ห้าโมงห้าสิบห้านาที
คอร์สสร้างแรงบันดาลใจเว็บจงเตี่ยนจงเหวิน
“ได้เวลากลับแล้ว!
“สุดสัปดาห์นี้เราจะไปร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูกันอีกมั้ย”
“ไปสิ ฉันก็อยากไป!”
“พี่ชุยจะไปรึเปล่า”
ชุยเกิ่งส่ายหัว “ไม่อะ พวกนายไปกันเลย”
นักเขียนคนที่ออกปากชวนไม่ได้รบเร้าต่อ เขาลุกเก็บข้าวของเตรียมกลับ ตั้งใจว่ากินข้าวเย็นเสร็จจะกลับไปพักผ่อน
คอร์สสร้างแรงบันดาลใจนั้นเหมือนคอร์สอบรมนักเขียนโดยยึดตามเวลาทำงานแปดชั่วโมง เริ่มคอร์สตอนเก้าโมงเช้าเลิกตอนหกโมงเย็น พักกินข้าวตอนเที่ยงถึงบ่ายโมง
อันที่จริงถ้าดูจากความเข้มข้นของงานในคอร์สสร้างแรงบันดาลใจแล้ว โดยพื้นฐานก็ไม่ต่างอะไรกับการดูหนังมาราธอนแปดชั่วโมง
คอร์สสร้างแรงบันดาลใจเริ่มอย่างเป็นทางการวันพฤหัสบดี นักเขียนส่วนใหญ่ยังหาแรงบันดาลใจเหมาะๆ ไม่ได้ในสองวันที่ผ่านมา จึงมีแค่สองถึงสามคนที่เริ่มเขียนงานได้แล้ว
นักเขียนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ตั้งใจใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ให้เต็มอิ่มแล้วค่อยกลับมารวบรวมแรงบันดาลใจต่อวันจันทร์หน้า ซึ่งต้องใช้เวลาในการวางแผนสำหรับนิยายเรื่องใหม่
เพราะยังไงทางเว็บก็ใช้ระบบซื้อลิขสิทธิ์ จำนวนงานที่ต้องเขียนลงทุกวันจึงลดลงไปมาก พวกเขาเลยพักผ่อนในวันเสาร์อาทิตย์ได้
นักเขียนส่วนใหญ่อายุยังน้อย โดยรวมอยู่ที่ระหว่างยี่สิบสองถึงยี่สิบแปดปี จึงไม่แปลกที่จะนัดกันไปเล่นเกมที่ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
แต่ชุยเกิ่งกลับแหวกแนวไม่ไปกับเหล่านักเขียน
เพราะหลังจากค้นคว้าข้อมูลมาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาสองวัน ในหัวของเขาก็มีประกายแรงบันดาลใจขึ้นมา ดูเหมือนว่าแรงบันดาลใจที่มอดหายไปในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจะเริ่มมีสัญญาณฟื้นคืนกลับมาใหม่!
ตลอดสองวันที่ผ่านมาเขาทั้งดูหนัง ดูซีรีส์ และอ่านนิยายอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังค้นหาข้อมูลต่างๆ บนโลกออนไลน์ด้วย โครงเรื่องใหญ่ของเรื่องราวทั้งหมดปรากฏขึ้นในหัวและเรื่องราวปูมหลังก็แทบจะสมบูรณ์แล้ว
จู่ๆ ชุยเกิ่งก็อยากเขียนฉากเปิดเรื่องขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว
ก็เหมือนคำพูดที่ว่าทุกอย่างยากที่สุดตอนเริ่มต้น แต่ก็ไม่จริงเสียทีเดียวถ้าอยู่ในบริบทของการเขียนนิยาย
นักเขียนส่วนใหญ่จะเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจในช่วงต้น พวกเขาเขียนงานได้ดั่งใจต้องการ แต่พอเนื้อเรื่องเริ่มดำเนินไปแรงบันดาลใจก็เริ่มหมด เขียนไม่ค่อยออก ลืมสิ่งที่ปูไว้ตอนต้นไปหมด… โครงเรื่องทั้งหมดของนิยายก็จะเริ่มเละเทะ สุดท้ายก็ต้องรีบตัดจบและยอมโดนด่ากระจาย
ตอนนี้ชุยเกิ่งเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ เขาอยากเขียนช่วงต้นของเรื่องจนแทบขาดใจ
ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วการเขียนนิยายจะง่ายในช่วงต้น แต่พอผ่านไปจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ
การเขียนงานกินพลังสมองเยอะมาก เนื้อหาที่เขียนออกมาในช่วงที่สมองปลอดโปร่งจะแตกต่างจากเนื้อหาตอนที่หัวไม่ค่อยแล่นราวฟ้ากับเหว แรงบันดาลใจหลุดลอยไปได้เร็วมาก ดังนั้นเมื่อนักเขียนได้แรงบันดาลใจขึ้นมาก็ต้องรีบคว้าไว้และบันทึกไว้กันลืม ไม่อย่างนั้นจะพลาดรายละเอียดบางอย่างตลอดไป
ชุยเกิ่งเดินไปโซนทำงานของคอร์สสร้างแรงบันดาลใจ
สเป็กคอมพิวเตอร์ที่นี่เหมือนเครื่องในคอร์สอบรมนักเขียน จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ คีย์บอร์ดกลไก และเก้าอี้เออร์กอนอมิกส์มอบประสบการณ์การเขียนที่สะดวกสบายที่สุดให้
ชุยเกิ่งไม่ได้ตั้งใจจะเขียนอะไรเยอะแยะ แค่จะเขียนฉากเปิดเรื่องง่ายๆ อย่างมากสุดก็น่าจะใช้เวลาแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมง
เขากดเปิดคอมพิวเตอร์แล้วสร้างเอกสารไฟล์ใหม่
“อืม… จะเริ่มตรงไหนดี…”
ระหว่างที่ชุยเกิ่งกำลังครุ่นคิดถึงรายละเอียดต่างๆ อยู่ เวลาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็กลายเป็นหกโมงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อืม… ฉันว่าน่าจะดีกว่าถ้าเริ่มเรื่องด้วยการเล่าย้อนอดีต เริ่มจากตอนที่ตัวเอกเปลี่ยนเป้าหมายชีวิต”
พอตัดสินได้เขาก็เอื้อมไปจับเมาส์ที่วางอยู่ข้างๆ กะว่าจะปรับขนาดตัวอักษรและการเว้นบรรทัดตามรูปแบบที่ใช้งานประจำ
ถ้าไม่ใช้ฟ้อนต์กับขนาดตัวอักษรตามนี้จะรู้สึกอึดอัด
แต่มือของชุยเกิ่งกลับจบไม่โดนเมาส์
ชุยเกิ่ง “?”
ตอนนี้เขาเกือบจะคิดว่าสมองมีอะไรผิดปกติ เมาส์ก็อยู่ตรงหน้าแท้ๆ วืดได้ไง แม้แต่เด็กขวบเดียวก็ไม่น่าจะจับพลาด
ชุยเกิ่งไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้มากนัก เขาเอื้อมมือไปหาเมาส์อีกครั้ง!
แต่ก็ยังวืดอีก!
ครั้งนี้เขาเห็นเต็มสองตา จู่ๆ เมาส์ก็วิ่งทแยงไปทางขวาบนตอนที่มือของเขาเอื้อมไปอยู่เหนือเมาส์!
ชุยเกิ่งตกใจ เขารีบเอื้อมมือไปจับเมาส์อีก แต่การตอบสนองของเมาส์ว่องไวกว่าที่คิดไว้ มันขยับไปมาอย่างผิดปกติทำให้เขาไม่สามารถคว้าไว้ได้!
ขณะเดียวกันก็มีหน้าต่างแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ได้เวลาเลิกงานแล้ว กรุณากลับไปพักผ่อนทันที หากยังพยายามทำงานต่อ สัญญาณเตือนจะดังและมีการบันทึกความประพฤติ คุณจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา”
ชุยเกิ่ง “???”
เขาตะลึงงันไปเลย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ไม่ให้ทำงานล่วงเวลางั้นเหรอ
ที่บ้ากว่านั้นคือเจ้าเมาส์นี่ ถึงขั้นที่ว่าต่อต้านการทำงานล่วงเวลาโดยเลี่ยงการสัมผัสได้เลยเนี่ยนะ
เมื่อวานชุยเกิ่งเลิกงานตรงเวลา ไม่ได้มัวโอ้เอ้อยู่ต่อเลยไม่เคยเจอสถานการณ์นี้มาก่อน เขาเพิ่งจะเจอเหตุการณ์นี้ครั้งแรกวันนี้โนฺเวลกูดoทคอม
“ช่างเหอะ ไปเขียนที่ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูใกล้ๆ ก็ได้!”
ชุยเกิ่งไม่คิดเลยว่าตัวเองจะคิดอยากเขียนงานช่วงพักผ่อนขึ้นมา
แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขารู้สึกแย่ถ้าไม่ได้เขียนตอนที่มีแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม เพราะกลัวว่าวันจันทร์จะลืมรายละเอียดทั้งหมดไปถ้าไม่รีบเขียนวันนี้
ดังนั้นเขาจึงพุ่งไปที่ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูสาขาใกล้ๆ ทันที ด้วยความตั้งใจว่าจะไปเขียนฉากเปิดเรื่องที่นั่น
…
…
อันดับแรกก็ต้องเป็นชื่อเรื่อง
หลังจากคิดอยู่นานชุยเกิ่งก็ตัดสินใจว่าจะใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษโดยแปลจีนกำกับไว้
[Successor] [ผู้สืบทอด]
เหตุผลที่แปลเป็น ‘ผู้สืบทอด’ แทนที่จะเป็น ‘ทายาท’ หลักๆ เป็นเพราะตัวละคร ‘สืบทอด’ พลังพิเศษและตัวตนของกัปตันเวิลด์มา ไม่ได้ตกทอดต่อกันทางมรดก
ชุยเกิ่งคิดไว้แล้วว่าจะวางฟอร์แมตชื่อเรื่องยังไง เขาจะเน้นคำว่า ‘Success’ ใน ‘Successor’ เป็นสีแดงสด
ชื่อเรื่องมีความหมายด้วยกันสามอย่าง
อย่างแรกคือซูเปอร์ฮีโร่ทุกคนถือว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของซูเปอร์ฮีโร่คนแรกซึ่งก็คือกัปตันเวิลด์ กัปตันเวิลด์กระจายพลังวิเศษของตัวเองไปทั่วประเทศทำให้ทุกคนมีโอกาสได้ขึ้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ขณะเดียวกันก็ได้รับความรักใคร่จากก้นบึ้งของหัวใจชาวอเมริกันและได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบของซูเปอร์ฮีโร่
ดังนั้นซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหมดที่ปรากฏตัวหลังจากนี้จะนับว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอด หมายความว่าต้องปฏิบัติตัวเหมือนกับกัปตันเวิลด์และต้องไม่ทำให้คนที่สนับสนุนผิดหวัง
สอง ในเรื่องจะมีพล็อตสำคัญมากอยู่หนึ่งจุดซึ่งก็คือรายการทีวีชื่อ ‘ผู้สืบทอด’ โดยรายการนี้มีส่วนสำคัญในแผนของตัวเอก
สาม คำว่า ‘Success’ บังเอิญอยู่ในคำว่า ‘Successor’ พอดี
การเน้นให้คำว่า Success เป็นสีแดงสดก็เพื่อบอกเป็นนัยว่าถึงเบื้องหน้าจะเป็นเรื่องราวของ ‘ผู้สืบทอด’ แต่จริงๆ เป็นเรื่องราวของ ‘ผู้ประสบความสำเร็จ’ มองผิวเผิน ‘ความสำเร็จ’ ในที่นี้คือ ‘ความสำเร็จ’ ของคนธรรมดาที่กลายมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แต่จริงๆ แล้วเป็น ‘ความสำเร็จ’ ที่แลกมาด้วยการนองเลือดและการเข่นฆ่า เป็นความสำเร็จของจอมวางแผนผู้ทะเยอทะยานไล่ตามเป้าหมายชั่วร้ายด้วยวิธีการสกปรก
ชุยเกิ่งคิดถึงแนวทางการเขียนที่เฉพาะเจาะจงก่อนจะเริ่มเขียน
ตอนเปิดเรื่องมีจุดเริ่มต้นมากมายให้เลือกใช้ ถ้าใช้วิธีเล่าเรื่องตามปกติที่เว็บโนเวลนิยมใช้กันก็ต้องเดินเรื่องตามลำดับเหตุการณ์
แต่ชุยเกิ่งมาคิดดูแล้ว ว่ากันตามตรงเนื้อหาที่เขาจะเขียนไม่ควรใช้รูปแบบทั่วไปในเว็บโนเวล ควรเขียนออกมาเหมือนบทหนังหรือเรื่องสั้นที่มีคุณภาพทางวัฒนธรรมสูง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้เทคนิคเล่าเรื่องย้อนอดีตเพื่อทำให้เนื้อเรื่องกระชับขึ้น
…
คืนฝนตก คริสต์ทศวรรษ 2010 โฮปซิตี้ สหรัฐอเมริกา
โฮปซิตี้เป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในแถบชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา อากาศในเมืองนี้ค่อนข้างปั่นป่วนและเปลี่ยนไปมาตลอด บางทีก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน บางทีก็แดดจ้า
มหานครแสนพลุกพล่านนี้เป็นศูนย์รวมสิ่งต่างๆ มากมาย สิ่งปลูกสร้างหลากหลายรูปแบบพบเห็นได้ในทุกมุมเมือง ในเบื้องหน้าดูหรูหราและสวยสง่า แต่แท้จริงแล้วมีความสกปรกและความชั่วร้ายซ่อนอยู่ในตรอกซอกซอยที่มืดมิด
เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสหรัฐอเมริกาซึ่งมีเหล่าเศรษฐีมารวมตัวกัน และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมสูงที่สุดในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
แต่อัตราการเกิดอาชญากรรมก็ลดน้อยลงทุกปีจากความร่วมมือของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่และตำรวจ ทั้งเมืองและพลเมืองต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเหมืองดังชื่อเมือง
ถึงอัตราการเกิดอาชญากรรมจะสูงเมื่อดูจากตัวเลขสถิติ แต่ผู้คนก็มักเห็นซูเปอร์ฮีโร่คอยลาดตระเวนบนท้องฟ้าและได้ยินข่าวว่าองค์กรอาชญากรรมโดนซูเปอร์ฮีโร่บุกทำลายทุกวัน ความรู้สึกปลอดภัยและความสุขของชาวเมืองจึงอยู่ลำดับต้นๆ ของทั้งประเทศ
ฟีล ซิมมอนส์ ลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ไรอัน ซิมมอนส์ คือหนุ่มเจ้าสำราญชื่อกระฉ่อนในโฮปซิตี้
รถสปอร์ต เรือยอชต์ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว นางแบบระดับแนวหน้า ปาร์ตี้กลางทะเล… ฟีลใช้เงินเก่งมากและเอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ
ฟีลไม่ใช่ทายาทตระกูลร่ำรวยที่มีเงินเยอะที่สุด แต่ก็เป็นทายาทตระกูลร่ำรวยที่โด่งดังที่สุด เขาเก่งเรื่องการโฆษณาตัวเองมาก ในปีนี้ที่อายุเข้าวัยสามสิบเอ็ดปี เขาสะสมผู้ติดตามในแอ็กเค้านต์โซเชียลมีเดียได้หลายล้านคนแล้ว
ผู้ติดตามหลักล้านดูจะไม่ใช่จำนวนที่เยอะเมื่อเทียบกับซูเปอร์ฮีโร่ นักแสดง นักกีฬาดาวเด่น และนักการเมืองที่มีผู้ติดตามหลักสิบล้าน แต่ฟีลไม่ได้มีตำแหน่งฐานะอะไรแบบนั้นเลย ตัวตนของเขาคือทายาทตระกูลร่ำรวยเท่านั้น การรวบรวมแฟนคลับได้จำนวนมากเท่านี้ถือเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึง ‘ความสามารถ’ ของเขาในบางแง่มุม
แน่นอนว่า Simmons Media ก็มีส่วนช่วยเยอะในเรื่องนี้
ตอนนี้ชายหนุ่มหุ่นดีหน้าตาหล่อเหลา สูงหนึ่งร้อยเก้าสิบสองเซนติเมตร นั่งแท่น CEO ของ Simmons Media พร้อมด้วยปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตและบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต กำลังร้องไห้อยู่บนดาดฟ้าของตึกระฟ้า
เขากลัวจนควบคุมตัวเองไม่ได้และฉี่รดกางเกงชุดสูทตัดพอดีตัว ทิ้งรอยเปียกสีเข้มน่าอับอายที่ค่อยๆ ขยายขนาดขึ้น
เนกไทสีแดงสดสะดุดตาที่เขารักมากถูกดึงรั้งไว้โดยแขนกล้ามกำยำขนดกเส้นเลือดปูดโปน ร่างของเขาทั้งร่างอยู่นอกพื้นที่ดาดฟ้าชั้นบนสุด ถ้าไม่โดนดึงเนกไทไว้ ร่างก็คงร่วงจากความสูงสามร้อยกว่าเมตรลงไปกระแทกพื้นแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาของฟีล ซิมมอนส์บูดเบี้ยวไปด้วยความหวาดกลัว น้ำตา น้ำมูก และน้ำฝนผสมปนกันมั่วไปหมด บางส่วนไหลเข้าปากที่กำลังร่ำร้องขอความเมตตาก่อนจะถูกพ่นออกมาพร้อมน้ำลาย
“ได้โปรด อย่าฆ่าฉันเลย!
“พ่อฉันมีเงินเยอะมาก นายอยากได้เท่าไหร่เขาให้นายแน่!”
คนที่รั้งเนกไทสีแดงสดของฟีล ซิมมอนส์ไว้ในขณะนี้คือชายร่างกำยำสูง 2.5 เมตร น้ำหนักเกือบสองร้อยกิโลกรัม
ในคืนฝนตกคืนนั้น ฟีล ซิมมอนส์กำลังขับรถสปอร์ตท่องราตรีตามปกติ จู่ๆ ชายร่างกำยำก็พุ่งพรวดมาขวางรถ ก่อนจะทุบรถสปอร์ตสุดรักของเขาจนแหลกเป็นชิ้นๆ จากนั้นชายร่างกำยำก็ลากฟีล ซิมมอนส์ซึ่งอยู่ในสภาพโคม่าเนื่องจากการปะทะออกมาจากห้องโดยสารที่ถูกทุบจนบิดเบี้ยว เขาแบกอีกฝ่ายขึ้นไปชั้นบนสุดของดาดฟ้าราวกับเป็นลูกไก่ตัวน้อย
พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะสายฝนเย็นเยียบ ร่างของฟีล ซิมมอนส์ก็ลอยอยู่บนชั้นดาดฟ้าแล้ว ชีวิตของเขาอยู่ในมือของชายกำยำเบื้องหน้า
ฟีล ซิมมอนส์ไม่คิดต่อต้านแม้แต่น้อย เพราะชายหน้าตาโหดเหี้ยมแข็งแกร่งเทียบเท่ากับซูเปอร์ฮีโร่คนที่อ่อนแอที่สุด
ในโฮปซิตี้มี ‘สุดยอดวายร้าย’ ที่มีพลังทำลายล้างสูงเช่นนี้มีจำนวนไม่มาก ถึงอย่างนั้นวายร้ายแต่ละคนก็ทำให้ตำรวจที่คอยรักษาความปลอดภัยของเมืองต้องปวดหัวหนัก
แม้อัตราการเกิดอาชญากรรมในโฮปซิตี้จะสูง แต่ส่วนใหญ่ก็เกิดในละแวกที่คนจนและคนไร้บ้านพักอาศัย ฟีล ซิมมอนส์อาศัยอยู่ในละแวกคนรวยจึงไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนตลอดการใช้ชีวิตสามสิบเอ็ดปี
ความกลัวจับจิตทำให้แขนขาของเขาเย็นเยียบและสูญเสียการควบคุมร่างกายไป เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากร่ำร้องและอ้อนวอนขอความเมตตา
วายร้ายผู้นี้ซึ่งเหมือนภูเขาก้อนเนื้อมองใบหน้าบูดเบี้ยวของฟีล ซิมมอนส์ด้วยความสนใจ จากนั้นก็ผุดยิ้มเย้ยหยัน
ภูมิหลัง รูปลักษณ์ ความมั่งคั่ง มันสมอง… สิ่งเหล่านี้เขาเทียบฟีล ซิมมอนส์ไม่ได้เลย
แต่วายร้ายผู้นี้ก็มีบางสิ่งที่ฟีล ซิมมอนส์ไม่มี ซึ่งก็คือพลัง