📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยายฟรี ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ตอนที่ 198

บทที่ 198 - คำถามของหมายเลขสอง
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

ในยุคสมัยนี้ วิธีการทำผีผาไร้เมล็ดนั้นเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาลับทีเดียว

แต่สำหรับสวี่ชีอันที่ได้รับการเรียนการสอนเรื่องชีววิทยามาเป็นอย่างดี นี่จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น เขาถึงขนาดรู้ด้วยว่าต้นไม้ที่น่าสงสารนั้นต้องการสืบเชื้อสายต่อไป มันจึงเชิญผึ้งข้างบ้านมาช่วยสืบพันธุ์

ทุกคนในที่นั้นพลันเงียบงันแข็งทื่อ คำพูดของสวี่ชีอันทำให้ขุนนางทั้งหมดตั้งตัวไม่ทัน รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้จักวิธีการเพาะผีผาไร้เมล็ด ช่างทำให้คนตบโต๊ะชมเปาะได้เสียจริง

ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยทำให้หมดคำพูด

หลี่เมี่ยวเจินเบิกตาคู่งามแล้วเริ่มพิจารณาฆ้องทองแดงเล็กๆ คนนี้อีกครั้ง นางรู้สึกว่าตนอาจเดาผิด บางทีฆ้องทองแดงคนนี้อาจจะเป็นพวกบ้ากามที่มีสุราเต็มท้อง แต่เขาไม่ใช่พวกขี้เมาหยำเปและจะต้องมีความสามารถอยู่บ้างแน่นอน

‘…ถูกผู้ตรวจการจางจัดให้มานั่งที่โต๊ะเจ้าภาพได้ ดูแล้วคงจะเก่งพอตัว’ หลี่เมี่ยวเจินเก็บงำความดูถูกของตน ตระหนักได้ทันทีว่าตนประเมินเขาต่ำเกินไป

ฆ้องเงินและฆ้องทองแดงที่เหลือถูกจัดไว้ที่โต๊ะตัวอื่น แล้วเหตุใดเจ้าคนผู้นี้ถึงสามารถนั่งอยู่ข้างกายผู้ตรวจการจางได้

ใช้คำว่า ‘เก่งพอตัว’ เฉยๆ มาอธิบายไม่ได้เลย เช่นนั้นฆ้องเงินกับฆ้องทองแดงคนอื่นๆ ไม่ใช่อัจฉริยะหรืออย่างไร

‘ฮ่า ยกหินขึ้นมาแต่หินกลับทับขาตัวเอง’ หลี่เมี่ยวเจินยิ้มเย็นอย่างยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น นางมีความสุขยิ่งที่เห็นสมุหเทศาภิบาลซ่งต้องขายหน้า

แม้ว่าสมุหเทศาภิบาลซ่งจะฝึกฝนศาสตร์แห่ง ‘แวดวงขุนนาง’ มาจนเชี่ยวชาญแล้ว แต่ความอับอายในใจก็ยังพลุ่งพล่าน คำพูดอวดอ้างทั้งหลายเมื่อครู่ ทั้งพรจากไป๋ตี้ และทั้งผลจากควันธูป สุดท้ายล้วนถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้ตรวจการจางและทุกคน

“หนิงเยี่ยน เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ เดี๋ยวสมุหเทศาภิบาลซ่งก็อธิบายให้ข้าฟังเอง เจ้าจะสอดปากเพื่อการใด” ผู้ตรวจการจางเอ่ยตำหนิ

เผินๆ เขาเหมือนจะตำหนิสวี่ชีอัน แต่ความจริงแอบเสียดสีสมุหเทศาภิบาลซ่งด้วยคำพูดแบบน้ำผึ้งอาบยาพิษ

“…ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือขอรับ” เพราะใต้เท้าผู้ตรวจการเข้ามาขัดจังหวะ ในที่สุดใต้เท้าสมุหเทศาภิบาลก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้และเอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี

“ข้าน้อยแซ่สวี่ นามชีอัน ชื่อรองหนิงเยี่ยนขอรับ” สวี่ชีอันตอบ

“เจ้านี่มีพรสวรรค์มากเลยนะ” ผู้ตรวจการจางลูบหนวดเครา หัวเราะหึๆ แล้วยกยอสวี่ชีอัน

อย่างที่คิด ขุนนางทุกคนเบนสายตาไปมองที่เขาอีกครั้งแล้วพิจารณาถึงฐานะและตำแหน่งในคณะผู้ตรวจการของฆ้องทองแดงผู้นี้

‘ที่แท้เขาก็ชื่อสวี่ชีอัน…เอ ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก’ หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดว่าสวี่ชีอันคือใคร นางจำได้ว่าหมายเลขสามเคยพูดถึงคนผู้นี้มาก่อน ทั้งยังยกย่องชื่นชมอีกด้วย

‘เขานั่นเอง…ได้รับความสำคัญจากหมายเลขสาม ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ’

สมุหเทศาภิบาลซ่งกำจัดความกระอักกระอ่วนได้แล้ว เขาก็แนะนำพื้นเพความเป็นอยู่ของคนในอวิ๋นโจวไปเรื่อยเปื่อย และปิดปากไม่พูดถึงเรื่องผีผาอีก เป็นการพิสูจน์ว่าเขายังคงขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย

เมื่อผู้ตรวจการจางกินดื่มจนเย็นย่ำ งานเลี้ยงตอนเย็นก็จบลงโดยปราศจากอาการเมามายและไม่มีข้อเสนอไร้หัวคิดว่าให้ไปหาความสำราญต่อที่สำนักสังคีต มิเช่นนั้นซ่งถิงเฟิงคงดีใจจนเนื้อเต้นทีเดียว

งานเลี้ยงยามเย็นประเภทนี้แต่กลับไม่มีพฤติกรรมสำมะเลเทเมา ราวกับว่าเหล่าขุนนางข้าราชสำนักทั้งหลายแทบจะไม่เคยไปสำนักสังคีตอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อคนคนหนึ่งมีตำแหน่งขึ้นมา สถานะก็จะบังคับให้ต้องเห็นแก่ภาพลักษณ์ของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นคนละโมบโลภมาก แต่ภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาต้องเป็นคนเที่ยงตรงมีคุณธรรม

ตัวอย่างเช่นสวี่ชีอัน ตอนนี้เขายังสามารถกินฟรีได้เท่าที่ต้องการเพราะยังหนุ่มยังแน่น สถานะค่อนข้างต่ำ แต่เมื่อใดที่วันหนึ่งเขามีตำแหน่งสูงขึ้นและมากอำนาจ เขาก็ต้องจ่ายเงิน…

เมื่อออกจากจวน ผู้ตรวจการจางและขุนนางทั้งหลายก็เอ่ยร่ำลากันด้านนอก จากนั้นก็ขึ้นรถม้าจากไป

หลังจากรถม้าแล่นมาได้พักหนึ่ง ผู้ตรวจการก็เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วเอ่ยชมว่า “หนิงเยี่ยน ทำดีมาก”

สวี่ชีอันรู้ดีว่าเขาหมายถึงเรื่องผลผีผาไร้เมล็ด จึงกล่าวว่า “เรื่องเล็กขอรับ”

ผู้ตรวจการจางทำเสียง ‘จิ๊จ๊ะ’ ขณะพูดคุยกันนั้น น้ำเสียงก็ไหลไปตามอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีฐานะขุนนางค้ำคออีกต่อไป “แม้แต่เรื่องทำสวนทำไร่เจ้าก็รู้ด้วยหรือ”

สวี่ชีอันยังไม่ทันตอบ เจียงลวี่จงที่อยู่ด้านหน้าก็เอ่ยแทรกพร้อมรอยยิ้ม “เขาถึงขั้นรู้เรื่องการเล่นแร่แปรธาตุ เก่งกาจไม่ด้อยไปกว่าพวกชุดขาวของสำนักโหราจารย์เลยนะขอรับ”

เจ้าเอ่ยแทนข้าไปแล้ว แล้วจะให้ข้าอวดอะไรได้อีก สวี่ชีอันออกปากแก้ “ผิดแล้ว คนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ต้องยกให้ข้าเป็นกึ่งๆ อาจารย์ต่างหากขอรับ”

ทั้งสามหัวเราะลั่น

สวี่ชีอันถือโอกาสเอ่ยถาม “วันนี้เหตุใดใต้เท้าจึงอารมณ์ดีเช่นนี้ล่ะขอรับ”

ผู้ตรวจการจางหันกลับไปมองจวนที่อยู่ไกลตาแล้วเอ่ยเสียงเบา “อวิ๋นโจวแห่งนี้ถูกครอบงำโดยสมุหเทศาภิบาลซ่งผู้นั้น เขาไม่ถูกกับหยางชวนหนาน”

สวี่ชีอันนึกย้อน “หยางชวนหนานผู้นั้นออกจะเย็นชาสักหน่อยจริงๆ ขอรับ…แต่ไม่ว่ากับใครเขาก็เย็นชาหมดนั่นแหละ”

ผู้ตรวจการจางยิ้มเย็นพลางกล่าว “นี่จึงอธิบายได้ว่าคนส่วนใหญ่ในวงขุนนางเมืองอวิ๋นโจวมีแซ่ซ่ง”

“ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะด้วย”

“ในบรรดาสามสำนัก ผู้บัญชาการจะมีอำนาจมากที่สุด แต่เมื่อครู่คนที่ต้อนรับข้ากลับเป็นสมุหเทศาภิบาลซ่ง แม้ว่าการที่สมุหเทศาภิบาลออกหน้าในสถานการณ์แบบนี้จะเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่เจ้าลองคิดดีๆ คนที่เขาแนะนำให้ข้ารู้จักแรกๆ ก็คือสำนักตุลาการความมั่นคง ไม่ใช่ผู้บัญชาการ เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

“ข้าสังเกตเห็นในงานเลี้ยง ส่วนใหญ่หยางชวนหนานจะนิ่งเงียบ สมุหเทศาภิบาลต่างหากที่เหมือนเป็นเจ้าภาพ อืม นี่เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากในวงขุนนาง ไม่ควรก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของคนอื่น” ผู้ตรวจการจางกล่าวยิ้มๆ

“หนิงเยี่ยน เรียนรู้ไว้”

“ข้าเป็นทหารจะเรียนเรื่องพวกนี้ทำไมขอรับ” แต่สวี่ชีอันก็แอบจำไว้

“อีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็เข้าใจจริงๆ แล้ว” ผู้ตรวจการจางเอ่ย “รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดคนแซ่ซ่งถึงจะมอบผีผาให้ในงานเลี้ยง”

เล่นละครไงล่ะ…สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไม่รู้ขอรับ”

“คนที่มีใจอยากรู้ก็คงจะซักไซ้ แต่นี่เขาวางเฉย นับว่าเป็นการตัดไม้ข่มนามข้าอย่างพอหอมปากหอมคอ” ผู้ตรวจการจางยิ้มเย็น “ทั้งยังส่งสัญญาณลับให้ข้าว่า หากกำจัดไปหนึ่งคน อวิ๋นโจวก็จะสงบสุข เหมือนกับผีผาผลนั้น”

กำจัดใครนั้น ไม่บอกก็รู้

พวกท่านนี่จะเป็นขุนนางกันให้ถึงที่สุดเชียวหรือ…วันๆ ก็รู้จักแต่ใช้กลอุบายต่อสู้กัน… สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้วเพราะความปวดหัว

เว่ยกงพูดถูกต้อง ข้าไม่เหมาะสมกับแวดวงขุนนางจริงๆ จิตใจของคนนั้นมีขีดจำกัด ครึ่งหนึ่งมอบให้ฝูเซียง ครึ่งหนึ่งเหลือให้กับการฝึกตน

ไม่มีแรงใจมากพอจะเข้าไปเกลือกกลั้วกับวงการขุนนางหรอก

ท่าทางปวดหัวของสวี่ชีอันทำให้ผู้ตรวจการจางหัวเราะอย่างมีความสุข จิตใจสงบลงได้ทันที

“ใต้เท้าผู้ตรวจการขอรับ ถ้าเช่นนั้นพวกเรามาเล่นทายอักษรสักหน่อยดีไหมขอรับ” สวี่ชีอันยิ้มกรุ้มกริ่ม

ผู้ตรวจการจางคิดจะปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว แต่รู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นปัญญาชนของตนจะถูกเย้ยหยัน จึงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าว่ามา”

“สตรีคลอดบุตร มีสี่พยางค์” สวี่ชีอันยิ้มตาหยี

สีหน้าของผู้ตรวจการจางค่อยๆ แข็งทื่อ ค่อยๆ งุนงง แล้วก็ค่อยๆ โกรธเกรี้ยวเพราะจนปัญญา…จากนั้นก็ปล่อยม่านหน้าต่างรถลง

“ฮ่าๆๆ” เจียงลวี่จงและสวี่ชีอันหัวเราะพร้อมกัน

“ฮึ่ม!” ผู้ตรวจการจางแค่นเสียงเย็นดังมาจากในรถม้า

อีกด้านหนึ่ง ผู้บัญชาการหยางชวนหนานก็เข้าไปในรถม้า เพิ่งจะปล่อยม่านลงก็ถูกเปิดม่านขึ้นอีกครั้ง หลี่เมี่ยวเจินผู้มัดผมหางม้าสูงและมีท่าทางแบบวีรสตรีห้าวหาญขึ้นมาบนรถม้า

“สายตาทุกคนมองอยู่ เจ้าเข้ามาในรถม้าของข้าเช่นนี้ไม่กลัวชื่อเสียงเสียหายหรือ” หยางชวนหนานขมวดคิ้วกล่าว

“สตรีในยุทธภพไม่สนใจเรื่องพวกนี้” หลี่เมี่ยวเจินโบกมือ “ข้ามาไถ่ถามถึงสถานการณ์ของเจ้า ผู้ตรวจการคนนั้นดูท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้ตำแหน่งมาง่ายๆ เจ้าอยากใช้เงินติดสินบนดูหรือไม่”

นางรู้กฎของวงการราชการของต้าฟ่งดี เงินถึงก็คือสหาย ถ้าไม่มีเงิน แม้แต่พี่น้องท้องเดียวกันก็ไม่แยแส

“มอบเงินให้ฝ่ายตรวจสอบ กลัวจะตายช้าหรือไง” หยางชวนหนานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “แต่ถ้าวางแผนสังหารพวกมันให้ตายอยู่ที่อวิ๋นโจวก็ไม่เลวเหมือนกัน”

หลี่เมี่ยวเจินกลอกตา “เจ้าคิดว่าใต้เท้าผู้ตรวจการคนนั้นเป็นอย่างไร”

“กลางๆ” หยางชวนหนานประเมินnᴏᴠᴇʟɢu.ᴄoᴍ

“ก็ดีสิ ยิ่งเขาไร้ความสามารถมากเท่าไหร่เจ้าก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวยิ้มๆ

“กลางๆ ไม่ได้แปลว่าธรรมดา” หยางชวนหนานส่ายหน้า “ผู้ที่ไม่เผยเขี้ยวเล็บนั้นอันตรายที่สุด ไม่แน่เจ้าตัวอาจลอบสะสมพลังเอาไว้แล้วโจมตีข้าให้ถึงตายในคราวเดียวก็ได้”

เงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยต่อ “ฆ้องทองแดงคนนั้นก็ต้องจับตาดูเช่นกัน”

หลี่เมี่ยวเจินที่รู้อยู่แล้วว่าสวี่ชีอันไม่ธรรมดาก็เลิกคิ้วงามขึ้น “เจ้าเห็นอะไรหรือ”

ล้อรถหมุนขลุกขลัก หยางชวนหนานเลิกผ้าม่านที่แกว่งไกวขึ้น ก่อนมองไปยังค่ำคืนด้านนอกแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ดาบพกของเขาแตกต่างจากของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ แต่กลับเป็นดาบเหมือนกัน ไม่ใช่อาวุธอื่น ตามที่ข้ารู้มา ดาบพกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะได้มาจากสำนักโหราจารย์และอยู่ในหมวดกึ่งอาวุธเวทมนตร์ ดังนั้นจึงมีคำอธิบายเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ดาบของคนผู้นั้นเป็นอาวุธเวทมนตร์ชิ้นหนึ่ง”

หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า “และผู้ที่สามารถใช้อาวุธเวทมนตร์ได้นั้น หากไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งฐานะพิเศษ ก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับสำนักโหราจารย์ทีเดียว”

“ท่าทีของเขาก็ประหลาด ข้าสังเกตดูแล้ว แม้ตอนที่ไม่ได้พูดจาเถรตรงอ่อนน้อมอย่างยิ่งยวด แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นผู้ตรวจการจางก็ดี หรือสมุหเทศาภิบาลซ่งก็ดี เขาล้วนแต่ไม่ให้ความเคารพกับใครเป็นพิเศษก็เข้าใจได้ว่าเป็นความเย่อหยิ่งตามประสานักรบ แต่ขนาดอยู่แค่ระดับหลอมปราณยังโอหังเช่นนี้ ช่างหายากมากจริงๆ”

ส่วนเจียงลวี่จงผู้เป็นฆ้องทองคำขั้นสี่กลับไม่มีอะไรให้น่าพูดถึง จะรู้สึกหวาดกลัวก็ไม่ใช่เรื่องผิด

เมื่อกลับมาถึงโรงพักม้า สวี่ชีอันที่ต้องฝึกตนเพื่อบรรลุเป็นเซียนต่อไปก็นั่งเขียนรหัสลับสองชุดที่โจวหมินทิ้งไว้อยู่บนกระดาษเซวียนจื่อ

สุดท้ายก็ต้องเป็นข้าที่แบกทุกอย่างเอาไว้คนเดียว…การเลื่อนขั้นระดับหลอมวิญญาณแบบอดหลับอดนอนเช่นนี้ ถ้าไปอยู่ในยุคสมัยของข้าคงจะฮิตระเบิดระเบ้อแน่นอน…พวกโอตาคุก็คงจะเล่นเกมจนกว่าชั่วฟ้าดินสลาย เล่นเกมจนผมหงอกล้านโล่ง เล่นจนแฟนสาวเกิดเงาดำขึ้นในใจ…อ้อ พวกเขาไม่มีแฟนนี่หว่า งั้นก็แล้วไป

“เหล่าเจียงเคยบอกว่าการเลื่อนขั้นแต่ละระดับของทหารนั้น ขั้นสุดท้ายจะกลายเป็นสายการฝึกที่น่ากลัวประหนึ่งเทพมารปีศาจ…ระดับหลอมจิตและระดับหลอมปราณก็เหมือนเป็นภาพยนตร์จอมยุทธ์ที่ข้าเคยดูในชาติก่อน แถมยังเป็นจอมยุทธ์ระดับต่ำต้อย…ส่วนระดับขั้นต่อจากระดับหลอมวิญญาณก็จะยกระดับขึ้นไปกว่านี้…ระดับหลอมปราณยังต้องกินข้าวต้องนอนหลับ สงสัยว่าระดับหลอมวิญญาณคงจะไม่ได้กินไม่ได้นอนเป็นเวลานานแน่ๆ…นี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว”

การคาดเดาของสวี่ชีอันนั้นมีเหตุผลอยู่ การฝึกฝนร่างกายของระดับหลอมจิตทำให้ทหารสามารถต่อสู้อย่างรุนแรงได้ ส่วนระดับหลอมวิญญาณจะหลอมรวมจิตเดิม วิธีการเลื่อนขั้นคือต้องทำงานหนักโดยไม่พักผ่อน

เมื่อเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณได้อย่างราบรื่น กายเนื้อและจิตเดิมจะสามารถทำงานอย่างหนักหนาสาหัสได้เป็นเวลานานโดยไม่ต้องหลับนอนและไม่พักผ่อน

แต่ละสายการฝึกตนทั้งหลายซึ่งรวมไปถึงสายการฝึกยุทธ์ ล้วนเป็นแบบหมุนเวียนและค่อยเป็นค่อยไป แต่ละระดับจะเป็นการวางรากฐานให้แก่ระดับถัดไป

ตัวอย่างเช่นสายการฝึกโหร ระดับหมอเป็นการปูทางสำหรับการมองปราณ และการมองปราณก็เป็นพื้นฐานของปรมาจารย์ฮวงจุ้ย ส่วนขั้นกว่าของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยก็คือปรมาจารย์ค่ายกล

มีความเป็นตรรกะสูงมาก ทำให้รู้สึกว่าไม่เพ้อฝันและเป็นการเลื่อนขั้นแบบเท้าเหยียบอยู่บนความเป็นจริง

ความคิดของเขากลับมาสู่คดีความอีกครั้ง รหัสลับไม่ใช่ของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล น่าจะเป็นสิ่งที่โจวหมินสร้างขึ้นเอง…อย่างนั้นก็เป็นเรื่องแล้ว ใครเขาจะเดาออกล่ะ ความยากพอๆ กับรหัสลับที่ข้าทิ้งไว้ว่า ‘ใบไม้แห้งริสะอ่อนบาง ดอกไม้ร่วงอามามิ[1]เต็มฟ้า’ อย่างนั้นเลย

หาให้ทั่วจิ่วโจวไปเถอะ บนโลกนี้ไม่มีใครแก้ได้หรอก

“วันนี้คิดบ่อยเกินไปแล้ว เปลืองพลังงานเซลล์สมองหนักมาก แต่จะนอนก็ไม่ได้อีก น่าเบื่อจริง…ถ้าฝูเซียงอยู่ก็ดีน่ะสิ พวกเราสามารถทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจได้อย่างมีความสุข…แต่ข้าคงได้นอนสลบไสลอยู่บนผิวเนื้อขาวละมุนของนางแน่…”

ตอนนี้เอง จู่ๆ ใจเขาก็สั่นไหวขึ้นมาจนเกือบจะหัวใจวายตาย

เขารีบสูดหายใจ จากนั้นก็คลำเอาชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอน เตรียมก่นด่าไอ้หน้าโง่ที่ส่งข้อความตอนกลางค่ำกลางคืนพร้อมความโกรธเต็มท้อง เขาจ้องหน้ากระจกเขม็ง

‘สอง: หมายเลขสาม ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเจ้า เจ้าสามารถยื่นเงื่อนไขมาแลกเปลี่ยนได้’

หมายเลขสอง ทหารหญิงคนนั้นหรือ ข้ากำลังกังวลอยู่เชียวว่าจะไม่มีโอกาสตรวจสอบ…สวี่ชีอันใช้นิ้วต่างปากกา ใส่ข้อความไปว่า ‘อ้อ ข้าขอฟังคำถามของเจ้าก่อน’

…………………………………………

[1] ริสะ อามามิ เป็นชื่อของนางเอก AV ชาวญี่ปุ่น เป็นกลอนลับที่แฝงชื่อของนางเอกเอาไว้

Facebook Twitter Telegram Pinterest
ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Nightwatcher, Dafeng's Night Squad, Great Feng's Nightwatchers The Nightwatchers of Feng 大奉打更人, วิถียุทธ์คนเคาะยามแห่งต้าเฟิ่ง(siaminter), Guardians Of The Dafeng(ซีรีส์)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Ongoing ประเภท: , ผู้แต่ง: , , ต้นฉบับ: 951 Chapters (จบแล้ว)
สวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน….. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset