อีกด้านหนึ่ง เผยเชียนปิดไลฟ์สตรีม ในที่สุดก็โล่งใจได้
เขาไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศแล้ว แต่ย้ายมาที่ร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูและดูช่วงสุดท้ายของการแข่งขันบนมือถือแทน
เพราะการแข่งขันยังไม่จบ แต่ได้เวลาเลิกงานของบริษัทแล้ว
เผยเชียนย้ำกับพนักงานจนปากเปียกปากแฉะเรื่องห้ามทำงานนอกเวลา แน่นอนว่าเขาจะฝ่าฝืนกฎเองไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไล่ให้ทุกคนกลับบ้านตามเวลาและกลับออกไปพร้อมพนักงาน
พอมาถึงร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูเขาก็สั่งอาหารเย็นมากินไปพร้อมกับดูช่วงสุดท้ายของการแข่งขัน
ผลการแข่งขันของงานแข่งขันสตรีตฟู้ดตรงกับที่เผยเชียนคาดไว้
งานนี้ใช้เงินจำนวนมาก เพราะต้องจ้างร้านอาหารชื่อดังจากทั่วประเทศ เหมาโรงแรมหรู และออกค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างค่าอาหารและค่าถ่ายรูป
งานแข่งขันนี้ไม่ได้สร้างความนิยมให้เถิงต๋า ถึงสาวหน้านิ่งจะโผล่ในรายการ แต่ก็โดนกรรมการสับเละจนไม่เหลือค่า ได้ผลลัพธ์โปรโมตในทางลบกลับบ้าน
ชัดเจนว่าแบรนด์สาวหน้านิ่งมีแต่จะแย่ลง
สิ่งสำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มคือการที่ลูกค้ากลับมาใช้บริการเรื่อยๆ กุญแจสำคัญอยู่ที่การรักษาลูกค้าด้วยรสชาติและชื่อเสียง
ตอนนี้ชื่อเสียงของสาวหน้านิ่งพังป่นปี้ รสชาติที่เคยได้รับการยกย่องว่าดีเกินใครกลับสู่สภาพเดิม น่าจะมีคนแวะไปกินที่ร้านสาวหน้านิ่งไม่มาก ดังนั้นเงินที่ใช้ในการบริหารร้านตามปกติก็จะสูญเปล่า
เผยเชียนมีความคิดที่เหนือกว่านั้น
ถ้าสาวหน้านิ่งยังอยู่ในสภาพร่อแร่ต่อไปและไม่ทำกำไรเลย เผยเชียนก็จะพยายามโปรโมตและใช้จ่ายเงินให้มากขึ้น
เพราะการโปรโมตใช้เงินเยอะกว่าการดูแลการดำเนินงานปกติ!
แน่นอนว่าก็ต้องมั่นใจว่าสาวหน้านิ่งอยู่ในสภาพร่อแร่ขนาดที่ไม่ว่าจะโปรโมตหนักแค่ไหนก็กู้ชีพกลับมาไม่ได้อีก
เขาไม่สามารถเร่งอะไรในตอนนี้ได้ ต้องรอดูกันต่อไป
คิดได้แบบนั้นเผยเชียนก็อารมณ์ดีขึ้นมา ขนาดที่ว่าอาหารของร้านอินเทอร์เน็ตโมหยูรสชาติดียิ่งกว่าเดิม
…
ตอนค่ำ หลังกลับบ้านได้ไม่นาน ฉีเหยียนก็ได้รับข้อความจากเพื่อนร่วมงาน
“วิดีโองานวันนี้ตัดต่อและลงเรียบร้อยแล้วครับ”
ฉีเหยียนตอบกลับทันที “โอเคค่ะ คุณทำงานหนักมาก พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ”
ตามแผนเดิมของเมิ่งชั่ง คลิปนี้ต้องตัดต่อให้เหมาะสมตามมาตรฐานของรายการวาไรตี้ โดยใส่เอฟเฟกต์พิเศษต่างๆ เข้ามาเพื่อให้มั่นใจถึงผลตอบรับของรายการ
แต่แผนของเมิ่งชั่งโดนปัดตกไปแล้ว
ฉีเหยียนโทรหาเฮ่อเต๋อเซิ่งเพื่อขอคำแนะนำ อีกฝ่ายบอกว่าไม่ต้องจริงจังกับวิดีโอนี้มากนัก แค่ตัดต่อง่ายๆ แล้วเอาไปลงได้เลย
ดังนั้นเพื่อนร่วมงานของฉีเหยียนจึงเริ่มตัดต่อคลิปทันทีที่จบงาน พวกเขาไม่ได้ใส่เอฟเฟกต์พิเศษอะไรเลย จากนั้นก็อัปโหลดลงอินเทอร์เน็ต
วิดีโอเพิ่งผ่านการตรวจสอบตอนที่ฉีเหยียนถึงบ้าน
เธอเปิดดูแล้วพบว่าวิดีโอเป็นไปตามที่คาดไว้ คือแทบไม่มีคนดู
ฉีเหยียนไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก เพราะถึงตอนนี้งานแข่งขันสตรีตฟู้ดก็จบแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีก
วิดีโอนี้น่าจะจมหายไปในมหาสมุทรของอินเทอร์เน็ตเหมือนคลิปส่วนใหญ่บนโลกออนไลน์
แน่นอนว่าพวกเขาจ่ายเงินก้อนโตเพื่อขึ้นหน้าหลักได้ แต่ก็ดูไม่จำเป็น
ถึงการแข่งขันวันนี้จะถือว่าประสบความสำเร็จ ฉีเหยียนก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการใช้วิธีนี้เลย เธออดคลางแคลงใจในอนาคตของอาชีพตัวเองที่สาวหน้านิ่งขึ้นมาไม่ได้
ตอนนั้นเองเธอก็ได้รับอีกข้อความจากเพื่อนร่วมงาน
“พี่ฉี ดูเหมือนว่าหลายคนกำลังถกกันบนโลกออนไลน์เรื่องงานแข่งขัน มีคนวิเคราะห์จุดประสงค์เบื้องหลังของงานแข่งขันนี้ด้วย!”
ฉีเหยียนอ่านข้อความด้วยแววตาสับสน เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นบนหัวเธอ
ถกกันเรื่องการแข่งขันยังพอเข้าใจได้ แต่งานแข่งขันนี้มีเหตุผลเบื้องหลังอะไรด้วยเหรอ
งานแข่งขันร้านข้างทางเดิมจัดขึ้นเพื่อโปรโมตสาวหน้านิ่ง จะมีเหตุผลลึกซึ้งอะไรอีก
ฉีเหยียนค้นอินเทอร์เน็ตแล้วพบเนื้อหาที่ชาวเน็ตกำลังถกข้อสงสัยกันอยู่
ถึงแบรนด์สาวหน้านิ่งจะกระแสซาไปแล้ว แต่ก็ยังมีการถกเถียงบนโลกออนไลน์อยู่มาก
เพราะยังไงสาวหน้านิ่งก็ลงโฆษณาไปทั่วโลกออนไลน์ตอนที่ตั้งตัวเป็นแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มชื่อดังบนอินเทอร์เน็ต ชาวเน็ตจึงยังจำกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ได้ขึ้นใจ
ต่อมาชาวเน็ตก็เริ่มถกกันว่าสาวหน้านิ่งเป็นโมเดลธุรกิจใหม่หรือการต้มตุ๋น พอสาวหน้านิ่งปิดตัว กระแสถกเถียงก็เริ่มได้ข้อสรุป
ดังนั้นพอมีข่าวเกี่ยวกับสาวหน้านิ่งโผล่ขึ้นมาในอินเทอร์เน็ต ชาวเน็ตหลายคนก็จะตั้งกลุ่มสนทนากันทันที
รอบนี้ชาวเน็ตกำลังถกกันเรื่อง ‘สาวหน้านิ่งหลังยุคเมิ่งชั่งจะเป็นยังไงต่อ’ โดยงานแข่งขันสตรีตฟู้ดเป็นตัวจุดประเด็น
บทความที่มีการแชร์และถกเถียงกันมากที่สุดคือโพสต์ชื่อ ‘การพังและสร้างชื่อเสียงของสาวหน้านิ่งขึ้นมาใหม่ผ่านงานแข่งขันสตรีตฟู้ด’
บทความนี้ลงยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่มียอดเข้าไปดูนับหมื่นและคอมเมนต์อีกนับร้อย แถมยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉีเหยียนกดเข้าไปดูแล้วรู้สึกคุ้นกับชื่อผู้เขียนมาก เธอเปิดดูโพสต์เก่าๆ ของเขาแล้วพบว่าเป็นผู้เขียนบทความ ‘ความคิดทางอินเทอร์เน็ตของสาวหน้านิ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการเสแสร้ง’
บทความที่แล้วเขียนก่อนที่สาวหน้านิ่งจะเจ๊ง ถือเป็นการโจมตีส่งท้ายที่สมบูรณ์แบบมาก
ย่อหน้าที่ว่า ‘เมิ่งชั่งเหมือนเด็กที่นั่งอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ แล้วคิดว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ที่นั่งคนขับ คุมทิศทางรถและเก็บเงินจากผู้โดยสาร แต่จริงๆ แล้วทั้งรถและเส้นทางไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาเลย’ ถือเป็นหมัดปิดฉากเล็งเข้าจุดตายของสาวหน้านิ่งในตอนนั้น
ตอนนั้นฉีเหยียนอ่านบทความแล้วรู้สึกประทับใจผู้เขียนมาก
สาวหน้านิ่งในตอนนั้นเหมือนจะไปได้สวย แต่จริงๆ มีคลื่นใต้น้ำอยู่
บริษัทมีปัญหามากมาย แต่ทุกคนเห็นไม่ชัดเจน
นอกจากผู้เขียนจะมองทะลุถึงรากปัญหาของสาวหน้านิ่งแล้ว ยังใช้คำศัพท์และการเปรียบเปรยที่เข้าใจได้ง่ายในการสื่อสารเนื้อหา ดูแล้วต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญแน่
รอบนี้เขาลงบทความเกี่ยวกับสาวหน้านิ่งอีก
บทความรอบนี้จะบอกว่ายังไงกัน novelgu.com
สาวหน้านิ่งสภาพร่อแร่แล้ว ถ้าผู้เขียนแค่จะประกาศความแม่นยำในการคาดเดาและเหยียบซ้ำตอนคนอื่นล้ม บทความนี้ก็ไม่มีความจำเป็นเลย
ฉีเหยียนกดเข้าไปอ่านด้วยความสับสน
“สาวหน้านิ่งล้มละลายตามที่ผู้เขียนคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ว่ากันว่าเมิ่งชั่งกลายเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีหนี้ติดตัวหลายล้าน ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาไปอยู่ไหน ทุกอย่างพิสูจน์ให้เห็นถึงทักษะการมองการณ์ไกลของผู้เขียน และยังพิสูจน์ว่าการเน้นย้ำ ‘ความคิดทางอินเทอร์เน็ต’ ของเมิ่งชั่งและ ‘การสอดรับกับกระแสนิยม’ เป็นแค่คำพูดสวยหรู ซึ่งสามารถหลอกนักลงทุนได้ แต่หลอกกฎทางธุรกิจไม่ได้
“หลายคนบอกว่าสาวหน้านิ่งไปไม่รอดแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะพลิกกลับมายืนหยัดได้ใหม่ ก่อนหน้านี้ผู้เขียนก็คิดแบบนั้น แต่หลังจากได้ข้อมูลวงในบางอย่างและเห็นงานแข่งขันสตรีตฟู้ดวันนี้ ผู้เขียนก็เปลี่ยนมุมมองทันที
“มีข่าวลือว่าเถิงต๋าคอร์เปอเรชันเข้าซื้อหุ้น 70% ของสาวหน้านิ่งและได้รับสิทธิ์ควบคุมสมบูรณ์ ถึงจะไม่มั่นใจว่าบอสเผยถูกใจแง่มุมไหนของสาวหน้านิ่ง แต่ผู้เขียนก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าบอสเผยพบหนทางหลุดพ้นจาก ‘สาวหน้านิ่งยุคหลังเมิ่งชั่ง’ และงานแข่งขันสตรีตฟู้ดเป็นแค่จุดเริ่มต้น!”
…
ฉีเหยียนรู้สึกสับสนปนประหลาดใจ
ในฐานะคนวงในของสาวหน้านิ่ง เธอรู้ดีว่าสถานการณ์ของงานแข่งขันสตรีตฟู้ดเป็นยังไง งานนี้คือกิจกรรมทางการตลาดที่เมิ่งชั่งวางแผนไว้เพื่อโปรโมตสาวหน้านิ่ง
ดังนั้นการวิเคราะห์ของบทความนี้จึงดูไร้สาระไปหน่อย งานแข่งขันสตรีตฟู้ดจะเป็นหนทางหลุดพ้นจากสถานการณ์ได้ยังไง
แต่พอคิดดูอีกที ฉีเหยียนก็มองว่ามีความเป็นไปได้เหมือนกัน
บอสเผยจงใจสั่งให้เปลี่ยนจากการบันทึกภาพมาเป็นไลฟ์สตรีม แถมยังบอกให้กรรมการวิจารณ์สาวหน้านิ่งตามความเป็นจริง ไม่ต้องให้ความปรานี
บอสเผยยุ่งขนาดนั้น ทำไมถึงเป็นคนสั่งให้จัดการเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เองด้วย
หรือการเปลี่ยนแปลงที่ดูไม่สลักสำคัญสองอย่างนี้ของบอสเผยไม่ได้ทำไปส่งๆ แต่มีความหมายเบื้องลึกซ่อนอยู่
ฉีเหยียนรีบอ่านต่อ
…
“ผู้เขียนวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าปัญหาของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มแบบสาวหน้านิ่งนั้นคล้ายคลึงกัน ทำการตลาดหนัก แต่ตัวสินค้าขาดความเอาใจใส่ พูดให้เข้าใจง่ายคือ โม้เยอะเกินไป แต่ทำสินค้าไม่ได้ระดับที่ตัวเองโม้ไว้
“ผมเคยบอกไว้ว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ไม่มีใครโง่ไปกว่ากัน กระทั่งคนที่ฉลาดที่สุดก็หลอกลูกค้าไปได้แค่ชั่วคราว ไม่ใช่ชั่วชีวิต ทุกคนมีคำตอบในใจแล้วว่าบะหมี่เย็นย่างของสาวหน้านิ่งอร่อยหรือไม่ ไม่ว่าจะทำการตลาดดีขนาดไหน ถ้ารสชาติไม่ถึงขั้นที่คาดหวังไว้ สุดท้ายก็กลายเป็นวิมานในอากาศ
“ปมปัญหาของสาวหน้านิ่งสะท้อนถึงข้อบกพร่องใหญ่ที่สุดของเมิ่งชั่งในฐานะผู้ประกอบการ เขาพยายามแหงนหน้ามองออกไปไกล แต่ไม่ยอมก้มมองผืนดินที่ยืนอยู่
“ดังนั้นความล้มเหลวของสาวหน้านิ่งจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“แต่หลังจากสาวหน้านิ่งเปลี่ยนเจ้าของใหม่ บอสเผยก็ถ่ายทอดปรัชญาการทำธุรกิจใหม่เอี่ยมให้กับทุกคนผ่านงานแข่งขันสตรีตฟู้ด ซึ่งก็คือ ขุดค้นความจริง สินค้ามีคุณค่า และเคารพในพรสวรรค์!
“จุดนี้แตกต่างกับปรัชญาการบริหารจัดการภายใต้การดูแลของเมิ่งชั่งลิบลับ หรือเรียกว่าเป็นขั้วตรงข้ามเลยก็ว่าได้
“ในการแข่งขันสตรีตฟู้ดครั้งนี้ เราจะเห็นว่าบะหมี่เย็นย่างของสาวหน้านิ่งอยู่บนเวทีเดียวกับบะหมี่เย็นย่างของร้านข้างทางเด่นดังจากทั่วประเทศ กรรมการไม่ได้เข้าข้างผู้จัดอย่างสาวหน้านิ่ง พวกเขาเข้มงวดและไม่ลำเอียง อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงปัญหามากมายในบะหมี่เย็นย่างของสาวหน้านิ่ง
“เรื่องนี้แสดงให้เห็นสองอย่าง
“อย่างแรก เราได้คำตอบที่แน่ชัดว่าสาวหน้านิ่งในยุคของเมิ่งชั่งรสชาติดีกว่าร้านข้างทางทั่วไป แต่ก็ไม่ดีขนาดที่เมิ่งชั่งโม้
“ถือได้ว่าเป็นข้อสรุปอย่างเป็นทางการ เป็นการลบล้างวิธีทำการตลาดเกินจริงของเมิ่งชั่งก่อนหน้านี้ และบอกลูกค้าทุกคนว่ารสชาติจริงๆ ของสาวหน้านิ่งเป็นอย่างไร
“อย่างที่สอง เมื่อปฏิเสธแนวทางการบริหารของเมิ่งชั่ง ก็ประกาศแนวทางการบริหารใหม่ให้ทุกคนรู้ไปด้วยเลย!
“เมิ่งชั่งโม้มาตลอดว่าบะหมี่เย็นย่างของสาวหน้านิ่งนั้นอร่อยขนาดไหน แต่ธาตุแท้ก็มาเผยในงานแข่งขันสตรีตฟู้ดวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร้อนของบะหมี่เย็นย่าง ปริมาณเครื่องปรุง หรือจังหวะในการพรมน้ำ เชฟของสาวหน้านิ่งทำได้ไม่ดีพอ ไม่ได้ชำนาญเท่าพ่อค้าแม่ขายร้านข้างถนนเลื่องชื่อ
“แสดงให้เห็นเลยว่า ‘ความเข้มงวดด้านรสชาติ’ ของเมิ่งชั่งเป็นแค่ลมปาก เขาไม่ได้ศึกษาและพัฒนารสชาติของบะหมี่เย็นจริงๆ
“ที่บอสเผยต้องการจะสื่อกับทุกคนคือแนวคิดนี้ ต่อไปสาวหน้านิ่งจะควบคุมรายละเอียดต่างๆ อย่างเข้มงวดและพัฒนารสชาติและรสสัมผัสของบะหมี่เย็นย่างต่อไป ขณะเดียวกันก็จะสื่อสารเรื่องรสชาติอย่างตรงไปตรงมาและเลิกโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง!
“นอกจากนั้นจุดสำคัญที่สุดคือการเน้นเรื่องพรสวรรค์
“งานแข่งขันสตรีตฟู้ดครั้งนี้รวบรวมร้านข้างทางฝีมือโดดเด่นจากทั่วประเทศ บอสเผยแสดงความกระหายในความสามารถผ่านการแข่งขัน โดยเฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญที่เก่งด้านอาหารข้างทางจริงๆ และมอบเวทีที่ดีกว่าในการอวดฝีมือ!
“ดังนั้นถึงงานแข่งขันสตรีตฟู้ดจะดูเหมือนกิจการทางการตลาดทั่วไป แต่ความหมายเบื้องหลังจริงๆ นั้นยิ่งใหญ่มาก
“เราสามารถมองงานนี้เป็นบทสรุปได้ งานนี้ทั้งสรุปและวิจารณ์แนวทางการบริหารผิดๆ ของเมิ่งชั่งก่อนหน้านี้ และยังเป็นการประกาศแนวทางการบริหารที่ถูกต้อง ซึ่งสาวหน้านิ่งจะยึดเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปในอนาคต!
“อนาคตต่อไปของสาวหน้านิ่งจะเป็นอย่างไร แบรนด์ที่เจ๊งไปแล้วจะกลับมามีชีวิตใหม่ด้วยมือของบอสเผยได้หรือไม่ เราต้องรอดูกันต่อไป!”