ทั้งสองรู้ดีว่าจุดประสงค์ของการเจอกันในครั้งนี้คืออะไร เพราะงั้นจึงไม่ต้องอ้อมค้อม เผยเชียนไม่ได้จริงจังกับเมิ่งชั่งเหมือนกัน เขาเป็นแค่หนึ่งในปัญหามากมายที่ต้องจัดการ จะได้ไปจัดการเรื่องอื่นต่อให้เร็วที่สุด
เผยเชียนพูดขึ้น “คุณรู้รายละเอียดทั่วไปของงานแล้ว วันนี้ผมจะมาคุยเรื่องเงินเดือนเป็นหลัก
“คุณสามารถเลือกได้สองแบบ แบบแรกคือเงินเดือนตายตัวที่สี่หมื่นหยวนต่อเดือน ขอแค่ทำงานให้เสร็จตามหน้าที่ คุณก็ได้ครบถ้วนทุกหยวน แบบที่สองคือฐานเงินเดือนต่ำแต่มีบวกค่าคอมมิชชัน เงินเดือนอยู่ที่สามพันหยวน แต่ค่าคอมมิชชันเริ่มจากศูนย์ถึงสองแสน
“แน่นอนว่าวิธีคำนวณเฉพาะของค่าคอมมิชชันเชื่อมโยงกับผลการประชาสัมพันธ์ของการโฆษณาและกิจกรรมทางการตลาด ผมจะส่งคนไปวิเคราะห์ข้อมูลและคำนวณค่าคอมมิชชันตามเงินที่คุณใช้ ความนิยมที่สร้างขึ้นได้ และผลลัพธ์การประชาสัมพันธ์ของแต่ละแผน
“ภายใต้หลักการไม่ดูหมิ่นผู้บริโภค ไม่ละเมิดกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และใช้วิธีการทางการตลาดตามแบบปกติ ยิ่งคุณใช้เงินได้มาก แต่ได้กระแสนิยมน้อย ผลลัพธ์ของการประชาสัมพันธ์ต่ำ ค่าคอมมิชชันก็จะยิ่งสูง”
เมิ่งชั่งพูดขึ้นทันที “ผมขอเลือกแบบที่สอง… เดี๋ยวนะครับ ยิ่งได้กระแสนิยมน้อย ค่าคอมมิชชันก็ยิ่งสูงเหรอครับ
“แปรผกผันกันเนี่ยนะ”
ตอนได้ยินครึ่งแรก เมิ่งชั่งก็มองว่าปกติดี
ฐานเงินเดือนต่ำแต่ได้ค่าคอมมิชชันสูงคือสิ่งที่เขาคาดหวัง
ถึงเงินเดือนสี่หมื่นหยวนต่อเดือนจะเป็นรายได้ที่สูงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่น่าพอใจสำหรับเมิ่งชั่ง เพราะเงินเดือนของเขาเลยตัวเลขนั้นไปแล้วตอนที่เคยเป็นผู้บริหารในบริษัทใหญ่ ถึงจะไม่ได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ ก็มีบริษัทอีกหลายแห่งที่ให้เงินเดือนสี่หมื่นหยวนกับเขาได้ เขาไม่จำเป็นต้องรับเงินเดือนตายตัวที่สี่หมื่นหยวนจากบอสเผยเลย
อีกอย่างถ้าต้องจ่ายหนี้ด้วยเงินเดือนสี่หมื่นหยวน หักภาษีและค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตประจำวันแล้ว ก็จะจ่ายหนี้ได้ปีละสามแสน ต้องจ่ายยาวๆ ไปอีกยี่สิบปี
คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้กี่สิบปีกัน
ตลอดเวลานั้น เขาก็ต้องเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไปตลอด ซึ่งมีข้อจำกัดมากมาย จะเดินทางไปไหนก็ขึ้นเครื่องบินไปไม่ได้ เรื่องซื้อบ้าน ไปเที่ยว พักร้อน หรือไปต่างประเทศนี่ลืมไปได้เลย
กว่าจะใช้หนี้หมด อายุก็จวนเข้าวัยเกษียณแล้ว ว่าง่ายๆ คือ เขาต้องใช้ชีวิตโง่ๆ ไปตลอด คงไม่น่าจะคิดหาทางตั้งตัวใหม่ตอนอายุห้าสิบหกสิบ เพราะเป็นไปไม่ได้เลย
ถ้าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนก็อาจจะพอมีโอกาส แต่ตอนนี้เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว
บางครั้งเมิ่งชั่งรู้สึกว่ายอมติดคุกสักสามปีน่าจะดีกว่าถ้าทำให้ปลดหนี้ได้ เพราะมีหลายคนที่เริ่มกิจการตัวเองหลังออกจากคุก ดีกว่าต้องมาจ่ายหนี้ไปอีกยี่สิบปี
กลับกันถ้าคำนวณจากค่าคอมมิชชันสองแสนหยวนที่บอสเผยจะจ่ายให้ เขาก็จะจ่ายหนี้หมดภายในห้าถึงหกปี ไม่น่าจะมีใครให้โอกาสแบบนี้กับเขาได้อีก
ติดอยู่ปัญหาเดียวคือ… ทำไมความนิยมถึงแปรผกผันกับค่าคอมมิชชันล่ะ
ยิ่งผลลัพธ์การตลาดต่ำ บอสเผยก็ยิ่งให้เงินเพิ่ม?
ตรรกะอะไรวะนั่น
เมิ่งชั่งคิดว่าตัวเองได้ยินผิดจึงถามอีกครั้ง “บอสเผยพูดว่าสัดส่วนมันแปรผกผันกันใช่ไหมครับ”
เผยเชียนพยักหน้าพร้อมตอบกลับอย่างมั่นใจ “ใช่ครับ”
เผยเชียนไม่คิดที่จะอธิบายและเขาก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เดี๋ยวเมิ่งชั่งก็ไปมโนเหตุผลที่สมเหตุสมผลเองถ้าเขาทำตัวมั่นใจมากพอ
เขาหยิบสัญญาที่วางอยู่ข้างๆ ส่งให้ “นี่รายละเอียดครับ ค่อยๆ อ่านแล้วกรอกระยะเวลาเองได้เลย สามปี ห้าปี สิบปี… ยิ่งเซ็นสัญญาระยะยาว ค่าคอมมิชชันก็ยิ่งสูงขึ้น”
เมิ่งชั่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขารับเอกสารมาอ่านซ้ำไปมา ไล่สายตาดูทุกคำ ในใจรู้สึกว่ามีอันตรายยิ่งใหญ่แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง
หรือบอสเผยจะวางแผนอะไรเอาไว้
ลางสังหรณ์บอกเขาว่ามีหลุมพรางซ่อนอยู่ แต่คิดอยู่นานก็คิดไม่ออกว่าซ่อนอยู่ตรงไหน
จะง่ายมากถ้ายิ่งได้ผลลัพธ์การประชาสัมพันธ์ดีก็ยิ่งได้เงินเยอะ เมิ่งชั่งมั่นใจในตัวเองมาก เขาจะจัดแจงเรื่องการตลาดและการประชาสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน และต้องได้ค่าคอมมิชชันสูงแน่นอน
แต่เงื่อนไขของบอสเผยคือ ยิ่งใช้เงินเยอะและได้กระแสนิยมน้อย ก็จะยิ่งได้ค่าคอมมิชชันสูง
ว่าง่ายๆ คือ ใช้จ่ายเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ผลของการประชาสัมพันธ์ออกมายิ่งแย่เท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
เถิงต๋าจะได้ประโยชน์อะไร พวกเขาคิดว่าตัวเองมีงบสำหรับการประชาสัมพันธ์เยอะเกินไปเหรอ กลัวว่าจะใช้เงินได้ไม่หมดงี้
ไม่เห็นสมเหตุสมผลเลย!
เมิ่งชั่งรู้สึกว่าการทำแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์กับบอสเผยเลยสักนิด เว้นแต่ว่า… แผนประชาสัมพันธ์ของเมิ่งชั่งจะได้ผลดีเยี่ยมทุกครั้ง ถ้าเป็นแบบนั้น เมิ่งชั่งก็จะได้เงินตามฐานเงินเดือนสามพันหยวน ซึ่งก็ไม่มีวันปลดหนี้ได้ตลอดชีวิต ยิ่งทำงานดี ชีวิตก็จะยิ่งทุกข์ระทม
แต่เมิ่งชั่งคิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบนั้นได้
บริษัทใหญ่หลายแห่งทุ่มเงินหลายหมื่นล้านกับการตลาดทุกปี หัวหน้าแผนกการตลาดและการประชาสัมพันธ์ได้เงินเดือนสูงเพราะเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ ไม่ง่ายเลยที่จะทำได้ดี หลายคนยังทำได้ไม่ดีขนาดนั้น
เอาเข้าจริง เงื่อนไขที่ให้มาทำให้เมิ่งชั่งทำงานได้ง่ายกว่า เขาไม่ต้องเค้นหัวคิดหาแผนการตลาดเลยด้วยซ้ำ แค่ใช้เงินเล่นๆ ขำๆ ก็ได้ค่าคอมมิชชันสูงลิ่ว
เมิ่งชั่งอ่านสัญญาซ้ำไปมาอยู่หลายหน แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามีอะไรผิดแปลกตรงไหน แม้จะสังหรณ์ใจว่ามีบางอย่างแปลกๆ
เขาคือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ขาดความรู้ด้านการเงินและกฎหมาย จึงบอกได้ว่าสัญญานี้ไม่มีหลุมพราง ดูเกินจริงไปเสียด้วยซ้ำ
ข้อจำกัดเดียวคือ เมิ่งชั่งทำเรื่องไม่เหมาะสมไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ด่าลูกค้าตรงๆ ในโฆษณา แบ่งแยกเพศหรือภูมิภาค และละเมิดกฎหมายด้านการโฆษณา โดยจะมีคนรับผิดชอบกำกับดูแลเขาอีกที
แต่เงื่อนไขนี้ก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลสำหรับเมิ่งชั่ง ถือเป็นการป้องกันไม่ให้เขาใช้ประโยคจะช่องโหว่ เพราะงั้นก็เข้าใจได้
หลังจากคิดถึงหนี้หลายล้านที่ต้องจ่าย เมิ่งชั่งก็พูดขึ้น “ตกลงครับ ผมจะเซ็นสัญญา
“ระยะเวลานานที่สุดคือ… สิบปี?”
เผยเชียนพยักหน้า “ใช่ครับ ถ้าคุณเซ็นสัญญาสิบปี ค่าคอมมิชชันสูงสุดต่อเดือนจะอยู่ที่สองแสนหยวน ถ้าเซ็นสามปี ค่าคอมมิชชันสูงสุดจะอยู่ที่หนึ่งแสนหยวน ยิ่งเซ็นระยะยาว ค่าคอมมิชชันก็ยิ่งสูง”
เมิ่งชั่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบปากกามาเซ็นอย่างแน่วแน่ พอเซ็นชื่อเสร็จ ก็ติ๊กช่องระยะเวลาสิบปี
งั้นก็สิบปีไปเลย ต้องเอาคอมมิชชันสูงสุดอยู่แล้ว!
เมิ่งชั่งรู้ดีว่าถ้าเซ็นสัญญาสามปีแล้วมาตระหนักทีหลังว่าสามารถทำเงินสองแสนได้ง่ายๆ คงจะเสียดายมากแน่นอน
แม้ว่าจะใช้เวลาไม่ถึงสิบปีในการชำระหนี้ทั้งหมดโดยคิดจากค่าคอมมิชชันเดือนละสองแสน แต่ถึงจะชำระหนี้หมดแล้ว ก็ยังหาเงินต่อได้อีกสองสามปี
สิบปีให้หลัง เขาจะยังอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตอยู่ ถ้าสั่งสมความมั่งคั่งไว้บ้าง ก็มีตัวเลือกที่ดีระหว่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเริ่มธุรกิจใหม่
เผยเชียนพอใจมาก หลังเก็บสัญญากลับ เขาก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “โอเคครับ ขอให้จ่ายหนี้หมดไวนะๆ”
เมิ่งชั่ง “?”
ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกเหมือนบอสเผยกำลังเยาะเย้ยกันอยู่ novelgu.com
…
เมิ่งชั่งยังทำใจเชื่อไม่ลงแม้จะกลับออกจากบริษัทลงทุนหยวนเมิ่งแล้ว
เขาหยิบสัญญาส่วนที่ต้องเก็บไว้มาอ่านอย่างละเอียดดูอีกครั้ง ไม่มีหลุมพรางอะไรจริงๆ เหรอ
“ช่างเถอะ เซ็นไปแล้ว เลิกคิดมากดีกว่า”
เมิ่งชั่งรู้สึกว่ามัวกังวลเรื่องการได้หรือเสียผลประโยชน์ตอนนี้ไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะนี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
บอสเผยบอกว่าให้เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการเดือนหน้า ระหว่างนี้ให้ไปพักปรับสภาพจิตใจก่อน
ขณะที่กำลังเดินกลับ เขาก็เห็นใบหน้ายาวใหญ่อันคุ้นเคยเดินผ่านไปอย่างรีบร้อน
เมิ่งชั่งขนลุกซู่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นั่นบอสหม่าไม่ใช่เหรอ
เขายังจำที่บอสหม่าแสร้งทำตัวโง่ในงานโชว์เคสสาวหน้านิ่งและหลอกเขาสำเร็จได้ขึ้นใจ ตอนนั้นบอสหม่าถามคำถามจี้จุดย้ำชัดถึงแก่นปัญหาสองข้อ ทำให้งานโชว์เคสไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดไว้
มือขวาของบอสเผยจะเป็นคนธรรมดาได้ยังไง
เมิ่งชั่งรีบก้มหน้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หม่าหยางเดินผ่านเมิ่งชั่งไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดยืนแล้วหันไปมอง
“เอ๊ะ คนนั้นทำไมหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน
“อืม… จำไม่ได้แฮะ”
หม่าหยางยกมือเกาหัว ช่วงที่ผ่านมาเขามีอะไรต้องทำเยอะมาก โดยเฉพาะการเก็บตัวเตรียมสอบเป็นเวลานาน จะไปจำคนมากมายที่ต้องเจอทุกวันๆ ได้ยังไง
หม่าหยางลืมเรื่องเล็กน้อยนี้ไป ก่อนจะมุ่งหน้าไปบริษัทลงทุนหยวนเมิ่งด้วยความตื่นเต้น
…
“พี่เชียน!”
เผยเชียนได้ยินเสียงดังลั่นของหม่าหยางก่อนจะเห็นหน้าใหญ่ยาวของอีกฝ่าย
ครู่ต่อมา หม่าหยางก็เปิดประตูเข้ามาในห้องรับรอง
เผยเชียนวางเอกสารในมือลง “อ้าว ไอ้หม่า มาทำอะไรที่นี่”
หม่าหย่างยิ้ม “ช่วงที่ผ่านมาผมเตรียมสอบหนักเลยไม่ได้รายงานการทำงาน ตอนนี้สอบเสร็จแล้ว ผมควรกลับมาตั้งใจทำงาน
“จะว่าไปเหมือนผลสอบจะออกวันนี้นะ พี่เช็กดูรึยัง”
เผยเชียนตื่นเต้นขึ้นมาทันที “หา? ผลสอบออกแล้วเหรอ ไหนดูซิ”
เขารีบหยิบโน้ตบุ๊กที่วางอยู่ข้างๆ มาเขาเว็บมหาวิทยาลัย พอล็อกอินเสร็จ เขาก็กดเข้าไปดูผลสอบ
“โห! วิชาสอบปิดหนังสือฉันได้เจ็ดสิบสองคะแนน!”
เผยเชียนอดภูมิใจขึ้นมาไม่ได้
สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ การสอบแบบปิดหนังสือนั้นยากที่สุด ถึงความยากของการสอบปิดหนังสือจะน้อยกว่าการสอบแบบเปิดหนังสือเล็กน้อย แต่คนส่วนใหญ่ก็ขี้เกียจท่องจำ
ถ้าเป็นตอนมัธยม เนื้อหาต่างๆ นั้นจำได้ง่ายมาก แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็ต่างออกไปลิบลับ
วิชาส่วนใหญ่ในคณะมนุษยศาสตร์และศิลปศาสตร์ที่คนส่วนใหญ่สอบตกมักจะเป็นวิชาที่สอบแบบปิดหนังสือ และส่วนใหญ่ที่สอบตกมักเป็นผู้ชาย
เหตุผลไม่มีอะไรมากกว่าความขี้เกียจ
เผยเชียนได้เจ็ดสิบสองคะแนน ซึ่งหมายความว่าการทวนหนังสือของเขาได้ผลดี ถ้าเป็นคะแนนพิศวาสจากอาจารย์ มากสุดก็น่าจะได้สักหกสิบคะแนน ทุกคะแนนที่เพิ่มขึ้นมานั้นมาจากความพยายามของตัวเขาเอง!
“ไอ้หม่า แกได้กี่คะแนน” เผยเชียนถาม
หม่าหยางยิ้มย่อง “ได้มากกว่าพี่นิดหน่อยเอง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเผยเชียนหายไปในพริบตา “มากกว่านิดหน่อยน่ะเท่าไหร่”
หม่าหยางตอบ “แปดสิบเอ็ดคะแนน”
เผยเชียนเงียบไปครู่หนึ่ง “แล้ววิชาเปิดหนังสือล่ะ ฉันได้เจ็ดสิบเก้า”
หม่าหยางเช็กดู “ก็ได้มากกว่าพี่นิดหน่อยเหมือนกัน ผมได้แปดสิบสอง”
เผยเชียนถามวิชาอื่นๆ ต่อ แต่หม่าหยางได้คะแนนมากกว่าเขาหมดเลย
พอถึงวิชาสุดท้าย หม่าหยางก็เกาหัว “วิชานี้ผมได้น้อยกว่าพี่แฮะ ผมได้เจ็ดสิบสี่ น้อยกว่าพี่หนึ่งคะแนน”
เผยเชียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าของเขาสดใสขึ้นมา
ยังดี ตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสาม ในที่สุดก็มีวิชาที่เขาทำคะแนนได้มากกว่าไอ้หม่าตั้งหนึ่งคะแนน!
ดูเหมือนว่าการอ่านหนังสืออย่างจริงจังของเขาจะส่งผล แม้จะได้คะแนนเยอะกว่าแค่หนึ่งคะแนน แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี!