไม่เป็นขุนนาง…แม้ว่าเส้นสายที่สะสมไว้จะยังอยู่ แต่หากคิดจะใช้อำนาจของราชสำนักก็ยากขึ้น ทั้งยังเป็นการตัดเส้นทางขุนนาง ไม่อาจปีนป่ายต่อไปได้ และในอนาคตเมื่อมือมืดที่อยู่เบื้องหลังวางไพ่ เขาก็ต้องอาศัยอำนาจจากที่อื่นๆ แทน
สวี่ชีอันครุ่นคิดดูก็ได้แผนการใหม่ขึ้นมา เขาต้องใช้เครือข่ายข้อความ บวกกับกำลังของตัวเอง
สมาชิกของพรรคฟ้าดินคือหนึ่งในผู้สนับสนุนของข้า หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นมีพลังต่อสู้อยู่ขั้นสี่ ไต้ซือเหิงหย่วนเป็นจอมยุทธ์ภิกษุระดับแปด แต่จากที่ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว การระเบิดพลังของไต้ซือและพลังที่แฝงอยู่นั้นโดดเด่นอย่างยิ่ง แม้จะไม่เท่ากับขั้นสี่ แต่ก็เหนือกว่าจอมยุทธ์ขั้นห้าแน่
พลังต่อสู้ของลี่น่าไม่อาจคาดคะเนได้ มันด้อยกว่าเหิงหย่วนเล็กน้อย แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกว่านางเป็นอัจฉริยะเพียงผู้เดียวในกลุ่มที่สามารถต่อกรกับข้าได้
ตอนนี้ยังไม่รู้ตัวตนของหมายเลขหนึ่ง ก็ยังไม่ต้องไปสนใจ หมายเลขเก้านักบวชเต๋าจินเหลียนคือหนึ่งในลูกพี่ที่ข้าใช้งานได้ เบื้องหลังของเขายังมีนักพรตนิกายปฐพีหลายคนที่ยังไม่ตกสู่ทางมาร
ดังนั้นต่อไปต้องช่วยนักบวชเต๋าจินเหลียนดูแลบัวเก้าสีให้ดี
ส่วนหมายเลขเจ็ดและหมายเลขแปด ว่ากันว่าคนแรกนั้นเป็นศิษย์ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายสวรรค์ เป็นศิษย์พี่ของหลี่เมี่ยวเจิน ปัจจุบันยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เมื่อพูดถึงคนผู้นี้ทีไร หลี่เมี่ยวเจินดูลังเลและไม่อยากคุยนัก ต่อมาคงถูกถามจนรำคาญจึงพูดว่า ‘คนผู้นั้นนิสัยแย่เหมือนเจ้านั่นแหละ เพียงแต่เขาถูกลงโทษ แต่เจ้ากลับไม่โดน ถึงอย่างนั้นสักวันเจ้าคงได้เดินตามรอยเขาแน่’
หมายเลขแปดถูกปิดตาย จนป่านนี้ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
นอกจากนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว เว่ยเยวียนก็เป็นลูกพี่ที่ข้าพึ่งพาได้ ท่านโหราจารย์ไม่นับ ท่านโหราจารย์เข้าใจยากเกินไป ตอนนี้แม้เขาจะแสดงความเมตตา แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความเมตตาจากใจจริง และจนกว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงจะถูกเปิดเผย ไม่ว่าอะไรล้วนไม่น่าเชื่อถือทั้งนั้น
ไต้ซือเสินซูดูน่าเชื่อถือว่าท่านโหราจารย์เสียอีก แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะหลับใหล ไม่สามารถตื่นได้ในตอนนี้ แล้วก็ยังมีไต้ซือตู้เอ้อร์จากสำนักพุทธที่พอจะนับว่าพึ่งพาได้อยู่ หากถูกบีบจนหมดหนทางจริงๆ ข้าคงจะต้องเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่านี้ ไม่สิ เสินซูอยู่ในร่างของข้านี่ หากไปยังสำนักพุทธก็เท่ากับรนหาที่ตาย
ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิงมีมิตรภาพอันดีกับจินเหลียน และมีไมตรีทั่วๆ ไปต่อข้า ดูไม่น่าจะฝากความหวังไว้ได้
หลังจากทำการสรุป สวี่ชีอันก็จัดทำรายการขึ้นในใจ
ลูกพี่ที่พึ่งพาได้และเชื่อถือได้ ได้แก่ นักบวชเต๋าจินเหลียน (พรรคฟ้าดิน) และเว่ยเยวียน
ลูกพี่ที่เหมือนจะพึ่งได้ ได้แก่ เสินซู ท่านโหราจารย์
ลูกพี่ที่พอจะขอร้องได้ ได้แก่ ลั่วอวี้เหิง อรหันต์ตู้เอ้อร์
ศัตรู ได้แก่ กลุ่มโหรลึกลับและจักรพรรดิหยวนจิ่ง
หลังจากจบคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว ข้าก็จะเก็บงำอยู่เงียบๆ พยายามเลื่อนขึ้นสู่ขั้นห้า เรื่องนี้ไม่ยากเกินไป ข้าจับทางเข้าประตูของขั้นห้าได้แล้ว แต่แค่ขั้นห้ายังไม่พอ เมื่อถึงขั้นสี่สิ ข้าจึงจะมีพลังปกป้องตัวเองอย่างแท้จริงโน!วลกูดoทคอม
ระหว่างนั้นก็พยายามเข้าใจท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งจากสถานการณ์ทางด้านเอ้อร์หลางและอารอง หากมีแนวโน้มว่าจะถูกคิดบัญชีก็จะรีบออกจากเมืองหลวงโดยทันที ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือออกจากเมืองหลวงหลังจากเลื่อนสู่ขั้นสี่ หากออกจากเมืองหลวงตอนนี้ข้าก็จะมีแต่นักบวชเต๋าจินเหลียนแล้ว ลูกพี่คนอื่นๆ ฝากความหวังไว้ด้วยไม่ได้แล้ว
ขณะที่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิด ท่านโหราจารย์ที่นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมากล่าว “ฝ่าบาทยินยอมออกราชโองการรับผิดแล้ว”
‘ฟู่…’ สวี่ชีอันโล่งอก
น่าเสียดายที่บีบให้จักรพรรดิหยวนจิ่งสละราชสมบัติไม่ได้ จักรพรรดิเฒ่าผู้นี้คุมราชสำนักมาหลายปี รากฐานยังพอมีอยู่ อย่าเห็นว่าตอนนี้ขุนนางทั้งหลายกำลังบีบให้เขาออกโองการรับผิดนะ เพราะหากบีบให้เขาสละราชสมบัติละก็ คนส่วนใหญ่ไม่มีทางสนับสนุนแน่นอน เพราะยังเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์และการเปลี่ยนแปลงในราชสำนักอีกมากมายใหญ่โต
อืม จะโลภไปกว่านี้ไม่ได้ ตอนนี้ก็ได้ผลลัพธ์ที่ข้าต้องการแล้ว เขาคิดในใจ
ท่านโหราจารย์ก้มหน้ามองโต๊ะ อาหารเครื่องดื่มบนโต๊ะถูกลูกศิษย์จับกลืนลงท้องไปอีกแล้ว เขารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
“ไฉ่เวย อาจารย์เพียงไปในวังเพื่อดูละครเท่านั้นนะ…” ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ
“ใครให้ท่านไปดูกันล่ะ” ฉู่ไฉ่เวยกล่าวอย่างน่าเชื่อถือ
“เวลาที่ข้ากับหลิงอินแล้วก็ลี่น่าต้องการของกิน มือใครเร็วคนนั้นได้ไป แม้แต่เด็กหกขวบก็ยังเข้าใจหลักการนี้เลยนะ”
ท่านโหราจารย์ไม่อยากพูดอะไรแล้ว
สวี่ชีอันกล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดไม่เห็นศิษย์พี่หยางเล่า”
ฉู่ไฉ่เวยตอบ “อาจารย์ขังเขาไว้ในใต้ดิน ไปอยู่กับศิษย์พี่จงหลีแล้ว”
จอมขี้โอ่ทำเรื่องอะไรอีกล่ะ ท่านโหราจารย์ถึงได้โมโหเช่นนี้ สวี่ชีอันคิดในใจ
ไฉ่เวยเอ่ยต่อ “อาจารย์ ศิษย์พี่ซ่งฝากข้ามาถามเรื่องหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านโหราจารย์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง “เขาอยากได้นักโทษประหารมาฝึกทดลองเล่นแร่แปรธาตุอย่างนั้นหรือ”
ฉู่ไฉ่เวยส่ายหัว
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจโล่งอก แล้วฟังลูกศิษย์ตัวน้อยเอ่ยอย่างมีชีวิตชีวา “เขาบอกว่าจะไปศึกษาหาความรู้ที่นิกายมนุษย์ แต่ท่านเป็นอาจารย์ของเขา เขาจึงไม่กล้าดำเนินการก่อน ดังนั้นเลยอยากให้ศิษย์มาขอให้ท่านยอมเห็นด้วยเจ้าค่ะ”
ท่านโหราจารย์กล่าวช้าๆ “เหตุผลคืออะไร”
“การหลอมร่างกายมนุษย์ของศิษย์พี่ซ่งมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว แต่จิตเดิมไม่อาจหลอมรวมกับกายเนื้อได้ เขาทุกข์ใจมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ และลัทธิเต๋าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านจิตเดิม เขาจึงอยากไปเรียนวิชากับลัทธิเต๋าเจ้าค่ะ”
ฉู่ไฉ่เวยพูดพลางกินพลาง “แต่ศิษย์พี่ซ่งบอกว่า จิตใจของเขายังอยู่ที่ท่านอาจารย์เช่นเดิม หวังว่าท่านอาจารย์จะไม่อิจฉา”
ท่านโหราจารย์ไม่พูดอะไร เขามองดูฉู่ไฉ่เวยที่ปากเปรอะน้ำมันแล้วนึกถึงจงหลีและหยางเชียนฮ่วนที่ถูกขังไว้ใต้ดิน เขาหันศีรษะไปเงียบๆ เหม่อมองเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์แล้วถอนหายใจอย่างเดียวดาย
โลกมนุษย์ช่างไม่คุ้มค่า
สวี่ชีอันรีบปิดปากของเขา เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาอยู่แล้ว
…
ในห้องนอน สภาพระเกะระกะ
ผ้าม่านถูกฉีกขาด กระถางธูปหล่นกระจาย ภาพอักษรขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โต๊ะพลิกคว่ำ เครื่องเงินเครื่องทองล้วนกระจัดกระจายไปทั่ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งยืนอยู่ท่ามกลาง ‘ซากปรักหักพัง’ แห่งนี้ เขาสวมเสื้อคลุมแขนกว้าง ผมเผ้ายุ่งเหยิง
สามสิบเจ็ดปีกับการครองบัลลังก์ วันนี้ศักดิ์ศรีกลับถูกขุนนางเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า สำหรับจักรพรรดิผู้องอาจหยิ่งผยองแล้ว มันเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ทีเดียว
คนธรรมดาแค่ถูกหักหน้าก็แทบจะเป็นบ้าตาย แล้วนับประสาอะไรกับจักรพรรดิ
“ฝ่าบาท….”
ขันทีชราเข้ามาจากข้างนอกแล้วตะโกนเสียงสั่นเทา
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“เหล่าขุนนางยังไม่ไป ยังรวมตัวอยู่ในท้องพระโรงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่ากระซิบ
“พวกเขาทำอะไรกันอยู่ ยังไม่พอใจกันอีกหรือไง ข้าก็รับปากไปแล้วนี่!”
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ เขาตะโกนเสียงแหบแห้ง
ขันนี่เฒ่าเข่าอ่อน เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วคร่ำครวญว่า “หวางเจินเหวินและเว่ยเยวียนกล่าวว่าพวกเขายังไม่เห็นโองการรับผิดจึงยังไม่แยกย้ายกันพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างกายของจักรพรรดิหยวนจิ่งสั่นเทา เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บหน้าอก ในลำคอมีรสหวานปะแล่มเกลือกกลิ้งไปมา
…
วันนี้ หลังจากผ่านยามเที่ยง ราชสำนักก็มาติดป้ายประกาศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งที่ประตูเขตพระราชฐาน ประตูเมืองชั้นใน ประตูเมืองชั้นนอก ประตูสิบสองเมือง บนกระดานประกาศสิบสองแห่ง ล้วนแต่แปะพระราชโองการน้อมรับความผิดของจักรพรรดิหยวนจิ่งทั้งสิ้น
จักรพรรดิหยวนจิ่งครองราชย์มาสามสิบเจ็ดปี นี่เป็นครั้งแรกที่ออกราชโองการรับผิด
ในวันนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างตกอยู่ในความตื่นตะลึง