📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 219.2

บทที่ 219.2 - ข้าคือขุนนางสวี่ชีอัน
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

“ทหารของอวิ๋นโจวโหดเหี้ยมยิ่งนัก นึกจะทำก็ทำอย่างเอิกเกริก ไม่กลัวตายเอาเสียเลย” หลี่เมี่ยวเจินมือกุมหอกเงินแล้วมองลงไปพร้อมกับเขา

“เมื่อคืนข้ารีบมายังจุดพักม้าเพราะกลัวว่าใต้เท้าผู้ตรวจการจะทำอะไรเกินควร แล้วผลักให้เรื่องไปถึงจุดที่ไม่อาจถอยกลับได้”

สวี่ชีอันพยักหน้า เหตุโจรร้ายในอวิ๋นโจวโกลาหลวุ่นวาย เป็นทหารในอวิ๋นโจวแต่ไม่ดุดันโหดเหี้ยมสิถึงจะแปลก ทหารที่สู้รบมาทั้งปีเต็มเปี่ยมไปด้วยความดุร้าย พวกเขามักจะรู้จักเพียงผู้นำที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตน คนนอกยากจะเข้าไปควบคุม

ไม่เหมือนกับทหารในพื้นที่สงบที่รักตัวกลัวตายเหล่านั้น

“กระบวนทัพเล็กนั่นมาจากกองทัพไหนกัน” สวี่ชีอันถาม

ทหารคุ้มกันผู้บัญชาการที่อยู่ด้านล่างนั้นขึ้นตรงกับเมืองไป๋ตี้ หรือเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าทหารคุ้มกัน ระดับถัดมาก็คือกอง ซึ่งดูจากกระบวนทัพเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ นั่นแล้ว กะได้คร่าวๆ ประมาณสี่ถึงห้าร้อยคน สวี่ชีอันเดาว่านั่นคือ ‘กองทัพ’ ที่ขึ้นตรงต่อระดับอำเภอ

หลี่เมี่ยวเจินพลันกระอักกระอ่วน “กองทัพนางแอ่นเหินของข้าเอง”

เจ้าเป็นนกสองหัว? ในสายตาของสวี่ชีอันที่มองนางนั้นเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ

หลี่เมี่ยวเจินอธิบาย “ข้าเคยคิดจะใช้กองทัพมากดดันจริงๆ นี่เป็นข้อเสียที่ถูกเลี้ยงดูมาในกองทัพของอวิ๋นโจว”

นางโยนหม้อไปให้กับกองทัพอวิ๋นโจวแทน

“เช่นนั้นตอนนี้เราจะทำอย่างไร ออกไปนอกเมืองหรือ” สวี่ชีอันลองถาม

“อืม” หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า

“ข้าไม่ไปได้หรือไม่”

“เจ้าเป็นตัวแทนของใต้เท้าผู้ตรวจการ” หลี่เมี่ยวเจินปรายตามองเขา “ผู้บัญชาการทัพทหารคุ้มกันสวีหู่เฉินเป็นคนอารมณ์ร้อน อีกทั้งยังดื้อแพ่งไม่สนใจใคร ในเมื่อเจ้าคิดจะขจัดความขัดแย้ง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอดทน”

“อาศัยหน้าเจ้าก็ไม่ได้หรือ”

หลี่เมี่ยวเจินแค่นเสียง ‘เฮอะ’ ออกมา “ถ้าข้าไม่ไปกับเจ้าด้วย เขาได้ฟันฆ้องทองแดงอย่างเจ้าตายแน่”

“ฮึ ทหารไม่คุยกันด้วยเหตุผลจริงๆ”

ประตูเมืองเปิดออกเสียงเอี๊ยด หัวหน้ากองพันของทหารป้องกันเมืองส่งทั้งคู่ออกจากเมืองไปแล้วโบกไม้โบกมือ “รักษาตัวด้วย”

สวี่ชีอันนั่งอยู่บนม้าแล้วหันกลับไปมอง “ใต้เท้านายพัน ท่านไปกับพวกเราดีหรือไม่”

หัวหน้ากองพันกล่าว “ตรงนี้ลมแรง ใต้เท้าว่าอย่างไรนะ ข้าน้อยฟังไม่ถนัด…อ้อ ใต้เท้าบอกให้ปิดประตูเมืองหรือ ได้ๆ ต่อให้ตายข้าน้อยก็จะไม่เปิดประตูอีก”

ประตูเมืองค่อยๆ ปิดลง

“….” สวี่ชีอันคิดในใจ ‘กรรมแท้ๆ’

หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ตรงไปหาทหารคุ้มกัน แต่หันหัวม้าไปทางกองทัพนางแอ่นเหินของตนแล้วตะโกนเรียกตัวทหารม้าสิบนาย จากนั้นค่อยเคลื่อนตัวไปหากองทัพทหารคุ้มกันสามพันนาย

“กองทัพนางแอ่นเหินของข้ามีพลังฝึกตนต่ำสุดอยู่ที่ระดับหลอมจิต มีทั้งหมดสี่ร้อยสามสิบเจ็ดคน กองห้ามีระดับหลอมจิตขั้นสูงสุด กองสิบมีระดับหลอมปราณ ส่วนกองร้อยอยู่ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง”

สุ้มเสียงของหลี่เมี่ยวเจินไพเราะแจ่มชัด ทั้งยังเอ่ยแนะนำกองทัพส่วนตัวของตนให้สวี่ชีอันฟังอย่างภาคภูมิใจ

ระดับหกสี่คน ระดับหลอมปราณอีกสี่สิบคน…แม่เจ้าโว้ย ผู้หญิงคนนี้จะน่ากลัวเกินไปแล้ว

สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย “ทหารแบบนี้คงไม่มีในอวิ๋นโจวหรอกกระมัง”

หลี่เมี่ยวเจิน ‘อืม’ แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิ “ทุกคนล้วนแต่ติดตามข้ามาที่อวิ๋นโจวเพราะเห็นแก่หน้าข้า”

หน้าเจ้าใหญ่แค่ไหนกันเนี่ย สวี่ชีอันหันหน้าไปมองทหารหญิงคนงามผูกผมหางม้าสูงและขี่ม้าถือหอกเงิน พร้อมกับต้องประเมินพลังของนางใหม่อีกครั้ง

ภาพจำแรกที่สวี่ชีอันมีต่อนางคือ นางเป็นเทพธิดาของนิกายสวรรค์ รองลงมาคือเป็นจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน แต่ดูจากตอนนี้ ฉายาจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินได้ขึ้นมาอยู่ลำดับแรกเสียแล้ว

บางทีความสัมพันธ์และเส้นสายของหลี่เมี่ยวเจินในยุทธภพอาจจะล้ำลึกกว่าที่เขาจินตนาการก็เป็นได้

คนในพรรคฟ้าดินล้วนแต่เป็นพวกอัจฉริยะ ฆ้องทองแดงตัวเล็กจ้อยอย่างข้าต้องพยายามให้มากหน่อยแล้ว…อืม ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ไว้ก่อน ข้าต้องกลายเป็นลูกชายของเว่ยเยวียนให้ได้…

“แล้วสวีหู่เฉินอยู่ระดับฝึกตนใดหรือ” สวี่ชีอันพลันเอ่ยถาม

“ระดับหลอมวิญญาณขั้นสูงสุด” หลี่เมี่ยวเจินตอบ

“ระดับไม่ค่อยสูงแฮะ” สวี่ชีอันถามอย่างประหลาดใจ

“เว่ยเยวียนเป็นแค่คนธรรมดา แต่ก็ยังบัญชาการสามทัพได้เหมือนกันมิใช่หรือ” หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้าขณะกล่าว “การรบทัพจับศึกนั้นไม่ได้อาศัยความกล้าหาญดุดัน นักรบที่มีตำแหน่งระดับสูงสามารถต่อกรกับหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันคนได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ใช่ว่าจะควบคุมกองทัพหนึ่งพันนายได้ และจากความสามารถของข้า การคุมแค่ห้าร้อยคนก็คือขีดสุดแล้ว แต่สวีหู่เฉินสามารถควบคุมกองทัพตั้งแต่สามพันถึงห้าพันคนได้ หากต้องเผชิญหน้ากันในสนามรบ ข้าคงแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

ความรุนแรงคือสุนทรียศาสตร์ การสู้รบคือศิลปะ เป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หลี่เมี่ยวเจินหยุดอยู่ห่างจากกองทัพทหารคุ้มกันห้าจั้ง แล้วตะโกนบอก “ผู้บัญชาการสวี ออกมาคุยกันหน่อย”

แม่ทัพที่ขี่ม้านำหน้ามาร่างกายสูงแปดฉื่อ ม้าที่เขานั่งอยู่นั้นสูงใหญ่กว่าม้าทั่วไป ในมือถือทวนยาวหนึ่งด้าม

ผู้ที่กล้าใช้ทวนยาว ล้วนเป็นแม่ทัพองอาจกันทั้งสิ้น

สวีหู่เฉินถือทวนยาวไว้ในมือ แววตาคมกริบ กรามสีเขียวเข้มจากการโกนหนวด เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้แก่หลี่เมี่ยวเจิน

“แม่ทัพหลี่ก็มาช่วยใต้เท้าผู้บัญชาการเหมือนกันกับข้าหรือ”

หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า “ใต้เท้าหยางปลอดภัยดีทุกประการ แต่แม่ทัพสวีบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ท่านรู้ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้หรือไม่”

“อย่างมากก็แค่ตาย”

สวีหู่เฉินช่างแข็งทื่อยิ่งนัก เขาเบ้ปากกล่าว “ข้ามีชีวิตได้ก็เพราะใต้เท้าผู้บัญชาการช่วยเอาไว้ เมื่อราชสำนักอยากจัดการเขา ข้าก็จะขอแลกด้วยชีวิต”

จู่ๆ สวี่ชีอันก็ถามขึ้น “พวกเจ้ารู้ข่าวนี้ได้อย่างไร”

สวีหู่เฉินปรายตามองสวี่ชีอันแล้วยิ้มเย็นว่า “ที่แท้ก็เป็นกรงเล็บเหยี่ยว ลูกน้องของเว่ยเยวียนนั่นเอง”

เจ้าจะว่าข้าก็ช่าง แต่ว่าบิดาข้ามันล้ำเส้นแล้ว…สวี่ชีอันดีดนิ้วหัวแม่มือ ดาบยาวสีดำทองที่เอวถูกชักออกมาจากฝักครึ่งชุ่น จากนั้นก็เอ่ยเสียงขรึม

“แม่ทัพสวี อย่าได้ท้าทายอำนาจของราชสำนัก ข้ามาด้วยความจริงใจ หากท่านไม่เห็นคุณค่า เมื่อครู่นี้ข้าสามารถฟันท่านตกม้าได้ในครั้งเดียว”

คำพูดที่หลี่เมี่ยวเจินพูดออกมามากมาย ความจริงมีแค่ความหมายเดียวคือ ‘อย่าใช้เหตุผลกับทหาร’

การใช้เหตุผลเป็นเรื่องของปัญญาชน พวกทหารคุยกันด้วยกำปั้นเท่านั้น หากกำปั้นทรงพลัง เจ้าก็ได้รับความเคารพโนlวลกูดอทคoม

วิธีการของสวี่ชีอันก็คือแสดงพลังยุทธ์ออกมาเพื่อให้ได้ความเคารพ แล้วสั่นสะเทือนเจ้าพวกไม่กลัวตายเหล่านี้เสีย จากนั้นค่อยคุยด้วยเหตุผลดีๆ

สวีหู่เฉินกริ่งเกรงหลี่เมี่ยวเจิน แต่กลับเยาะเย้ยถากถางเขาตรงๆ นี่คือท่าทางไม่ให้ความเคารพ

แต่ให้ฟันคนตรงๆ นั้นย่อมทำไม่ได้แน่ แบบนั้นจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งทวีคูณขึ้นอีก

‘กุบกับๆๆ…’

เขาหันหัวม้าไปทางอื่นเงียบงันไม่ส่งเสียง

สวีหู่เฉินและหลี่เมี่ยวเจิน รวมถึงทหารม้าหลายสิบคนจากกองทัพนางแอ่นเหินมองตามเขาไป

“ฮึ่ม! ข้าจะพบผู้ตรวจการ ฆ้องทองแดงคู่ควรมาคุยกับข้าหรือ” สวีหู่เฉินยิ้มเยาะอย่างหยามเหยียด “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คิดว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงที่ทุกคนจะเกรงกลัวหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรืออย่างไร แม่ทัพหลี่ ตอนนี้ใต้เท้าผู้บัญชาการเป็นอย่างไรกันแน่”

หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้า เพียงมองแผ่นหลังของสวี่ชีอัน

สวีหู่เฉินร้อนรนเล็กน้อย นิสัยของเขาคือใจร้อนโมโหง่าย เขาไม่พอใจยิ่งที่ใต้เท้าผู้ตรวจการหลีกเลี่ยงไม่ยอมพบหน้า แต่กลับส่งฆ้องทองแดงคนหนึ่งมาจัดการกับตน

เขาแทบอยากจะสังหารฆ้องทองแดงคนนี้แล้วพุ่งไปต่อต้านผู้ตรวจการเสียเดี๋ยวนี้เลย

แต่เพราะเห็นแก่หน้าแม่ทัพรับจ้างหลี่เมี่ยวเจิน เขาจึงยอมออกมาพูดด้วย

ตอนนี้เอง ฆ้องทองแดงผู้นั้นก็หยุดชะงัก แล้วหันหน้ามามองสวีหู่เฉิน ใบหน้าแสยะยิ้ม

จากนั้น นิ้วหัวแม่โป้งมือซ้ายก็ดีดขึ้น ชักดาบออกมาจากฝักครึ่งชุ่น มือขวากดด้ามดาบเอาไว้ แล้วสั่งสมพลังอยู่ครู่หนึ่ง….

‘ชิ้ง!’

เสียงชักดาบออกจากฝักดังเสียดหูสะท้อนก้องอยู่กลางอากาศ สายตาของพวกสวีหู่เฉินและกองทัพนับพันเห็นเพียงอากาศบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ราวกับมีอะไรตัดผ่าน

พริบตาต่อมา เสียงดังอื้ออึงก็สะเทือนลั่น พื้นดินแตกเป็นรอยแยก ตั้งแต่ใต้เท้าของสวี่ชีอันเรื่อยมาจนถึงด้านหน้ากองทัพเป็นระยะยาวสิบกว่าจั้ง

ทหารม้าที่อยู่แถวหน้าเกิดโกลาหลขึ้นมาราวกับม้าตกใจ

สวี่หู่เฉินเบิกตาโพลง รู้สึกยากจะเชื่อ ‘นี่เขา…เมื่อกี้เขาสามารถฟันข้าตกม้าได้จริงๆ’

แม่ทัพแข็งแกร่งผู้นำทัพสู้ศึกเกิดความกริ่งเกรงเล็กน้อยขึ้นมาในใจ และยอมรับความจริงใจของสวี่ชีอันแล้ว

หลี่เมี่ยวเจินจ้องสวี่ชีอันอย่างประหลาดใจ สมองมีเครื่องหมายคำถามเป็นชุด

จากการประเมินด้วยสายตาของเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์อย่างนาง ดาบนี้คมกริบเหลือแสน รวดเร็วปานสายฟ้า แม้จะเป็นชาวยุทธ์ที่เพิ่งบรรลุระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหกก็ยังไม่อาจใช้ร่างกายไปรับได้

นี่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ระดับหลอมปราณสามารถฟาดฟันออกมาได้หรือ?

จากนั้นนางก็นึกถึงคำพูดที่หมายเลขหนึ่งเคยว่าไว้ สวี่ชีอันผู้นี้เคยฟันฆ้องเงินคนหนึ่งมาก่อน และฆ้องเงินผู้นั้นก็เป็นยอดฝีมือระดับหลอมวิญญาณ

เขาในเวลานั้นก็สามารถฟันคนข้ามระดับได้แล้ว ส่วนวันนี้ เขาอยู่ที่ระดับครึ่งก้าวสู่ขั้นหลอมวิญญาณ

‘ช่างอัจฉริยะยิ่ง แต่นักบวชเต๋าจินเหลียนกลับไม่คิดเชิญเขาเข้าพรรค แต่ไปเลือกญาติผู้น้องของเขาแทน ญาติผู้น้องผู้นั้นช่าง…น่ากลัวยิ่งนัก’

“โอ้”

เบื้องหลัง เหล่ายอดฝีมือกองทัพนางแอ่นเหินต่างตกตะลึง

‘กุบกับๆๆ…’

ฆ้องทองแดงตัวเล็กผู้นั้นขี่ม้ากลับมา พยายามฝืนร่างกายอันอ่อนล้าของตนแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “แม่ทัพสวี ข้าคือขุนนางสวี่ชีอัน เป็นตัวแทนใต้เท้าผู้ตรวจการมาเจรจากับท่าน”

“…” สวีหู่เฉินเอ่ยเสียงขรึม “ใต้เท้าเชิญกล่าว”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset