ลู่จือเหยาเหม่อไปเลย
เดิมทีบทของ Mission & Choice แบ่งออกเป็นส่วนๆ ผู้กำกับจูเสี่ยวเช่อจงใจทำแบบนี้เพื่อให้ลู่จือเหยา ‘สามารถวิเคราะห์บทได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและทำให้การแสดงในปัจจุบันไม่ได้รับผลกระทบจากการรู้ตอนจบ’
ผู้กำกับจูเสี่ยวเช่อบรรลุเป้าหมายนี้
ลู่จือเหยาสามารถสวมบทบาทเป็นฉินอี้ได้จริงๆ ในการแสดงแต่ละตอน เพราะไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นจึงแสดงออกมาได้ใกล้เคียงกับสภาพจริงของฉินอี้ในบท
แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาอีกอย่างคือลู่จือเหยาใจจะขาดกับข้อมูลที่ได้มาเป็นส่วนๆ
แต่ละครั้งเขาได้บทมาแค่ส่วนเล็กๆ แต่การพัฒนาโครงเรื่องนั้นซับซ้อนมาก บทมักตัดจบตอนที่อยากรู้เนื้อหาส่วนถัดไปทุกครั้ง
ลู่จือเหยาไม่คิดเลยว่าแม้ในที่สุดจะได้บทส่วนสุดท้ายมาแล้ว แต่ก็ยังจบแบบค้างคาอยู่ดี ไม่มีเนื้อหาต่อจากนั้น!
จุดนี้ทำให้ลู่จือเหยาปวดใจและสิ้นหวัง
แน่นอนเขาเองก็รู้ว่าจากเนื้อหาในตอนนี้โครงเรื่องทั้งหมดจบสมบูรณ์แล้ว มีจุดเริ่มต้นและจุดพลิกผัน เนื้อหาถือว่าเพียงพอสำหรับหนังหนึ่งเรื่อง
หวงซื่อปั๋วกับผู้กำกับจูเสี่ยวเช่อน่าจะยังไม่ได้คิดเนื้อเรื่องส่วนถัดไปเหมือนกัน พวกเขาทิ้งตอนจบแบบค้างคาไว้เพื่อทำภาคต่อ
แต่ถึงลู่จือเหยาจะรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ เขาก็ยังอดสบถด่า ‘ตอนจบแบบค้างคา’ ไม่ได้อยู่ดี
หลังจากสงบใจลงลู่จือเหยาก็เริ่มพิจารณาส่วนสุดท้ายของบทอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาผ่านการท้าทายทักษะการแสดงมาทุกแง่มุม จนคิดว่ามีประสบการณ์มากพอและไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น
แต่พอเห็นบทส่วนสุดท้ายลู่จือเหยาก็ตระหนักว่าความยากจริงๆ อยู่ที่ตอนจบ!
ยังมีเหตุการณ์พลิกผันอีกมากมายในช่วงท้ายเรื่อง อารมณ์ของฉินอี้พังทลายจากความสิ้นหวังก่อนจะพบโอกาสรอดชีวิตในความสิ้นหวัง จากนั้นก็ใช้การพูดปลุกใจสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารทุกนาย และแสดงให้มนุษยชาติเห็นแสงแห่งชัยชนะได้สำเร็จ
ถ้าบทจบตรงนี้ก็คงเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์มาตรฐานที่มีตอนจบแบบปลุกใจตามพิมพ์นิยม
แต่บทกลับหักมุมตอนที่ฉินอี้กำลังจะเห็นแสงแห่งชัยชนะ
ฉินอี้ในสภาพไม่ได้สติตระหนักว่าตัวเองมีจิตใต้สำนึกรังของเผ่าพันธุ์เซิร์ก จิตใต้สำนึกรังทำให้เขามองปัญหาจากมุมมองของเซิร์กและเห็นอกเห็นใจเหล่าเซิร์ก ฉินอี้พบว่ามนุษย์เป็นคนเปิดฉากโจมตีเซิร์กก่อน ว่ากันตามตรงแล้วพวกเซิร์กเป็นฝ่ายโดนรุกราน
หลังได้สติกลับคืนมาเขาก็สั่งให้ทหารทุกนายหยุดโจมตี สงครามระหว่างมนุษย์กับเซิร์กถูกบังคับให้หยุด
ถ้าเรื่องราวจบลงตรงนี้มนุษย์กับเซิร์กก็จะจับมือกันสร้างจักรวาลอันงดงามไปด้วยกัน ถือเป็นตอบจบสไตล์การเมืองตามมาตรฐานของหนังตะวันตก
แต่ฉินอี้ดันไม่อยากจับมือสร้างสันติกับเซิร์ก เขาตลบหลังพวกเซิร์กโดยการหาตำแหน่งราชินีเซิร์กและราชินีรองทั้งหมดผ่านจิตใต้สำนึกรัง จากนั้นก็เปิดฉากปฏิบัติการล่าตัดหัว
ฉินอี้โกหกพวกเซิร์กเพื่อมนุษยชาติแต่กลับโดนลวงหลอกและทอดทิ้ง เนื่องจากราชินีเซิร์กกับราชินีรองถูกกวาดล้างหมด สุดท้ายฉินอี้ก็ได้ขึ้นเป็นผู้นำเหล่าเซิร์กขณะโดยสารอสูรยักษ์ท่องไปในอวกาศอันไร้ที่สิ้นสุด
ในบทส่วนนี้อารมณ์ของฉินอี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
มีทั้งตื่นเต้น ทั้งตกใจเมื่อค้นพบความจริง ทั้งเลือดเย็น ทั้งรู้สึกโดนหักหลัง…
โดยเฉพาะฉากสุดท้ายตอนที่ฉินอี้ตื่นขึ้นมาในบ่อฟักตัวภายในอสูรยักษ์ จะมีช็อตถ่ายระยะใกล้ที่ลู่จือเหยาต้องแสดงอารมณ์ซับซ้อนของฉินอี้ด้วยการมองกล้องเพียงครั้งเดียว
เห็นได้ชัดว่าสำหรับลู่จือเหยา บทส่วนนี้ยากกว่าส่วนที่ผ่านมาหลายเท่า!
อย่างที่เขารู้มาตั้งแต่ต้น ฉินอี้เป็นตัวละครที่ทดสอบฝีมือการแสดงของเขาสุดๆ เพราะตัวละครนี้วางบทมาให้เป็นทหารใจแกร่งดั่งหินผา
ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ฉินอี้มักไร้อารมณ์ความรู้สึก ถึงมีก็จะข่มกลั้นเอาไว้
แต่ในบทส่วนนี้โชคชะตาของฉินอี้สลับซับซ้อนเกินไป เขามักพบกับความสิ้นหวังและความเจ็บปวดถึงขีดสุด ทำให้ลู่จือเหยาหาจุดสมดุลได้ยากมาก
หากยัดเยียดอะไรเกินไปแม้แต่นิดเดียวตัวละครฉินอี้ก็จะพังลงได้ คงไม่เหมาะถ้าจะให้ทหารใจแกร่งเดือดจัดหรือสติแตก แต่ถ้าแสดงออกน้อยเกินไปผู้ชมก็จะคิดว่าลู่จือเหยาขาดทักษะการแสดง และสื่อสารอารมณ์ออกมาได้ไม่ดีพอ
เมื่อเทียบกันแล้วตัวละครอายุน้อยนั้นแสดงได้ง่ายกว่า เพราะอารมณ์ของตัวละครประเภทนี้ตรงไปตรงมา ดีใจก็คือดีใจ โกรธก็คือโกรธ ไม่มีความซับซ้อน ระดับอารมณ์มีความยืดหยุ่น
กลับกันการรับบทเป็นกัปตันฉินอี้ผู้มีความตั้งใจอันแรงกล้านั้นยากที่สุด
ลู่จือเหยาถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าหลายวันต่อจากนี้จะยุ่งอีกแล้ว
เขาอยากศึกษาบทกับกระจกอยู่ในโรงแรม อยากปรับปรุงทักษะการแสดงและสีหน้าเพื่อให้แสดงเนื้อเรื่องส่วนสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบโนเวลกูดอทคoม
แต่ลู่จือเหยาก็เลือกหยิบบททั้งหมดที่มีมาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง แล้ววิเคราะห์เนื้อเรื่องจากมุมมองของตัวเอง
ความประทับใจที่ตราตรึงที่สุดที่เรื่องนี้ทิ้งไว้ให้ลู่จือเหยาคือ ‘มุมมองทางวัฒนธรรม’
ในฐานะนักแสดงลู่จือเหยาดูหนังมาหลายเรื่อง เขาเคยดูหนังแนวต่างๆ จากหลากหลายประเทศ
เนื้อเรื่องของ Mission & Choice ถ้าแยกออกมาเป็นส่วนๆ ก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเมื่อเทียบกับหนังแนวไซไฟทั่วไป
แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติ
เพราะ ‘เซิร์ก’ ปรากฏตัวในหนังแนวไซไฟมาหลายทศวรรษแล้ว หนังที่ออกมาก่อนนำเสนอแนวคิดจากหลากหลายแง่มุมด้วยหลากหลายวิธี แทบไม่เหลือช่องให้คนรุ่นใหม่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ออกมาได้
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล้มล้างโครงเรื่องทิ้งหมดเมื่อมีผลงานสุดคลาสสิกมากมายขนาดนี้
แต่ลู่จือเหยามองว่าความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกม Mission & Choice คือการผสมผสานมุมมองทางวัฒนธรรมของจีนและตีมไซไฟเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในจีนหนังแนวไซไฟหาได้ยากมาก เพราะหนังแนวไซไฟใช้ทุนสร้างสูงเกินไปและต้องใช้พร็อบสั่งทำพิเศษ เอฟเฟ็กต์พิเศษ และทีมงานขนาดใหญ่ ถ้าขาดประสบการณ์ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้หนังออกมาด้อยคุณภาพ
ดังนั้นแม้แต่ในตลาดหนังจีน พอพูดถึงหนังไซไฟผู้คนก็มักจะนึกถึงหนังไซไฟฟอร์มใหญ่ของยุโรปและอเมริกา
ปัญหาคือหนังไซไฟดังๆ แทบทั้งหมดที่เห็นในปัจจุบันมักนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองวัฒนธรรมตะวันตก
ทำให้ผู้ชมจีนหลายคนเกิดคำถามและรู้สึกเข้าไม่ถึงค่านิยมที่แสดงให้เห็นในหนังไซไฟเหล่านั้น สิ่งที่ชาวตะวันตกคุ้นชินเป็นสิ่งที่ชาวจีนยอมรับไม่ได้เลย
แนวคิดของเรื่อง Mission & Choice จริงๆ เขียนขึ้นโดยนักเขียนนิยายแนวไซไฟชื่อดังจากต่างประเทศในปีค.ศ. 1985 แถมยังได้รางวัล Hugo Award กับ Nebula Award ด้วย ถือเป็นนิยายแนวไซไฟสุดคลาสสิกตลอดกาล
แต่ในเรื่องผู้บัญชาการยังเป็นเด็ก เขารู้สึกผิดมากหลังจากกวาดล้างเหล่าเซิร์ก จึงพาราชินีเซิร์กที่ยังไม่โตเต็มวัยเดินทางไปในอวกาศเพื่อหาบ้านหลังใหม่ โดยหวังว่าจะได้ไถ่โทษให้ตัวเอง
นี่คือแนวคิดมาตรฐานของชาวตะวันตก เหมือนที่หลายคนในองค์กรคุ้มครองสัตว์ฝั่งตะวันตกออกมาเรียกร้องให้มนุษย์กินมังสวิรัติเพื่อให้สัตว์ได้รับสิทธิเท่าเทียมกับมนุษย์…
จุดนี้อาจเป็นความถูกต้องทางการเมืองและความเมตตาของผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิหลังวัฒนธรรมตะวันตก
แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในภูมิหลังวัฒนธรรมจีนถือเป็นความโง่เขลาและความหน้าซื่อใจคด เป็นการสำแดงถึงความเมตตาอันเหลือล้นของพระแม่มารีย์
ชาวตะวันตกร้องปาวๆ ถึงความถูกต้องทางการเมืองและถึงขั้นต่อสู้เพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของสัตว์ แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพราะชีวิตของพวกเขามั่งคั่งและสะดวกสบายเกินไป มีทรัพยากรล้นเหลือและพลังงานมากพอที่จะส่งต่อความเห็นอกเห็นใจในระดับที่มากเกินเหตุไปทั่วสารทิศในขณะที่ตัวเองมีกินมีใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย
รากเหง้าของชีวิตที่มั่งคั่งและสะดวกสบายของชาวตะวันตกคือการเอารัดเอาเปรียบ การปล้นสะดม และการสังหารนองเลือดทั่วโลกที่บรรพบุรุษของพวกเขาทำไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน
ระหว่างที่ชาวตะวันตกออกมาเรียกร้องว่า ‘สัตว์ก็มีสิทธิเช่นกัน’ พวกเขากลับไม่เคยเหลียวหลังมองชาวอะบอริจินที่ถูกบรรพบุรุษของตัวเองฆ่า พวกเขาไม่ตระหนักเลยว่าความมั่งคั่งของตัวเองมาจากการปล้นสะดมและแสวงหาประโยชน์จากส่วนที่เหลือของโลก
ในขณะที่ชาวตะวันตกเหล่านี้เรียกร้องสิทธิให้สัตว์ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ประเทศของพวกเขากลับกำลังรังแก กดขี่ และเอารัดเอาเปรียบประเทศอื่นๆ ในโลก พวกเขาก่อสงคราม สร้างความอดอยากและโรคระบาด ปล่อยให้เพื่อนมนุษย์เหมือนอาศัยอยู่ในนรก
ดังนั้นการที่มนุษย์เห็นใจเซิร์กจึงเป็นสิ่งที่โง่เขลาและหน้าซื่อใจคดในมุมมองวัฒนธรรมจีน
ถ้าชาวตะวันตกแบ่งความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อสัตว์สักครึ่งหนึ่งมาปฏิบัติกับผู้คนต่างเชื้อชาติและประเทศอื่นๆ โลกจะน่าอยู่ขึ้นกว่านี้
ในเนื้อเรื่องเซิร์กเป็นเผ่าพันธุ์ในจักรวาลที่เป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด พวกมันมีจิตใต้สำนึกที่แข็งแกร่ง มีการส่งต่อข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถในการสืบพันธุ์ที่เยี่ยมยอด การดำรงอยู่ของพวกมันคือการขยายและสืบพันธุ์อย่างต่อเนื่องในจักรวาลและกวาดล้างเผ่าพันธุ์อื่น
ถึงราชินีเซิร์กจะอยากอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสงบสุข แต่เผ่าพันธุ์พวกมันก็เป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการมีชีวิตรอดของมนุษย์
การที่มนุษย์เห็นใจและไว้ชีวิตพวกเซิร์กเท่ากับเป็นการเก็บงูเข้าบ้าน จะรู้ได้ยังไงว่าราชินีเซิร์กไม่ได้โกหก จะมั่นใจได้ยังไงว่าราชินีเซิร์กจะไม่เปลี่ยนความคิดในอนาคต
ภายใต้สถานการณ์นี้ การกำจัดเผ่าพันธุ์เซิร์กจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับมนุษยชาติ
การเห็นใจและปกป้องพวกเซิร์กจะเป็นการทำให้มนุษย์ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
Mission & Choice นำมุมมองวัฒนธรรมจีนมาใช้อย่างเต็มที่ในตีมนี้