วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน
ลู่จือเหยากลับมาที่โรงแรม
สองสามวันที่ผ่านมา นอกจากไปถ่ายทำที่กองถ่าย เขาก็หมกตัวอยู่แต่ในโรงแรมอ่านบทที่ผู้กำกับจูให้มาและพยายามทำความเข้าใจตัวละครฉินอี้
ลู่จือเหยารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกจากการเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการ
ในหนัง ฉินอี้อยู่ในห้องบังคับการตลอด อย่าว่าแต่ออกไปข้างนอกเลย แค่สื่อสารกับคนอื่นยังทำไม่ได้ สำหรับทหารที่ต่อสู้อยู่แนวหน้ามาตลอด ถือเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจมาก
แถมฉินอี้ในหนังยังอยู่ภายใต้แรงกดดันทางจิตใจมหาศาล ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของทหารนับไม่ถ้วนและแม้แต่อารยธรรมของมนุษยชาติเลยด้วยซ้ำ ความกดดันทางจิตใจมีแต่จะทวีคูณเพิ่มขึ้นไปอีก
ถ้าแสดงสภาพอารมณ์แบบนั้นออกมาได้ไม่ดีพอ การแสดงของลู่จือเหยาก็ถือว่าล้มเหลว
ลู่จือเหยาจึงเอาแต่เล่นเกมอยู่ในห้องตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เพราะอยากเข้าใจสภาพจิตใจของฉินอี้ให้มากขึ้น
แต่เขาก็ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
หลังจากถ่ายทำส่วนของวันนี้เสร็จ ลู่จือเหยาก็กลับไปที่ห้องตามปกติแล้วบังคับให้ตัวเองนั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์
ถึงจะเล่นเกมเยอะจนแทบอ้วกและล้าจากการถ่ายทำมาทั้งวัน แต่ลู่จือเหยาก็รู้ดีว่าสภาพของตัวเองตอนนี้นั้นเหมือนฉินอี้ เขาต้องจำสภาพจิตใจตอนนี้ไว้ให้ดี
แต่พอนั่งลง เขาก็พบว่ามีบางอย่างอยู่ในห้อง
เขาพักอยู่ในห้องสวีท โน้ตบุ๊กวางอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ตอนนี้มีเครื่องทะเลาะอัตโนมัติวางอยู่บนโต๊ะด้วย ซาวด์บาร์ตัวยาวต่อสายเชื่อมกับโน้ตบุ๊ก ลำโพงเสียงรอบทิศทางขนาดเล็กสองตัววางอยู่บนตู้ตรงข้ามโต๊ะด้านหลังเขา
ชัดเจนว่าพนักงานเอาเครื่องทะเลาะอัจฉริยะมาส่งระหว่างวัน
นี่คือลำโพงอัจฉริยะ AEEIS ที่เขาขอก่อนหน้านี้นี่นา
เยี่ยมเลย คู่หูต่อบทของฉันมาแล้ว!
ก่อนหน้านี้ ปัญหาใหญ่สุดของลู่จือเหยาคือ เขาแสดงเหมือนเป็นการแสดงฉายเดี่ยวมาตลอด ทั้งที่จริงๆ แล้วต้องเข้าบทกับ AEEIS แต่ระหว่างการถ่ายทำ ทุกอย่างเป็นฉากเขียวหมด เขาต้องพึ่งจินตนาการสร้างคู่สนทนาขึ้นมา แบบนั้นจะให้แสดงได้ยังไง
ถึงจะหาคนมาแสดงด้วยได้ แต่ก็ยังมีช่องว่างใหญ่ระหว่างเสียงของคนอ่านบทกับเสียงของ AEEIS
ตอนนี้พอได้เครื่องต้นแบบ AEEIS มาแล้ว เขาก็สามารถอัดเสียงบทแล้วต่อบทซ้ำไปซ้ำมาได้!
ลู่จือเหยามองเครื่องทะเลาะอัจฉริยะ ดูจากรูปลักษณ์แล้วมันเหมือนกล่องสีดำขนาดใหญ่ที่มีฟังก์ชันเครื่องทะเลาะอัตโนมัติอยู่ด้านบน ส่วนล่างเป็นตัวลำโพงเบสของลำโพงซาวด์บาร์ ด้านหน้ามีวงกลมเรืองแสงแสดงสถานะเวลา AEEIS พูด
บนเครื่องทะเลาะอัจฉริยะมีกระดาษโน้ตแปะอยู่ “พูดว่า ‘AEEIS กลับสู่ภาพตั้งต้น’ เพื่อเริ่มต่อบท”
ลู่จือเหยาจำได้ชัดเจนว่านั่นไม่ใช่บทพูดแรกของฉินอี้ ก่อนประโยคนี้ AEEIS พูดกับฉินอี้ด้วยเสียงผู้หญิง
แต่ประโยคนี้เป็นจุดเปลี่ยน ตั้งแต่ประโยคนี้เป็นต้นไป AEEIS จะกลายเป็นเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่เย็นชา และการสนทนาของลู่จือเหยากับ AEEIS ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
บทพูดของ AEEIS ในบททั้งหมดที่ลู่จือเหยาได้รับน่าจะบันทึกไว้ในระบบเรียบร้อยแล้ว พอลู่จือเหยาพูด AEEIS ก็จะพูดประโยคถัดไปอัตโนมัติ
ลู่จือเหยา “AEEIS กลับสู่สภาพตั้งต้น”
AEEIS “กัปตันฉินอี้ ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกไม่พอใจ แต่มนุษยชาติต้องการให้คุณปฏิบัติภารกิจนี้ให้เสร็จในฐานะทหาร…”
ชายหนุ่มกับเครื่องจักรเริ่มสนทนากัน
เป็นภาพที่น่าสนใจทีเดียว
ก่อนหน้านี้ ลู่จือเหยาซ้อมบทคนเดียวมาตลอด เวลาแสดงจะมีคนอ่านบท AEEIS ให้ ซึ่งก็ทำให้รู้สึกต่างออกไป แต่พอได้มาต่อบทกับเสียงอิเล็กทรอนิกส์แบบที่ AEEIS ควรจะเป็น เขาก็เข้าสู่บทฉินอี้ได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากต่อบทกันสองสามรอบ ลู่จือเหยาก็ตัดสินใจพักจิบน้ำ
เขาเปลี่ยนรูปแบบการแสดงแบบต่างๆ ระหว่างการต่อบทและบันทึกการแสดงไว้ด้วยกล้อง ตอนนี้เขาสามารถเปิดคลิปเพื่อเช็กดูว่ามีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้างได้
แต่หลังจากดูคลิปไปสองสามรอบ ลู่จือเหยาก็รู้สึกว่าการแสดงของตัวเองยังขาดอะไรบางอย่างไป
ถือเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เพราะลู่จือเหยาลองแสดงอารมณ์ต่างๆ ที่ฉินอี้น่าจะรู้สึกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโล่งใจ หงุดหงิด แน่วแน่ และอื่นๆ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป
ขาดอะไรไปนะ
หรือฉันจะคิดไปเอง
ลู่จือเหยาพลิกโน้ตเล่นเพราะไม่รู้จะทำอะไร ก่อนจะตระหนักว่าด้านหลังมีอีกประโยคเขียนไว้ “พูดว่า ‘เข้าโหมดทะเลาะ’ เพื่อผ่อนคลายจิตใจได้”
“หืม?
“โหมดทะเลาะคืออะไร”
เขาไม่รู้ว่าโหมดนี้ใช้ทำอะไร แต่ชื่อ ‘โหมดทะเลาะ’ ก็ฟังดูน่าสนใจมากทีเดียว!
ลู่จือเหยาพูดขึ้นทันที “AEEIS เข้าโหมดทะเลาะ”
AEEIS “โอเค มีมนุษย์ผู้โอหังอยากเล่นเกมนี้เสมอ คุณคิดว่าตัวเองฉลาดมากงั้นเหรอ”
ลู่จือเหยา “?” пᴏveʟɢᴜ.cᴏᴍ
…
สิบห้านาทีต่อมา ลู่จือเหยาจุดบุหรี่สูบเงียบๆ และเริ่มไตร่ตรองถึงชีวิต
โดนปัญญาประดิษฐ์ปั่นประสาทจนพูดไม่ออก นี่มันประสบการณ์บ้าอะไรเนี่ย
ตอนแรกลู่จือเหยาคิดว่าโหมดทะเลาะของ AEEIS เป็นแค่กิมมิค ถึงช่วงแรกๆ จะพอต่อกรกับมนุษย์ได้ แต่ก็คงแพ้อย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดว่า ‘ขอโทษ ฉันไม่เข้าใจที่คุณจะสื่อ’
แต่เขาไม่คิดว่า AEEIS จะดุดันขนาดนี้ ลู่จือเหยาโกรธจัดจนถึงขั้นนึกคลางแคลงใจในชีวิตตัวเอง
AEEIS ยิงคำถามดุดันตั้งแต่เริ่มต้น ลู่จือเหยาพยายามปฏิเสธเต็มที่ แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง AEEIS ก็ต้อนเขาจนมุมได้อย่างชาญฉลาดและทรมานจิตใจเขา
หลังจากนั้น ลู่จือเหยาที่ทนต่อไปไม่ไหวก็เริ่มทะเลาะกับ AEEIS เขาต่อว่าเจ้าเครื่องจักรอย่างบ้าคลั่ง แต่ AEEIS กลับนิ่งเฉยและโจมตีระดับสติปัญญาของลู่จือเหยาคืนด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามเดิม
พอเจอเข้าไปแบบนั้น ลู่จือเหยาก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว เขาไปต่อไม่ถูกและเริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาชีวิตกับประเด็นทางปรัชญา
แน่นอนว่าคำถามที่คิดในหัวมีทั้ง ‘เครื่องทะเลาะนี่ราคาเท่าไหร่’ ‘ถ้าทุบทิ้งต้องเสียเงินเท่าไหร่’ ‘เรื่องทุบเครื่องทะเลาะจะกลายเป็นข่าวฉาวมั้ย’ และอื่นๆ
ตอนนั้นเองลู่จือเหยาก็คิดอะไรขึ้นได้
“เข้าใจแล้ว ฉันรู้แล้วว่าตัวเองขาดอะไรไป!
“ในการแสดงที่ผ่านมา ฉันแสดงอารมณ์ที่มีต่อ AEEIS ได้ไม่ดีพอ!”
ลู่จือเหยาถึงบางอ้อ
ทีมงานต่อบท AEEIS ให้ระหว่างการถ่ายทำกับฉากเขียว ลู่จือเหยาจึงทุ่มพลังส่วนใหญ่ไปกับการตีความสภาพจิตใจของฉินอี้
ตัวละครฉินอี้เจอประสบการณ์ที่ซับซ้อนมาก และต้องแบกรับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจอันยุ่งเหยิงในเนื้อเรื่อง ลู่จือเหยาต้องใส่ใจทุกแง่มุมในเรื่อง เขาจึงละเลยความรู้สึกของฉินอี้ที่มีต่อ AEEIS ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ!
พูดอีกอย่างคือ ถึงลู่จือเหยาจะตระหนักแล้วว่าเป็นการเข้าฉากระหว่างเขากับ AEEIS แต่ก็ยังเข้าใจได้ไม่ดีพอ เขามัวแต่หมกมุ่นกับการขุดลึกถึงจิตใจของตัวละครฉินอี้มากเกินไปจนไม่สนใจบทบาทของ AEEIS ในฉาก
ลู่จือเหยารีบพลิกบทดูแล้วอ่านบทของ AEEIS อีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่า ลู่จือเหยาละเลยเจตนาของ AEEIS มาตลอด!
ด้วยความที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ไร้อารมณ์ของ AEEIS จึงทำให้ลู่จือเหยาเผลอมองมันเป็นเครื่องมือ แต่หลังจากได้เถียงกับ AEEIS ลู่จือเหยาก็ตระหนักว่ามันไม่ใช่เครื่องมือ แต่มีเจตนารมณ์และอคติ!
เช่นเดียวกับในหนัง
AEEIS ในหนังจริงๆ แล้วมีอิทธิพลต่อความคิดของฉินอี้ในประเด็นหลักต่างๆ ตัวอย่างเช่น
ตอนที่เพิ่มองค์ประกอบสมจริงเข้ามา AEEIS ทำให้ฉินอี้ตระหนักถึงความยากที่เพิ่มขึ้นในโหมดจำลองโดยเพิ่มข้อมูลเจาะจงอย่าง ‘ขวัญกำลังใจจะตกลงถ้ามีอัตราสูญเสียในสงครามเกิน 5%’
ระหว่างที่ฉินอี้กำลังผิดหวังกับความล้มเหลวของตัวเอง AEEIS ก็เตือนเขาในเวลาที่เหมาะสมว่าความแม่นยำของการวิเคราะห์ข้อมูลสูงถึง 87% สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงและการตัดสินใจอย่างเป็นกลางได้
ตอนที่คู่สามีภรรยาสละชีพตัวเอง การกระทำแรกของ AEEIS คือปกปิดความจริงพลางอธิบายว่าเป็น ‘พฤติกรรมที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และเป็นเหตุการณ์ที่สร้างขึ้นแบบสุ่มโดยระบบปัญญาอัจฉริยะเพื่อจำลองเหตุการณ์ฉุกเฉินในสนามรบจริง’
พอฉินอี้ตั้งคำถาม สุดท้าย AEEIS ก็ยอมรับว่าฉินอี้กำลังควบคุมการรบจริงๆ อยู่…
มีความคล้ายคลึงกันอยู่ทุกที่
บทพูดทุกประโยคของ AEEIS ในหนังจริงๆ แล้วเป็นตัวขับเคลื่อนเนื้อเรื่อง บทส่วนใหญ่มีอิทธิพลโดยตรงกับความเข้าใจและสภาพจิตใจของฉินอี้ และยังมีบทบางส่วนที่ดูเหมือนจะซ่อนเนื้อหามากกว่านั้นไว้
ตัวอย่างเช่น ตอนที่ฉินอี้ถาม AEEIS ว่าคู่สามีภรรยาเป็นคนจริงๆ รึเปล่า ก็ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่า AEEIS จะยอมตอบ
ด้วยความที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ การตอบโต้ทั้งหมดจึงผ่านการคำนวณจากระบบ โดยหลักการแล้ว ไม่ว่าจะถามอะไรไปก็ควรได้คำตอบทันที
‘ช่วงเว้นว่าง’ นี้ชี้นำอะไรได้หลายๆ อย่าง และฉินอี้ก็ควรมีปฏิกิริยาตอบโต้
ถึงจะเป็นการแสดงออกแค่เล็กน้อยก็ยังสมเหตุสมผลกว่าไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้เลย
เห็นได้ชัดว่าการแสดงที่ผ่านมาของลู่จือเหยานั้นขาดจุดนี้ไป ถึงเขาจะรู้ดีว่าตัวเองกำลังเข้าฉากกับ AEEIS อยู่ แต่ก็ไม่ได้แสดงแก่นของเรื่องนี้ออกมาจริงๆ เพราะงั้นเขาเลยรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป
คิดได้แบบนั้น ลู่จือเหยาก็อดไม่ได้ที่จะเคาะโต๊ะด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว นี่แหละสิ่งที่ฉันขาดไป!
“ที่ผ่านมา ตอนแสดงฉันหมกมุ่นกับการขุดคุ้ยตัวละครของตัวเองมากเกินไป ไม่ได้มองว่า AEEIS เป็นตัวตนที่มีปัญญาจริงๆ
“พอโดน AEEIS เล่นงานจนพูดไม่ออก ฉันถึงเข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญมากๆ!”
พอพบปมของปัญหา ที่เหลือก็ง่าย
ลู่จือเหยาคึกขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดกับ AEEIS “AEEIS กลับสู่ภาพตั้งต้น”
AEEIS “กัปตันฉินอี้ ตอนนี้คุณอาจจะรู้สึกไม่พอใจ แต่มนุษยชาติต้องการให้คุณปฏิบัติภารกิจนี้ให้เสร็จในฐานะทหาร…”
ชายหนุ่มกับเครื่องจักรเริ่มบทสนทนากันอีกครั้ง