อู๋ปินตอบ “บอสเผยไม่อยากให้จิตวิญญาณเถิงต๋าเป็นแบบแผนตายตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่บอสเผยย้ำมาตั้งแต่ต้น
“ผมกับชุ่ยเกิ่งทำคู่มือจิตวิญญาณเถิงต๋าขึ้นมาเพื่อช่วยให้เราตีความความคิดบอสเผยได้ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อให้เป็นคำตอบมาตรฐาน เราไม่อยากให้คู่มือนี้จำกัดความคิดของทุกคน
“แต่จิตวิญญาณเถิงต๋าก็กลายเป็นแบบแผนตายตัว หลายกิจการพยายามผ่านการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าด้วยการบอกใบ้และปลูกฝังจิตวิญญาณเถิงต๋าที่เป็นแบบแผนแทนจิตวิญญาณเถิงต๋าที่มีความเป็นอิสระ จริงๆ แล้วถือเป็นการทำให้ความทุ่มเทของบอสเผยในการเตรียมการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าสูญเปล่า!
“เพราะงั้นบอสเผยเลยบอกว่าไม่จำเป็นต้องเสริมสร้างจิตวิญญาณในเถิงต๋า อันที่จริงบอสหมายความว่าเถิงต๋าไม่ควรเป็นเหมือนบริษัทอื่นที่ให้ท่องจำตรงๆ บอสต้องการย้ำว่ากระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์
“บอสเผยอยากให้พนักงานใหม่มีอิสระในการทำความเข้าใจจิตวิญญาณเถิงต๋าในสภาพแวดล้อมบริษัทและสร้างแนวคิดที่หลากหลาย บอสไม่อยากปิดกั้นความเข้าใจของทุกคนด้วยวิธีการแบบเดียว
“ทำไมบอสเผยถึงไม่อยากให้แต่ละกิจการมีอิทธิพลต่อกันและให้ใส่ใจแค่กิจการของตัวเอง
“ส่วนหนึ่งก็เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางความคิด กับป้องกันไม่ให้จิตวิญญาณเถิงต๋าเป็นแบบแผนตายตัวและมีคำอธิบายแค่แบบเดียว
“อีกส่วนก็เพื่อส่งเสริมให้กิจการต่างๆ อธิบายจิตวิญญาณเถิงต๋าตามสถานการณ์และเอกลักษณ์ของแต่ละกิจการ!
“แต่ละกิจการมีสิ่งที่ตัวเองต้องให้ความสำคัญ กิจการเกม กิจการภาพยนตร์ กิจการเทคโนโลยี กิจการหน้าร้าน… ทุกกิจการต้องใช้จิตวิญญาณเถิงต๋าเป็นแนวทางในการทำงาน ถึงอย่างนั้นแต่ละกิจการก็ต้องใช้จิตวิญญาณเถิงต๋าที่แตกต่างกันไป
“ดังนั้นบอสเผยจึงอยากให้ทุกกิจการเข้าใจจิตวิญญาณเถิงต๋าตามสถานการณ์และความต้องการในการใช้งานของแต่ละกิจการ
“ส่วนทำไมผู้จัดการกิจการต่างๆ ถึงไม่จำเป็นต้องเข้าใจคำสั่ง แค่ทำตามก็พอ
“ผมคิดว่าเพราะไม่ช้าก็เร็ว ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการทุกคนจะเข้าใจเอง บอสเผยจะบอกทุกคนว่าจิตวิญญาณเถิงต๋าไม่ต้องอาศัยการปลูกฝัง แต่เป็นการรับรู้ได้ด้วยตัวเอง
“ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ด้วยตัวเองก็จะมีความลึกล้ำและสร้างความมั่นใจได้!”
ห่าวหยุนเข้าใจทันที “อย่างนี้นี่เอง
“บอสเผยคิดว่าจิตวิญญาณเถิงต๋าที่บอสทุ่มเทกลายเป็นแบบแผนตายตัว ก็เลยตัดสินใจปรับกระบวนการคิดใหม่ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เสริมสร้างจิตวิญญาณ แต่บอสอยากเสริมสร้างด้วยวิธีที่ดีกว่าและละเอียดอ่อนกว่า!
“งั้น… เราควรทำยังไงดี”
อู๋ปินไม่ลังเล “แน่นอนว่า เราต้องทำตามคำสั่งของบอสเผยครับ!
“พูดให้ชัดเจนคือ ผมคิดว่ามีอยู่สองสามประเด็น
“ก่อนอื่นเลย เลิกเผยแพร่คู่มือจิตวิญญาณเถิงต๋าและการตีความจิตวิญญาณเถิงต๋าแบบเฉพาะเจาะจง เลิกให้คำใบ้กับพนักงานที่จะสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋า โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาในการทำข้อสอบ ปล่อยให้พวกเขาโดนคัดออก ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจจิตวิญญาณเถิงต๋าภายใต้อิทธิพลของสภาพแวดล้อมการทำงานแบบนี้ ก็แสดงว่าการทำความเข้าใจของพวกเขาไม่ดีพอ ความคิดเป็นแบบแผนเกินไป ควรโดนคัดออก
“ห้ามให้คู่มือจิตวิญญาณเถิงต๋ากับคนที่ไม่มีความเข้าใจในจิตวิญญาณเถิงต๋าที่ลึกซึ้งมากพอ เพราะอาจจะทำคนคนนั้นเลิกค้นคว้าและครุ่นคิดเรื่องจิตวิญญาณเถิงต๋า
“ให้คู่มือจิตวิญญาณเถิงต๋าได้แค่กับคนที่มีความเข้าใจในจิตวิญญาณเถิงต๋าที่ลึกซึ้งและไม่ขัดแย้งในตัวเอง พวกเขาจะเห็นถึงมุมมองใหม่และได้ความคิดใหม่ๆ โดยไม่กระทบกับความเข้าใจเดิม
“ทำแบบนี้ อัตราการผ่านของการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าก็จะลดลง แต่ก็น่าจะตรงกับที่บอสเผยต้องการ
“สอง กิจการต่างๆ ไม่ควรมีการสื่อสารเรื่องจิตวิญญาณเถิงต๋ามากจนเกินไป ควรใช้สถานการณ์จริงเพื่อเจาะลึกลงไปในจิตวิญญาณเถิงต๋าซึ่งตรงกับความต้องการของกิจการ ผู้จัดการกิจการแต่ละคนควรพัฒนาจิตวิญญาณเถิงต๋าของกิจการตัวเองโดยอ้างอิงจากจิตวิญญาณเถิงต๋าเดิมและพยายามไม่แทรกแซงกิจการอื่น
“สาม เราระมัดระวังมากเป็นพิเศษเรื่องการพัฒนาวัฒนธรรมจิตวิญญาณเถิงต๋า เราต้องแนะนำไม่ใช่ปลูกฝัง ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่จิตวิญญาณเถิงต๋าไม่ได้แค่ลอยอยู่อย่างผิวเผิน แต่จมลึกลงไปในรายละเอียดงานและฝังอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของทุกคน โดยที่เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันอีก”
ห่าวหยุนพยักหน้าอย่างจริงใจ
สมแล้วที่เป็นคนที่เข้าใจจิตวิญญาณเถิงต๋าลึกซึ้งที่สุด การวิเคราะห์ของเขาช่างมีเหตุผลและน่าเชื่อถือมาก
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่บอกข้อมูลนี้กับผู้จัดการคนอื่นๆ และทำตามคำสั่งบอสเผยอย่างเคร่งครัด!”
ห่าวหยุนนึกอะไรขึ้นได้พอดี “จริงด้วย อู๋ปิน ฉันตัดสินใจเองว่าจะไม่รับรางวัลพักร้อนหนึ่งสัปดาห์แบบได้เงินเดือน อย่าโกรธกันนะ”
อู๋ปินรีบตอบ “ดีแล้วครับพี่ที่ไม่รับ!
“ผู้จัดการคนอื่นๆ มีความเข้าใจในระดับสูง พวกเขารู้ว่าจิตวิญญาณเถิงต๋าเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่อธิบายไม่ได้ พอพูดออกไป ความหมายจะเปลี่ยนและไปจำกัดความคิดของคนอื่น
“พักร้อนหนึ่งสัปดาห์น่าจะเป็นเหยื่อล่อที่บอสเผยเหวี่ยงออกไปรอให้ปลาพุ่งเข้ามาฮุบ!
“พูดตรงๆ เลยนะ ผมคิดว่าบอสเผยน่าจะไม่พอใจกับการกระทำของผมในตอนนี้ ถึงผมจะย้ำไปแล้วว่าการตีความของผมอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปและพยายามให้ความร่วมมือกับบอสเผยอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นสร้างผลกระทบเชิงลบซะได้
“เพราะงั้นผมไม่ได้ทำไปเพราะอยากได้หน้า แต่ทำไปเพราะอยากเผยแพร่จิตวิญญาณเถิงต๋าล้วนๆ ถ้าพี่บอกไปว่าเป็นผลงานผม ก็เท่ากับเผาผมทั้งเป็น!
“ถ้าเจอปัญหาเรื่องจิตวิญญาณเถิงต๋าอีกก็ไม่ต้องอ้างชื่อผมนะครับ นี่คือการตีความจิตวิญญาณเถิงต๋าที่ดีที่สุด!”
ใบหน้าอู๋ปินฉายชัดถึงความไม่เห็นแก่ตัว
ห่าวหยุนพยักหน้า “ได้เลย ฉันเข้าใจแล้ว!”
…
…
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน
ที่อาคารสำนักงานระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งในปักกิ่ง
อูจื้อเฉิงเช็กความเรียบร้อยของตัวเองหน้าประตูก่อนจะเดินเข้าไป
วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อผ้าเข้าชุดซึ่งค่อนข้างแพง แถมยังสระผมก่อนออกมาข้างนอกเพราะกลัวว่าจะดูเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงและไปลดมูลค่าของอาคารสำนักงานลง
แต่พอไปถึงออฟฟิศ เขาก็พบว่าตัวเองยังห่างชั้นจากอาคารสำนักงานอยู่มาก
สองสัปดาห์ก่อน ชิวหงไปหาอูจื้อเฉิงถึงที่พักเพื่อดูสถานการณ์และตัดสินใจลงทุนกับอูจื้อเฉิงในโปรเจ็กต์ล้มลุกคลุกคลาน
นอกจากนั้นแล้ว พอได้เห็นสภาพแวดล้อมการทำงานอันน่าเวทนาของอูจื้อเฉิง ชิวหงก็เสนอว่าจะสนับสนุนพื้นที่สำนักงานและความช่วยเหลือจำเป็นอื่นๆ
หลังเตรียมการสองสัปดาห์ เมื่อวานชิวหงก็โทรมาบอกอูจื้อเฉิงว่าศูนย์พัฒนาพร้อมให้บริการแล้ว แถมยังส่งโลเคชันมาให้และบอกให้เขาแวะเข้าไปที่ศูนย์พัฒนาวันพรุ่งนี้โนlวลกูดอทคoม
อูจื้อเฉิงดูโลเคชันแล้วพบว่าห่างจากที่อยู่ตัวเองแค่สี่สถานี จัดว่าค่อนข้างสะดวก เขาจึงแวะไป
แต่ก็ไม่มั่นใจในศูนย์พัฒนานี้เท่าไหร่
มีออฟฟิศเป็นหลักเป็นแหล่งก็ดี แต่ถ้าต้องเดินทางไปกลับออฟฟิศทุกวัน ทำเกมอยู่ห้องจะไม่ดีกว่าเหรอ
ถึงห้องของเขาจะรกสุดๆ แต่ก็สะดวกสบายมาก เพราะไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านตัวเอง
อูจื้อเฉิงเป็นผู้พัฒนาเกมอินดี้ และถือว่าเป็นฟรีแลนซ์ การต้องไปทำงานข้างนอกหมายความต้องเสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน นอกจากความเหนื่อยล้าและความแออัดแล้ว เวลาที่ใช้ไปในแต่ละวันถ้าเอามารวมกันก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย
เพราะงั้นถ้าไม่มีเหตุผลที่ล่อตาล่อใจเป็นพิเศษ อูจื้อเฉิงก็คงเลือกที่จะทำเกมอยู่ที่ห้องตัวเองมากกว่า
ชั้นหนึ่งเป็นห้องโถงระยิบระยับที่ต้องใช้การ์ดรูดเข้าไป อูจื้อเฉิงเดินไปหาพนักงานและอธิบายจุดประสงค์ที่มาวันนี้ พนักงานเลยขอให้เขาลงชื่อก่อนเข้าไปด้านใน
“อย่าลืมขอบัตรผ่านกับทางบริษัทนะคะ” พนักงานสาวเตือนเขา
อูจื้อเฉิงขึ้นลิฟต์ไปชั้นยี่สิบสาม ทันทีที่เดินออกไป เขาก็ต้องตกใจ
ออฟฟิศกว้างมาก!
ทันทีที่ก้าวออกจากลิฟต์ก็เจอกับโซนเลานจ์ซึ่งมีโซฟาที่นั่งเดี่ยวหลายตัว โต๊ะกาแฟ ทีวีจอใหญ่ เครื่องเกมคอนโซล และเคาน์เตอร์บาร์
พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์บาร์รับหน้าที่ต้อนรับแขกด้วย เธอยิ้มและทักทายทันทีที่เห็นเขา “สวัสดีค่ะ คุณอูจื้อเฉิงใช่ไหมคะ”
ศูนย์พัฒนาเพิ่งเปิดทำการอย่างเป็นทางการวันนี้ พวกเขาให้บริการแค่ผู้พัฒนาเกมอินดี้ที่เข้าร่วมโปรเจ็กต์ล้มลุกคลุกคลานและยังไม่มีออฟฟิศ เพราะงั้นจึงมีคนใช้บริการไม่มาก
พนักงานต้อนรับจำอูจื้อเฉิงได้ทันทีหลังอ่านข้อมูลทุกคนไว้ล่วงหน้า
อูจื้อเฉิงก้าวไปข้างหน้าอย่างขวยเขินเล็กน้อย “ใช่ครับ ผมอูจื้อเฉิง ผมต้องไปติดต่อใครเหรอครับ”
พนักงานสาวประจำเคาน์เตอร์รับรองรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะถามอะไร จึงยิ้มแล้วตอบกลับ “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวคนจากแผนกธุรการจะมาแนะนำเรื่องต่างๆ กับคุณ เชิญดื่มกาแฟและหาที่นั่งรอก่อนค่ะ”
พอเห็นอูจื้อเฉิงทำหน้าลังเล เธอก็รีบพูดเสริม “ฟรีค่ะ ถ้าไม่อยากดื่มกาแฟ รับเป็นชาหรือเครื่องดื่มอื่นก็ได้ค่ะ”
อูจื้อเฉิงรีบตอบ “อ๋อ งั้นขอชานมแก้วนึงครับ”
พนักงานสาวพยักหน้า “ได้ค่ะ สักครู่นะคะ”
อูจื้อเฉิงนั่งลงบนโซฟาตัวหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในคาเฟ่ระดับไฮเอนด์ขึ้นมาชั่วขณะ ซึ่งรู้สึกไม่ชินเลย
เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ ออฟฟิศ จริงๆ แล้วมีโซนเลานจ์อยู่สองจุดคือตรงทางเข้าและลึกเข้าไปในออฟฟิศ
ดูเหมือนว่าโซนเลานจ์ตรงทางเข้าจะมีไว้รับแขก ส่วนโซนด้านในค่อนข้างเป็นส่วนตัวกว่า
พื้นที่เลานจ์ทั้งสองจุดใช้เคาน์เตอร์บาร์ร่วมกัน ซึ่งมีกาแฟและเครื่องดื่มมากมายเตรียมไว้บริการ
พื้นที่ที่เหลือเป็นโซนทำงาน โต๊ะทำงานตัวใหญ่จัดวางกระจายกันไป อูจื้อเฉิงรู้สึกว่าเป็นการใช้พื้นที่ออฟฟิศได้สิ้นเปลืองมาก
ที่นี่ไม่มีห้องประชุม เพราะก็ไม่น่าจะจำเป็น
เนื่องจากผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ในศูนย์พัฒนาเป็นผู้พัฒนาเกมอินดี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะมีคนจำนวนมากมาประชุมกัน ถ้าจะประชุมกันเล็กๆ แค่สองสามคนก็ไปคุยกันในโซนเลานจ์แทนได้ ไม่จำเป็นต้องมีห้องประชุมแยกเป็นพิเศษ
พื้นที่ออฟฟิศทั้งหมดให้ความรู้สึกเปิดกว้างและเป็นอิสระ เทียบไม่ได้เลยกับสภาพแวดล้อมแสนคับแคบและน่าหดหู่ในบริษัทอื่นๆ
อูจื้อเฉิงมองซ้ายมองขวาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
นี่มันดีกว่าที่คิดเอาไว้อีก!