“ใครให้แกพาผู้หญิงคนนี้เข้าบ้าน”
“คุณคะ” ผู้เป็นภรรยาจ้องสามีตาเขม็ง
“คุณจะไม่ให้ผมพูดได้ยังไง ก็ผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงคนนี้มาเป็นสมาชิกในบ้าน” เพราะพ่อนิสัยแบบนี้นอร์เวย์ถึงได้ไม่กลับบ้านตอนที่เขาขัดใจพ่อ ยังมาซ้ำรอยเซอร์เวย์อีกคน ส่วนรันเวย์น่ะเหรอ ที่ไม่เข้าบ้านเพราะเหตุผลเดียวกันเป๊ะ
“ปุ” ปลาบปลื้มตกใจกับคำพูดของปู่ คิดว่าคนเป็นปู่ว่าให้ตัวเอง
“ปู่ไม่ได้ว่าให้ปลื้มสักหน่อยลูก มีแต่ปลื้มนี่แหละที่เห็นใจปู่”
ไอยวริญทำใจไว้แล้วว่าจะเจออะไรที่บ้านของเขาบ้าง แต่ที่เธอไม่ได้ทำใจก็เพราะเรื่องเด็กคนนี้ ตกลงเขาเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือว่ามีภรรยาอยู่แล้ว อย่างหลังคงไม่ใช่ถ้ามีภรรยาเขาจะพาเธอเข้าบ้านทำไม
“แม่ว่าพาน้องขึ้นไปข้างบนก่อน” อมรรัตน์มองไปเห็นรอยจ้ำที่ริมฝีปากและซอกคอของแฟนลูกชาย กลัวว่าสามีจะเห็นแล้วนำมาพูดให้ผู้หญิงเขาอาย
“ครับ” เซอร์เวย์ส่งปลาบปลื้มให้กับคุณย่าแล้วก็พาเธอขึ้นบ้าน
“ป้อ” ปลาบปลื้มร้องตามคุณลุงไป ใบหน้าของเซอร์เวย์และนอร์เวย์ไม่ได้ต่างกันมาก แต่ปลาบปลื้มก็รู้แหละว่าทั้งสองไม่ใช่คนคนเดียวกัน เวลาเรียกลุงทีไรเขาจะชอบเรียกพ่อ
“วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่หนูไม่ได้มาครับ หนูนอนกับย่านะครับ” ประโยคที่อมรรัตน์คุยกับหลาน ไอยวริญไม่ได้ยินแล้ว เพราะตอนนี้เธอขึ้นไปถึงชั้นสอง
“เข้ามาสิ”
“ค่ะ” หญิงสาวเดินตามเข้าไปในห้องนอนอันกว้างขวาง
“เตรียมตัวด้วย เดี๋ยวอีกสักครู่ผมจะพาลงไปทานข้าวร่วมกับครอบครัว”
“คุณหมอคะ” หญิงสาวอายที่จะพูดแต่ก็ต้องพูดกับเขาก่อน
“มีอะไร”
“คือว่า” มือเรียวยกขึ้นมาลูบต้นคอตัวเองเล็กน้อย เพื่อให้เขาเห็นว่ามันมีรอยที่เขาทำไว้เมื่อคืนนี้
“ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ”
“ปล่อยไว้แบบนี้?” หรือว่าเขาจะจงใจ นี่เขาจงใจให้มันมีรอยเหรอ?
ทั้งสองขึ้นมาเพียงไม่นานแม่บ้านก็มาตามลงไปทานข้าว
“แล้วคุณพ่อล่ะครับ”
“พ่อบอกว่าไม่หิว ก็เลยตามตาปลื้มขึ้นไปที่ห้องของหลานแล้ว..อย่าสนใจเลยนะหนู” อมรรัตน์หันมาพูดกับหญิงสาวที่เอาแต่นั่งเงียบ
“ค่ะ”
“ถ้ารักชอบกันก็ตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว” พอคุยกับฝ่ายหญิงแล้วนางก็หันไปพูดกับลูกชาย
“แอะ” ชายหนุ่มที่เพิ่งจะเอาอาหารเข้าไปในปากเกือบสำลักออกมา
“เราก็อายุมากแล้ว แม่ว่าได้เวลาที่จะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วล่ะ ไม่ต้องไปสนใจพ่อ”
“ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นครับแม่” เขาไม่หันมามองเธอเลยด้วยซ้ำ
“ไม่ได้คิดเรื่องนั้น หมายความว่ายังไง”
“เออ..ไม่ใช่ไม่คิดหรอกครับแม่ แต่อายยังไม่พร้อมนี่สิครับ” ชายหนุ่มเอื้อมไปตักอาหารแล้ววางใส่จานข้าวให้กับเธอเหมือนคู่รัก
“หนูชื่ออายเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ”
“ชื่อก็น่ารัก คนก็น่ารัก”
“ขอบพระคุณมากค่ะ” หญิงสาวยกมือขึ้นมาไหว้
“หนูยังไม่อยากแต่งงานเหรอ”
“เรื่องนั้น..”
“หนูพูดมาได้เลยนะลูก อยู่ด้วยกันขนาดนั้นแล้ว”
“คือ อาย”
แพทย์หญิงอมรรัตน์อยากให้ลูกชายเป็นหลักเป็นฐานสักที ถ้าแต่งงานไปสามีจะได้ไม่ต้องไปยุ่งยากกับเรื่องของลูกๆ อีก
“เรื่องสินสอดทองหมั้น แม่จะจัดแบบไม่ให้หนูน้อยหน้าใครเลย”
อึก! เซอร์เวย์ตกใจอีกครั้ง อะไรของแม่เนี่ย เพิ่งเคยพาผู้หญิงเข้าบ้านครั้งแรกก็จะมาคุยเรื่องแต่งงานแล้ว
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” ดวงตางามกรอกไปมองเขาเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีน่ะสิ เรื่องแม่ของเธอจะได้ง่ายขึ้น
แต่สายตาของอีกคนที่มองมา ไม่ชอบใจนัก เพราะเขาไม่ได้คิดจะให้ไปถึงเรื่องแต่งงาน
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่เลยแล้วกัน..แล้วครอบครัวของเราว่ายังไงบ้าง”
“ครอบครัวหรือคะ ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”
“ผมอิ่มแล้วครับ คุณอิ่มหรือยัง” ชายหนุ่มรีบหยุดทั้งสองคนไว้ก่อนที่จะพูดเรื่องแต่งงานไปมากกว่านี้
“น้องยังไม่ได้กินเลยจะอิ่มได้ยังไง”
ก่อนที่จะไม่ได้กินข้าว ไอยวริญก็เลยต้องรีบตักใส่ปากแล้วเคี้ยว
“ใครอนุญาตให้คุณพูดเรื่องนี้กับแม่ผม” ประโยคแรกที่เซอร์เวย์พูดกับเธอเมื่อขึ้นมาถึงบนห้องนอน
“ผู้ใหญ่พูดด้วยคุณจะให้ฉันเงียบเหรอคะ”
“ใช่..คุณทำแค่เงียบก็พอแล้ว”
“ขอโทษค่ะ”
“มาขอโทษตอนนี้แล้วมันจะทันไหม” แล้วเขาจะทำยังไงเนี่ย แม่ของเขายิ่งเป็นประเภทถ้าได้พูดอะไรแล้วก็จะรีบจัดการ
ไอยวริญคิดว่ายังไงชีวิตของเธอก็ไม่มีทางเดินไปไหนอีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ก็ดีสิ ถึงแม้มันจะเป็นการเห็นแก่ตัว เพราะไม่ต่างจากการมัดมือชก เธอก็ไม่แคร์อยู่แล้ว ขอแค่ให้แม่มีชีวิตรอดต่อไป เพราะถึงแม้การผ่าตัดนี้จะผ่านไปด้วยดี แม่ของเธอก็ต้องได้อยู่ในความดูแลของหมอ อาจจะตลอดชีวิตเลยก็ได้ เรื่องนี้เธอรู้ดีเพราะเธอเคยเรียนมา
ไอยวริญอาบน้ำออกมาก็เห็นว่าเขานอนอยู่ที่โซฟา
“โซฟานอนไม่สบายทำไมคุณไม่มานอนที่เตียงล่ะคะ เดี๋ยวฉันไปนอนโซฟาเอง”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรด้วย แถมเขายังนอนหันหลังให้
เช้าวันต่อมา..
“วันหลังมาค้างที่บ้านเราอีกนะลูก พาแฟนมาด้วย”
“ครับ”
“อายกลับก่อนนะคะคุณแม่” หญิงสาวพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้
“พรุ่งนี้แม่ว่าง เดี๋ยวแม่เข้าไปหานะ”
“คุณแม่จะเข้าไปทำไมครับ”
“ดูแฟนเราสิไม่มีเครื่องประดับเลย เดี๋ยวแม่จะดูของหมั้นไว้ด้วย”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะหยุดแม่ พ่อก็เดินอุ้มปลาบปลื้มออกมาพอดี
“ขอบคุณมากครับแม่ แต่เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจัดการเองก็ได้”
“เมื่อไรเราจะว่างจัดการล่ะ เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแม่ดีกว่า หนูคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมจ๊ะ” พอพูดกับลูกชายจบนางก็หันไปพูดกับว่าที่ลูกสะใภ้บ้าง
“คุณแม่น่ารักจังเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานแบบปิติยินดี แต่ในใจก็เต้นแรงเพราะคิดว่าถ้าอยู่กันสองต่อสองต้องถูกเขาตำหนิยกใหญ่แน่
..บนรถ..
ผิดความคาดหมายมาก ถ้าเขาตำหนิสักนิดเธอจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่เขาเล่นนิ่งเงียบมาจนถึงโรงพยาบาล
“ฉันขึ้นไปข้างบนก่อนนะคะ” หญิงสาวหันไปพูดด้วยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ชายหนุ่มลงจากรถแล้วเดินตรงเข้าไปก่อน
ไอยวริญรีบสาวเท้าเดินตามไปจนทันเขาตรงหน้าประตูลิฟต์
“ไปไหนกันมาคะเนี่ย” ขณะที่กำลังยืนรอลิฟต์อยู่ก็ได้ยินเสียงสุพัตรา
“ไปค้างที่บ้านมา”
“ไปค้างที่บ้านเหรอคะ” สายตาสุพัตรากรอกมองไปดูผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวรีบเอาคอเสื้อขึ้นมาปิดรอยนั้นไว้ ถึงแม้มันจะจางลงไปมากแล้วแต่เธอก็ยังคงประหม่าอยู่
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” พอประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็รีบเข้าไปด้านใน
“เดี๋ยวผมขึ้นไปส่ง ถ้ามีอะไรค่อยไปเจอกันที่ห้องทำงานแล้วกัน” ชายหนุ่มหันไปพูดกับสุพัตราก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง
“เธอแน่มากเลยนะ” แพทย์หญิงสุพัตราได้แต่มองตามลิฟต์ที่กำลังเลื่อนขึ้นไปชั้นบน ที่จริงสุพัตรารู้อยู่แล้วว่าเซอร์เวย์ไม่ได้ตายด้านหรือไม่ได้ชอบผู้ชาย เพียงแค่เขายังไม่เจอใครที่สามารถจะทะลายกำแพงนั้นได้
“เรื่องที่แม่ผมพูด คุณไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องแต่งงานไง”
“ฉันเป็นประเภทที่ไม่อยากจะขัดใจผู้ใหญ่ด้วยสิคะ”
“อย่าบอกนะว่าคุณต้องการให้มันเป็นแบบนั้นตั้งแต่ทีแรกแล้ว” ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก