📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 283

บทที่ 283 - ระดับเพชรไร้พ่าย
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

เหิงหย่วนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “อาตมากับใต้เท้าสวี่รู้จักกันในคดีซังผอ ตอนนั้นศิษย์น้องเหิงฮุ่ยถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดี ฆ้องทองคำในขณะนั้นของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ปิดล้อมที่ซ่อนตัวของอาตมากับศิษย์น้องเหิงฮุ่ยเอาไว้… เดิมทีอาตมาคิดว่าแม้จะหนีพ้นจากความตายได้ แต่ก็ต้องไปติดคุก ไม่คิดเลยว่าใต้เท้าสวี่ผู้ทำคดีนี้จะสืบพบว่าแม้อาตมาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทว่าไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับศิษย์น้องเหิงฮุ่ย จึงปล่อยตัวทันที”

ตรงนี้ถูกปรับเปลี่ยนนิดหน่อย สิ่งที่เขาพูดได้ปกปิดเรื่องที่สวี่ชีอันหลอกลวงเขาเอาไว้… แต่แน่นอนว่า จนถึงตอนนี้เหิงหย่วนก็ยังไม่รู้ว่าสวี่ชีอันนั้นหลอกเขา

“นับว่าเป็นคนดี!” ภิกษุจิ้งเฉินแค่นเสียงเย็น

แต่ก็เป็นคนหน้าไม่อายเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เขาถามเหิงหย่วนตัวปลอม อีกฝ่ายก็บอกว่าสวี่ชีอันก็เป็นคนเช่นนี้… ภิกษุจิ้งเฉินนึกย้อนกลับไปแล้วรู้สึกอายแทนสวี่ชีอันนัก ตัวเขาพูดออกมาได้เต็มปากอย่างไม่สะทกสะท้านเลย

‘มันไม่ใช่ปัญหาว่าเป็นคนดีหรือไม่ จะว่าอย่างไรดี เขามีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ยากจะอธิบายน่ะสิ’…เหิงหย่วนกล่าวต่อ

“หลังจากที่อาตมาออกจากวัดมังกรเขียวก็มาอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กทางใต้ ที่ซึ่งมีกลุ่มเด็กและคนชราที่ไม่มีบ้านให้กลับอาศัยอยู่ พอใต้เท้าสวี่รู้เข้า เขาก็บริจาคเงินอย่างไม่เสียดาย แล้วคอยส่งเงินช่วยพวกเขาอยู่บ่อยๆ ควรรู้ว่า เงินเดือนหนึ่งเดือนของเขามีเพียงห้าตำลึงเงิน ตอนนั้นเขายังเป็นแค่ฆ้องทองแดงอยู่เลย ทว่าเขากลับไม่เคยอิดออด ทั้งยังปลอบอาตมาว่าเงินพวกนี้เขาเก็บออมมาได้ เฮ้อ อาตมาแอบไปสืบเรื่องของเขามา เขาแตกต่างจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ จริง ไม่เคยใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือข่มเหงประชาชนเลย และเงินเหล่านั้นก็เป็นเงินที่เขาประหยัดอดออมมาได้”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ภิกษุจิ้งเฉินก็เงียบไป

เขาจำคำโอ้อวดของสวี่ชีอันได้ บอกว่าตัวเองไม่เคยหาเศษหาเลยกับชาวบ้านทั่วไป

ไต้ซือตู้เอ้อร์นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “การทำความดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี มนุษย์มีหลายพันหน้า”

เหิงหย่วนขมวดคิ้วไม่พอใจ เขากล่าวต่อ “เช่นนั้นศิษย์บอกเรื่องหนึ่งกับอาจารย์ปู่แล้วกัน ก่อนที่จะเกิดคดีซังผอ เขาเคยเกือบจะสังหารหัวหน้าที่กระทำการหมิ่นเกียรติเด็กสาวที่เขาไม่รู้จัก จากนั้นเขาจึงถูกจับขังคุกและถูกตัดสินให้ต้องโทษตัดเอว หากไม่ใช่เพราะวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย ราชสำนักรีบร้อนต้องใช้คน ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว”

ไต้ซือตู้เอ้อร์ครุ่นคิดอยู่นานก็ถามอีก “เขามีความพิเศษอันใด”

‘พิเศษอันใด’…เหิงหย่วนตอบอย่างครุ่นคิด “นอกจากมีพรสวรรค์เหนือผู้ใดและเป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกยุทธ์แล้ว เขาก็ไม่มีส่วนที่พิเศษเลย”

ไต้ซือตู้เอ้อร์ราวกับผิดหวัง เขาพยักหน้ากล่าว “เจ้าออกไปทำงานต่อเถอะ”

เหิงหย่วนประนมมือแล้วออกจากห้องไป

“อาจารย์อา เหิงหย่วนไม่ได้โกหก ดูท่าว่าสวี่ชีอันผู้นั้นคงจะเป็นคนดีจริงๆ แม้การกระทำของเขาจะทำให้คนไม่ชอบใจก็ตาม” ภิกษุจิ้งเฉินกล่าว

ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือเป็นคนธรรมดา สวี่ชีอันผู้นั้นก็เป็นคนที่อ่อนโยนมีน้ำใจจริงๆ แม้จะมีความไหลลื่นแบบที่ทำให้คนไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยดังกล่าวของเขา

ไต้ซือตู้เอ้อร์เอ่ยรับว่า “อืม”

ภิกษุจิ้งซือรูปงามกล่าวขึ้นทันที “เช่นนั้น เขาเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้ายนั่นอย่างไรหรือขอรับ”

ไต้ซือตู้เอ้อร์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผู้บงการเบื้องหลังคดีนี้คือเศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจ ระหว่างจักรพรรดิหยวนจิ่งและท่านโหราจารย์ คนแรกสั่งแต่งานไม่ออกแรง คนหลังมองดูเงียบๆ และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับฆ้องเงินผู้นั้นไม่มากนัก ในเมื่อเขาเป็นคนดี พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เขาลำบาก”

จิ้งเฉินแค่นเสียงเย็นชา “คนต้าฟ่งไม่อาจเชื่อคำพูดได้ พวกเขาผิดสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุใดพวกเราถึงยังผูกมิตรกับพวกเขาอีกเล่า ไม่รู้อรหันต์และโพธิสัตว์คิดอย่างไร”

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในระดับอรหันต์ ไต้ซือตู้เอ้อร์มองศิษย์หลานทั้งสองแล้วกล่าวช้าๆ “เผ่าป่าเถื่อนทางเหนือมีสายเลือดของเทพมาร เชื่อมโยงกับเผ่าปีศาจทางเหนือมานานหลายพันปี ชนเผ่าป่าเถื่อนแถบซินเจียงตอนใต้ก็มีอยู่มากมาย เผ่าพันธุ์กู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเจ็ดแห่งก็เป็นทายาทของเทพมารเช่นกัน สำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือก็มีพ่อมดที่อยู่เหนือระดับขั้นคนหนึ่ง หากคิดจะให้ทั้งจิ่วโจวได้รับแสงแห่งพระธรรม ก็มีแต่ต้องเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งเท่านั้น”

‘เป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งเท่านั้น’…ศิษย์ทั้งสองอย่างจิ้งเฉินและจิ้งซือจับใจความสำคัญจากคำพูดของอาจารย์อาได้

สาเหตุที่สำนักพุทธต้องเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งก็เพราะต้าฟ่งไม่มีตัวตนผู้อยู่เหนือระดับขั้น ทั้งยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมารอีกด้วย

แน่นอนว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ภาคกลางมีผู้อยู่เหนือระดับขั้นคนหนึ่ง เขาคือปราชญ์แห่งลัทธิขงจื๊อ

แต่สมัยนั้นก็ยังไม่มีต้าฟ่ง

พวกเขาถอนความคิดกลับมา จิ้งเฉินเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพวกเราจะทำอะไรต่อหรือขอรับ สืบหาตามรอยสิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นทางต้าฟ่งก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้หรือขอรับ”

ไต้ซือตู้เอ้อร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้ยินมาว่าความขัดแย้งของลัทธิเต๋านิกายสวรรค์และมนุษย์ในช่วงนี้ ทำให้คนในยุทธภพไหลหลั่งเข้ามาในเมืองหลวงมากมาย ราชการจึงได้สร้างสังเวียนสี่แห่งขึ้นในเมืองชั้นนอก พวกเราจะใช้พวกเจ้าให้เป็นประโยชน์ จิ้งซือ เจ้าใช้ร่างกายระดับเพชรไปท้าสู้กับจอมยุทธ์เมืองหลวงเสีย จิ้งเฉิน เจ้าเลือกมาสักสังเวียนแล้วไปท่องคัมภีร์เทศนา ส่วนข้านั้น ในเมื่อมายังต้าฟ่งแล้ว ก็จะไปหาท่านโหราจารย์สักหน”

เมื่อไต้ซือตู้เอ้อร์พูดจบก็เดินออกจากห้องไป เขาทอดมองอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตกแล้วเอ่ยเรียบเรื่อย “ภาคกลางไม่ได้เห็นพลังของสำนักพุทธของเรามานานแล้ว”

ยามกลางคืน สวี่ชีอันและเพื่อนร่วมงานไปที่สำนักสังคีตกัน เจ้าหนุ่มหน้าหนาซ่งถิงเฟิงก็ตามมาด้วยเช่นกัน รวมไปถึง หลี่อวี้ชุน ‘ผู้กล่าวว่าเสียงเตียงของสำนักสังคีตมันไม่มีความเป็นระเบียบ’ และหยางเยี่ยน ‘ผู้มาดื่มสุราเท่านั้น’

ฝูเซียงมีความรักลึกซึ้งต่อสวี่ชีอัน ทุกครั้งที่เขาพาคนมาเที่ยวที่หออิ่งเหมย นางก็มักจะออกมาดีดฉินมอบบทเพลงอย่างให้หน้าเป็นที่ยิ่ง

คณิกาบางคนที่เคยเล่นสนุกกับสวี่ชีอันก็มาร่วมสร้างความครึกครื้นด้วยเช่นกัน ทำให้เจ้าสวี่ผู้ชอบของฟรีมีโอกาสได้ควงหญิงทั้งซ้ายขวา

แต่สวี่ชอบกินฟรีกลับไม่ดีใจเลย ขณะที่คนอื่นดื่มสุรากันอย่างมีความสุข สิ่งที่เขาคิดคือ

บ้าเอ๊ย แค่พูดคุยเล็กๆ ก็ทำให้ข้าเสียเงินตั้งร้อยตำลึงแล้ว

ตัวเขามาที่สำนักสังคีตเพื่อพูดคุยพลอดรักกับเหล่านางคณิกา นั่นเป็นเรื่องของความรู้สึกรักใคร่ ไม่เกี่ยวข้องกับเงินทองอันต่ำต้อย แต่การพาเพื่อนร่วมงานมาดื่มสุรามากมายเช่นนี้ ไม่อาจไม่คิดเงินได้

แม้ว่าฝูเซียงจะยินดีออกเงินเป็น ‘ค่าเงินทุน’ ให้กับเขา แต่สวี่ชีอันนั้นเป็นชายหนุ่มอกสามศอก ไม่หาเศษหาเลยกับชาวบ้าน ไหนเลยจะยอมให้เป็นเช่นนี้ได้

ต่อไปเวลาเชิญใครต้องระวังสักหน่อย โดยเฉพาะในสถานที่ที่คิดถึงแต่เงินทองอย่างสำนักสังคีต…พรุ่งนี้จะลองไปขอค่าชดเชยจากเว่ยกงดู หวังว่าเขาจะเห็นแก่ความซื่อสัตย์จงรักภักดีของข้า และลงชื่อในใบขอค่าชดเชยให้นะ… สวี่ชีอันฝืนยิ้มแล้วยกแก้วขึ้น

“ดื่มๆ ทุกคนอย่าได้เกรงใจข้าเลย คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ”

ดื่มให้เมาจนเหลวให้หมดเลย แบบนี้จะได้ประหยัดเงินค่านอนกับผู้หญิง!

ผลก็คือ ดื่มกันจนถึงค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ทหารกลุ่มนี้ก็จะไม่เมาเละเทะกันเลย สวี่ชีอันทำได้เพียงฉีกยิ้มยินดี ทั้งที่ในใจก่นด่าขอให้งานเลี้ยงสุรานี่จบลงสักที

“เพื่อให้หัวหน้าของข้าได้นอนหลับสนิท คืนนี้ตอนที่ทุกคนจะขยับเตียง จะต้องฟังผู้นำให้ดีนะ ขยับไปตามจังหวะ อย่าออกนอกลู่นอกทาง”

หลี่อวี้ชุน “…”

วันต่อมา สวี่ชีอันก็ขี่ม้าของเอ้อร์หลางกลับไปที่ทำการปกครองอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงห้องทำงาน เขาก็หยิบพู่กันฝนหมึกทันที…จากนั้นก็ให้เจ้าพนักงานเขียนใบขอค่าชดเชย

จำนวนผู้เข้าร่วมงานสังสรรค์ครั้งนี้คือยี่สิบเอ็ดคน

หัวข้อ ‘เพื่อสรรเสริญแด่ราชสำนัก สรรเสริญแด่เว่ยกง’ แต่แท้จริงแล้วเพียงดื่มสุราเคล้านารี

ค่าใช้จ่าย ‘หนึ่งร้อยหกสิบสี่ตำลึง สามเฉียน’

เมื่อเขียนเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็พิจารณาครู่หนึ่ง คิดว่าไหนๆ ฆ้องเงินสวี่ก็เป็นพวกหน้าไม่อาย ดังนั้นจึงให้เจ้าพนักงานนำไปส่งที่หอเฮ่าชี่แทนตัวเอง

ไม่นานเจ้าพนักงานก็กลับเข้ามารายงานว่า “เว่ยกงบอกว่า ท่านไม่ได้เขียนคำร้องด้วยตัวเอง ขาดความจริงใจ”

หือ…นี่หมายความว่าเว่ยเยวียนไม่พอใจ แต่ยินดีจะมอบค่าชดเชยให้ข้า ฮ่า วางใจเถอะเว่ยกง ข้าน้อยจะต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อตอบแทนคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านให้ได้!

สวี่ชีอันเขียนใบคำร้องทันที เขาเป่าให้หมึกแห้งเสร็จก็พับให้เรียบร้อยแล้วให้เจ้าพนักงานเดินไปอีกรอบ

ไม่นานนัก เจ้าพนักงานก็กลับมา คำตอบของเว่ยเยวียนก็คือ ‘ไม่อนุมัติ!’

ล้อกันเล่นเหรอ! สวี่ชีอันโมโหแล้ว เขาเอ่ยถาม “เว่ยกงว่าอย่างไร”

เจ้าพนักงานลังเลอยู่นานแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “หัวเราะเยาะลายมือท่านที่เขียนได้น่าเกลียดเหลือทนขอรับ”

เว่ยเยวียน บัดซบเถอะ… สวี่ชีอันโกรธจนระเบิดเจ้าพนักงานออกไปจากห้อง

หลังจากการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ ต่อไปก็คือเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุด นั่นก็คือการสอบในวังอีกหนึ่งเดือนต่อมา

‘สอบผ่าน’ แค่คำนี้สามารถเขย่าจิตใจผู้คนได้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว

ตั้งแต่ระดับต่ำคือชาวบ้านในชนบท ไปจนถึงระดับสูงคือบรรดาราชนิกุลและขุนนาง ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับการสอบเคอจวี่อย่างยิ่ง

ทว่าในปีหยวนจิ่งที่สามสิบเจ็ดมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นมากมาย อย่างแรกคือความขัดแย้งของลัทธิเต๋านิกายสวรรค์และมนุษย์ที่หกสิบปีจะมีครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจได้มากเท่าการสอบเคอจวี่

ต่อมาคือสมณทูตแดนประจิมมาเยือนเมืองหลวง ซึ่งสร้างความฮือฮาได้อีกครั้ง

วัดพุทธในต้าฟ่งมีอยู่ไม่กี่แห่ง ภิกษุชั้นสูงของสำนักพุทธก็หาได้ยาก แต่ตำนานของยอดฝีมือของสำนักพุทธก็ได้แพร่ไปทั่วทั้งยุทธภพต้าฟ่ง

อะไรคือการกลับชาติมาเกิด อะไรคือการเป็นอมตะหลังความตาย อะไรคือสารีริกธาตุที่ฉีกกฎทั้งมวล และอื่นๆ

ผู้คนจากยุทธภพมีความอยากรู้อย่างรุนแรงต่อศาสนาพุทธ และสมณทูตแดนประจิมก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง วันต่อมา ภิกษุรูปงามรูปหนึ่งก็ขึ้นไปยืนอยู่บนสังเวียนทางทิศใต้

เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง กล่าวว่าต้องการสอนยอดฝีมือชาวยุทธ์ของภาคกลางให้เห็นกระบวนเวทระดับเพชรของสำนักพุทธ

และวันเดียวกันนั้น จอมยุทธ์วีรบุรุษจากยุทธภพหลายคนก็รวมกลุ่มกันเข้าโจมตีเขา แต่ไม่มีสักคนที่สามารถทำลายกายเนื้อระดับเพชรได้ จึงได้แต่ลงจากเวทีไปอย่างเศร้าสร้อย

ทางทิศเหนือที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองทางทิศใต้ก็มีภิกษุชั้นสูงจากแดนประจิมรูปหนึ่งขึ้นไปยืนบนสังเวียน แต่ไม่ได้ท้าทายยอดฝีมือจากต้าฟ่งคนใด เพียงแต่เปิดเทศนาพระธรรม

ชาวบ้านในเมืองต่างพากันไปฟังเทศนาของภิกษุชั้นสูงและราวกับมึนเมาในรสพระธรรม มีคนเสเพลบางคนที่ซึ้งจนร้องไห้ มีอันธพาลที่ซึ้งจนกลับตัวกลับใจ และมีชายหนุ่มผู้ที่ต้องสืบทอดตระกูลเกิดการรู้แจ้ง จนอยากจะออกบวชเพื่อฝึกตน…

พระธรรมต่างๆ ที่กล่าวมาแพร่ไปในเมืองราวกับสิ่งชั่วร้าย ชาวบ้านเริ่มมารวมตัวกันมากมายขึ้นเรื่อยๆ เพื่อฟังเทศนา

เมืองชั้นใน ณ ร้านอาหาร

ลูกค้าชาวยุทธ์สองสามโต๊ะพูดคุยกันถึงชาวพุทธจากแดนประจิม แรกเริ่มเป็นการคุยกันเล็กๆ ระหว่างสองคน แต่ก็เริ่มมีคนมาเข้าร่วมพูดคุยเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาที่มากินอาหารก็ยังมาร่วมพูดคุยด้วย nᴏᴠᴇʟɢu.cᴏm

“นี่ก็สามวันแล้ว ภิกษุน้อยรูปนั้นก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้เลย พวกเจ้าคนในยุทธภพทั้งหลายมิใช่อ้างตนว่าแข็งแกร่งยิ่งใหญ่หรอกหรือ เหตุใดแม้แต่ภิกษุตัวเล็กๆ คนหนึ่งถึงเอาชนะไม่ได้เล่า”

“ชาวบ้านธรรมดาสามัญอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร นั่นใช่ภิกษุน้อยธรรมดาเสียที่ไหน นั่นคือภิกษุชั้นสูงจากแดนประจิมเชียวนะ เขาเป็นคนของสำนักพุทธแดนประจิม แม้จะอายุยังน้อยแต่ก็ไม่ควรประมาท”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สำนักพุทธแดนประจิมช่างแข็งแกร่งเสียจริง เทียบกันแล้ว ต้าฟ่งของเราด้อยอยู่มาก”

“ฮึ มิใช่บอกว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือผู้พิทักษ์เมืองหลวงหรอกหรือ ฆ้องทองคำสิบคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง แล้วเหตุใดถึงไม่เห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออกโรงบ้างล่ะ”

“คนชนบทอย่างพวกเจ้าไม่รู้หรอก หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลโหดร้ายกับการจัดการขุนนาง แต่เป็นกุ้งนิ่มต่อโลกภายนอกน่ะสิ” ชาวบ้านเมืองหลวงคนหนึ่งเอ่ยอย่างดูถูก

กลับมีชาวยุทธ์คนหนึ่งไม่พอใจแล้ว เขาเอ่ยตอบโต้ “ไร้สาระ หลายวันก่อนข้าเห็นฆ้องเงินผู้หนึ่งกับตา เขาแค่ชักดาบออกมาแค่ดาบเดียวก็ทำให้ยอดฝีมือขั้นหกได้รับบาดเจ็บแล้ว”

จากนั้นคำตอบของชาวเมืองหลวงก็ตอบว่า “แต่เมื่อครู่พวกเจ้าเพิ่งพูดไปมิใช่หรอกหรือ ว่าแม้คนจากสำนักพุทธแดนประจิมจะเป็นเด็กก็อย่าได้ประมาท แล้วพวกเจ้าจะหยิบยกจอมยุทธ์แห่งต้าฟ่งมาเทียบกันได้อย่างไร”

“นี่ก็ใช่ จอมยุทธ์อย่างเราร่อนเร่อยู่ในยุทธภพมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงที่ร้ายกาจเท่านี้มาก่อน สีทองงามอร่ามนัก สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือจากแดนประจิม”

บนชั้นสอง คุณชายหลิวถอนสายตากลับมาจากรั้วแล้วเอ่ยพูดอย่างโกรธเคือง “พวกกบในกะลา ท่านอาจารย์ กายเนื้อของภิกษุน้อยรูปนั้นคืออะไรกันขอรับ”

“นั่นคือกระบวนเวทฝึกกายที่มีเฉพาะในสำนักพุทธเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่กระดูกเหล็กผิวทองแดงระดับหกจะเทียบได้” มือกระบี่วัยกลางคนถอนหายใจ

“เทพเจ้าตีกัน พวกเรานั่งดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ จะดีกว่า” หญิงงามเอ่ยยิ้มๆ

คุณชายหลิวไม่ยินยอม เขาจ้องกระบี่ที่ในอนาคตมันจะเป็นของเขา ซึ่งในตอนนี้มันเป็นกระบี่ของอาจารย์ เขากล่าวว่า “อาวุธเทพที่ได้มาจากสำนักโหราจารย์ชิ้นนี้ทำลายกายเนื้อของเขาได้หรือไม่ขอรับ”

มือกระบี่วัยกลางคนหัวเราะ ‘เชอะ’ เป็นการตอบคำถามไร้เดียงสาของศิษย์อย่างดูแคลน

แม่นางหรงหรงผู้แต่งหน้าจัดแต่กลับไม่ได้ดูเย้ายวนขมวดคิ้วเอ่ย

“ช่วงสามวันที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ที่ขึ้นสังเวียนล้วนเป็นคนจากยุทธภพ บางครั้งก็จะเป็นยอดฝีมือจากราชสำนักบ้าง แต่พลังฝึกตนไม่ได้สูงนัก แล้วเหตุใดทหารระดับขั้นสูงจึงไม่ลงมือล่ะเจ้าคะ”

“เจ้าก็บอกนี่แล้วว่าเป็นทหารระดับสูง” หญิงงามวัยกลางคนส่ายหัวกล่าว

“เมื่อวานพวกเราไปดูภิกษุน้อยรูปนั้นมาแล้ว พลังฝึกตนไม่สูง แต่ได้ตำแหน่งไร้พ่ายเพราะกระบวนเวทระดับเพชร และยอดฝีมือระดับสูงย่อมมีความเย่อหยิ่งของตัวเอง ชนะไปก็ไม่ได้อะไร หากทำลายกายเนื้อก็ต้องเสียกำลังไปอย่างมาก…แบบนั้นคงจะน่าอาย”

มือกระบี่วัยกลางคนพยักหน้าแล้วเอ่ยเสริมว่า “ราชสำนักไม่ส่งยอดฝีมือออกโรงก็เพราะมีเหตุผล อีกฝ่ายให้ภิกษุน้อยลงสนาม แต่ราชสำนักกลับกระเหี้ยนกระหือรือส่งยอดฝีมือระดับสูงมากดข่ม แบบนี้ใครขายหน้ากว่ากันล่ะ ต้าฟ่งยิ่งใหญ่ ความอดทนอดกลั้นเช่นนี้ก็ยังต้องมีอยู่”

“ดังนั้นจึงได้แต่ต้องแสร้งเล่นบทคนใบ้หรือ” คุณชายหลิวขมวดคิ้ว

แม้ว่าเขาจะท่องยุทธภพเป็นปกติ ปากด่าว่าขุนนางสุนัขบ้าง จักรพรรดิโง่เง่าบ้าง แต่นี่คือพฤติกรรมของชาวยุทธ์แบบเขา

แต่หากมีคนนอกมาฉีกหน้าต้าฟ่ง คุณชายหลิวก็จะเกิดความรู้สึกเกลียดชังราวกับมีศัตรูเดียวกันขึ้นทันที

“เช่นนั้นก็ต้องดูแล้วว่าต้าฟ่งจะมียอดฝีมือรุ่นเยาว์หรือไม่” มือกระบี่วัยกลางคนดื่มสุรา

ในเวลาเดียวกัน ที่เมืองทิศใต้ ณ ร้านอาหาร

สวี่ชีอันผู้สวมชุดเครื่องแบบฆ้องเงินนั่งอยู่ที่ระเบียงและมองดูการต่อสู้บนสังเวียน ทางซ้ายของเขาคือฉู่หยวนเจิ่น มือกระบี่ผู้สวมชุดเขียวคราม ทางขวาคือเหิงหย่วนผู้เป็น ‘หลู่จื้อเซิน’ ผู้มีร่างกายสูงใหญ่

ตอนนี้ผู้ที่ประมือกับภิกษุจิ้งซือก็คือมือกระบี่หนุ่มชุดขาว ระดับไม่ด้อย อยู่ในขั้นหลอมปราณสูงสุด ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์ที่มาจากสำนักไหน

วิชากระบี่ที่มือกระบี่ชุดขาวผู้นี้ใช้นั้นคาดเดาไม่ได้เลย ล้วนแต่โจมตีโดนจุดสำคัญของภิกษุจิ้งซือทั้งนั้น

ภิกษุน้อยจิ้งซือแทบไม่ขยับ ปล่อยให้กระบี่เหล็กฟันร่างของเขาจนเกิดประกายไป บางครั้งก็เอื้อมมือไปบังที่เป้าและดวงตาด้วยกระบวนท่าน่ากลัว

แม้ว่าร่างกายจะเป็นระดับเพชรไร้พ่าย แต่เสื้อผ้ากลับมิใช่ ยังต้องรักษาสายรัดกางเกงเอาไว้ด้วย

หลังจากร้อยกระบวนท่าผ่านไป จอมยุทธ์หนุ่มชุดขาวก็หมดแรง แต่ไม่มีทางเลือกอื่นต้องเก็บดาบกลับไปแล้วกำหมัดเอ่ย “ยอมรับความพ่าย”

มีเสียงโห่จากผู้ชม และทั้งผู้คนในเมืองหลวงและผู้คนในยุทธภพต่างก็ผิดหวังมาก

“คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่ของกระบี่ผีเสื้อ” สวี่ชีอันกล่าวพลางชี้ไปที่ขอบสังเวียน นั่นคือจอมยุทธ์หญิงรูปงามใบหน้าองอาจผู้หนึ่ง

มือกระบี่ ‘กระบี่ผีเสื้อ’ คือจอมยุทธ์หญิงเลื่องชื่อในยุทธภพแบบเดียวกับพวกแม่นางหรงหรง นางโจรพันหน้า และนักดาบหญิงผู้นั้นที่มาจากสำนักดาบคู่

เป็นผู้หญิงที่มีท่าทางองอาจจนทำให้ผู้คนตาเป็นประกายจริงๆ

เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองไป แล้วเบนสายตาออกมาด้วยท่าทางไม่ได้สนใจอะไรนัก

“ไต้ซือเหิงหย่วน นี่คือกระบวนท่าฝึกกายที่มีเฉพาะในสำนักพุทธแดนประจิม เป็นของระบบฝึกตนจอมยุทธ์ภิกษุ” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว “เจ้าไม่อิจฉาหรือ”

“ย่อมอิจฉาเป็นธรรมดา” เหิงหย่วนตอบ

สวี่ชีอันนั่งฟังอยู่ ในใจก็สั่นเล็กน้อย กระบวนท่าฝึกกายที่ภิกษุน้อยจิ้งซือแสดงออกมาคือกระบวนท่าฝึกกายที่ไม่จำเป็นต้องถูกต้มหรือถูกทุบตี และเปรียบได้กับกระดูกเหล็กผิวทองแดงอย่างนั้นหรือ

“ข้าก็อิจฉาเหมือนกัน” สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย

เหิงหย่วนเหลือบมองเขา “ระดับเพชรไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะฝึกกันได้ และผู้ที่ไม่มีรากฐานของพระธรรมก็ไม่อาจฝึกฝนได้เลย เว้นก็แต่เกิดมาพร้อมรากธรรม”

รากธรรมที่เจ้าว่านี่ มันคือรากจริงๆ อย่างนั้นหรือ…สวี่ชีอันบ่นในใจ

“ภิกษุน้อย ข้ามาประลองกับเจ้า”

ตอนนี้เอง ชายร่างกำยำก็โผล่ออกมาจากฝูงชนและกระโดดขึ้นไปบนสังเวียน

ชายร่างใหญ่คนนี้มีแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งปลั่งอยู่บนร่างกายของเขา ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ผู้ชมที่เมื่อครู่ยังโห่ร้องด้วยความผิดหวังก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ภิกษุน้อยจากแดนประจิมแสดงพลังของเขาในสนามประลองอยู่สามวัน และในที่สุดก็ดึงดูดยอดฝีมือกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้แล้ว

“มีเรื่องสนุกให้รับชมแล้ว” สวี่ชีอันหัวเราะ

พูดไปสายตาของเขาก็กวาดมองฝูงชนแล้วบังเอิญพบ ‘คนรู้จัก’ คนหนึ่ง

นางคือป้าแก่ๆ ผู้สวมกระโปรงผ้าฝ้าย ปักผมด้วยปิ่น แต่งกายเรียบง่าย ร่างกายอวบนิดหน่อย

นางจ้องไปบนสังเวียนตาไม่กะพริบด้วยสีหน้าจริงจัง

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset