ในห้องประชุม พนักงานใหม่กำลังตอบคำถามกันอย่างจริงจัง ทุกครั้งที่กดเลือกคำตอบ พวกเขาต้องพิมพ์อธิบายด้วยแป้นพิมพ์ ความยาวของคำตอบก็แตกต่างกันไปในแต่ละข้อ
อู๋ปินเป็นคนคุมสอบ จึงแอบดูข้อสอบและคำตอบได้สะดวก ตามหลักแล้ว การสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าเป็นความลับสุดยอด ซึ่งก็ไม่ดีเท่าไหร่ที่เขาจะดูข้อสอบอย่างโจ่งแจ้งกลางห้องสอบ
เพราะงั้นเขาจึงทำได้แค่รอให้สอบเสร็จก่อนแล้วค่อยเข้าไปถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงของข้อสอบเป็นการส่วนตัว จากนั้นค่อยวิเคราะห์จุดประสงค์เบื้องลึกของบอสเผยในการเปลี่ยนแปลงนี้
ไม่นานการสอบก็เสร็จสิ้น
เวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบยังเท่าเดิม เพราะเผยเชียนปรับลดจำนวนข้อสอบลง พนักงานใหม่ทยอยกดส่งข้อสอบทีละคนเพื่อดูผลสอบ
จอของบางคนขึ้นว่าสอบผ่าน ส่วนคนอื่นๆ ขึ้นว่าให้พยายามขึ้นอีก
อู๋ปินไล่สายตาดูจอคอมพิวเตอร์ในระยะที่มองเห็นคร่าวๆ และพอจะเห็นผลลัพธ์แม้จะไม่เห็นตัวข้อสอบ
มีพนักงานใหม่แค่ส่วนน้อยที่สอบไม่ผ่าน แต่ยังไงนี่ก็เป็นแค่การสอบครั้งแรก ยังเหลือโอกาสอีกสามครั้ง ถ้าผ่านได้สักครั้งก็เข้าทำงานในบริษัทได้อย่างเป็นทางการ
อัตราการผ่านไม่ได้แตกต่างจากพนักงานกลุ่มที่แล้วมากนัก
อู๋ปินอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ขณะวิเคราะห์สถานการณ์
“ผลการสอบประกาศทันทีหลังสอบเสร็จเหมือนเดิม แสดงว่าระบบคำนวณคะแนนอัตโนมัติโดยใช้คำตอบแบบปรนัย เนื้อหาที่ให้พิมพ์เพิ่มเติมไม่ได้เอามาคำนวณด้วย
“งั้น… ทำไมรอบนี้บอสเผยถึงเปลี่ยนข้อสอบเป็นแบบนี้ล่ะ
“บอสอยากดูว่าพนักงานใหม่เข้าใจจิตวิญญาณเถิงต๋าแตกต่างกันยังไงงั้นเหรอ
“หรือเป็นแผนระยะยาวที่ฉันยังคิดไม่ออก”
…
ขณะเดียวกัน เผยเชียนกำลังเช็กผลการสอบอยู่ในห้องทำงาน
ผลการสอบทั้งของพนักงานที่สอบผ่านและไม่ผ่านส่งมาให้เขาตรวจสอบหมด
เผยเชียนเลือกคำถามสองข้อที่เป็นตัวแทนคำถามทั้งหมดได้ดีที่สุด
คำถามแรกคือ เมื่อถึงเวลาเลิกงาน แต่มีงานที่ยังทำไม่เสร็จ คุณควรจะทำอย่างไร
ถ้าเลือกตอบข้อ ‘โต้แย้งกับหัวหน้า’ จะได้ห้าคะแนน ถ้าเลือก ‘ไว้ค่อยทำพรุ่งนี้’ จะได้สี่คะแนน
จุดประสงค์ดั้งเดิมของเผยเชียนตอนคิดข้อนี้ขึ้นมาคือปลูกฝังแนวคิดไม่ทำงานล่วงเวลา ยิ่งพนักงานยึดมั่นในแนวคิดนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตรงกับที่บอสเผยกำหนดเอาไว้
พนักงานใหม่หลายคนที่สอบผ่านเลือกตอบสองข้อนี้
แต่พออ่านคำอธิบาย เผยเชียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
“จิตวิญญาณเถิงต๋าคือการไม่ทำงานล่วงเวลา ฉันเลยไม่ทำงานล่วงเวลา”
“เป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าจะขอให้ทำงานล่วงเวลา คำตอบ ‘โต้แย้งกับหัวหน้า’ จึงไม่ถูกต้อง ทางแผนกจะให้เลิกงานและล็อกประตูอัตโนมัติ เราทำได้แค่รอทำวันถัดไป”
“ถ้าไม่มีโควตาทำงานล่วงเวลา ถึงจะอยากทำก็ทำไม่ได้”
“การพักผ่อนช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น ถ้าการทำงานล่วงเวลากระทบกับการพักผ่อนวันนี้ ประสิทธิภาพการทำงานวันพรุ่งนี้ก็จะลดลง ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ในวันนี้เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้ทำงานทั้งหมดให้เสร็จอย่างมีประสิทธิภาพ”
“พนักงานดีเด่นของเถิงต๋าไม่ควรทำงานล่วงเวลาเพื่อทำงานให้เสร็จ ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อันดับแรกต้องพิจารณาก่อนว่าตัวเองไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานและพยายามเต็มที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตัวเอง ไม่ควรขยันอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อปิดบังความขี้เกียจของตัวเอง”
“จิตวิญญาณเถิงต๋าบอกไว้ว่าให้หาสมดุลระหว่างการทำงานกับการพักผ่อนและต้องมีเป้าหมายระยะยาว ถ้าไม่ใช่งานเร่งด่วนก็ไม่จำเป็นต้องรีบทำ ขอแค่ไม่กระทบกับตารางการทำงานก็ไม่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา เถิงต๋าเองก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้”
พอได้อ่านคำอธิบาย เหนือหัวของเผยเชียนก็ปรากฏเครื่องหมายคำถามมากมาย
???
บางคำอธิบายดูเหมือนจะเข้าใจจิตวิญญาณเถิงต๋า แต่พออ่านดูดีๆ กลับไม่ใช่!
ถึงความคิดที่ว่า ‘ไม่มีใครทำงานล่วงเวลา ฉันก็เลยไม่ทำงานล่วงเวลา’ จะหมายความว่า ‘การไม่ทำงานล่วงเวลา’ กลายเป็นเทรนด์ในเถิงต๋าแล้ว แต่ถ้าเจาะลึกลงไปที่รากฐานของเทรนด์นี้ จะพบว่ามันแตกต่างจากแนวคิดดั้งเดิมของเผยเชียน!
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกไม่ทำงานล่วงเวลาก็เพราะรู้สึกว่าแทนที่จะทำงานล่วงเวลา พวกเขาควรทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การพักผ่อนก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
พอเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะทำงานล่วงเวลาหรือไม่ทำ ยังไงพวกเขาก็จะดึงศักยภาพมาใช้ได้เต็มที่!
หลายบริษัทให้พนักงานทำงานล่วงเวลาโดยไม่จ่ายค่าล่วงเวลาตามวัฒนธรรม 996 แต่ไม่ว่าพนักงานจะอู้หรือทำตัวเอื่อยเฉื่อยเพราะเหนื่อย ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานส่วนใหญ่ที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรม 996 ก็ลดลงมากอยู่ดี แค่ทำงานให้ได้ประสิทธิภาพสัก 50-60% ก็ดีมากแล้ว
แต่เถิงต๋านั้นตรงกันข้าม พวกเขาห้ามทำงานล่วงเวลาเด็ดขาดและไม่อนุญาตให้มีวัฒนธรรม 996 ในองค์กร ความกระตือรือร้นในการทำงานของพนักงานจึงได้รับการกระตุ้นเต็มที่ บางคนทั้งกระตือรือร้นและมีกำลังใจล้นเหลือ สภาพการทำงานจึงดีเยี่ยม ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นมาก
ถ้าเป็นแบบนั้นโมเดลการทำงานของเถิงต๋าอาจจะดีกว่าบริษัทที่มีวัฒนธรรม 996!
เผยเชียนหน้าเคร่งเครียด
เจอปัญหาแล้ว!
จุดประสงค์ดั้งเดิมของเขาคือให้ทุกคนอู้งานและทำตัวกันตามสบาย แต่ทุกคนกลับเข้าใจว่าบอสเผยอยากให้ทุกคนได้พักผ่อนเพื่อที่จะทำงานได้ดีขึ้น
คิดเกินไปแค่ขั้นเดียว แต่เป้าหมายสูงสุดกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
เผยเชียนรีบไปดูคำถามอีกข้อ
หัวข้อคำถามยังเหมือนเดิม คือเรื่องเวลาเลิกงาน แต่คราวนี้เป็นงานที่บอสเผยมอบหมายให้เป็นการส่วนตัว ควรจะทำยังไง
คำตอบมาตรฐานของข้อนี้คือทำงานล่วงเวลาเพื่อจัดการงานให้เสร็จ และจะได้เพิ่มอีกหนึ่งคะแนนถ้าขอให้เพิ่มค่าล่วงเวลาเป็นสองเท่า
หลายคนตอบถูก แต่สาเหตุที่เลือกตอบข้อที่ถูกนั้นแตกต่างจากความตั้งใจเดิมของเผยเชียน
“เราต้องทำทุกอย่างที่บอสเผยต้องการให้สำเร็จ”
“งานที่บอสเผยมอบหมายให้เป็นการส่วนตัวต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ต้องจัดการให้เสร็จสมบูรณ์ให้ได้แม้จะต้องบุกป่าฝ่านรกก็ตาม!”
“งานที่บอสเผยมอบหมายให้เป็นพิเศษต้องมีความหมายเบื้องลึกอยู่ ผมต้องพยายามตีความให้ออก โดยเจาะเข้าไปในความคิดเบื้องลึกของบอสเผย เมื่อเข้าใจความคิดของบอสแล้ว ผมก็จะทำงานได้สำเร็จ จึงไม่เกินเลยไปที่จะขอค่าล่วงเวลาเพิ่มเป็นรางวัล”
“ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง เมื่อรับเงินค่าล่วงเวลาจากบอสเผยมาแล้ว เราต้องตั้งมั่นว่าจะหาเงินเพิ่มให้บริษัทในอนาคต ถ้าไม่กล้าขอค่าล่วงเวลาเพิ่ม แสดงว่าไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง ถือว่าไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณเถิงต๋า”
พอได้อ่านคำอธิบายเหล่านี้ เผยเชียนก็รู้สึกโล่งใจ 10% กังวล 90%
โชคดีที่พวกพนักงานดูจะหมกมุ่นและยึดติดกับการทำงานที่บอสเผยสั่งให้สำเร็จ ซึ่งพวกเขาต้องทำเสร็จตรงเวลาแน่นอน เผยเชียนจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าโปรเจ็กต์จะเสร็จไม่ทันและระบบเลื่อนการสรุปบัญชีออกไป
แต่… ไอ้รับเงินค่าล่วงเวลาจากบอสเผยมาแล้วตั้งมั่นหาเงินเพิ่มให้บริษัทนั่นมันอะไร
เผยเชียนพูดอะไรไม่ออก ใครบอกให้แกตอบแทนฉัน
อย่าคิดเองเออเองมั่วๆ สิ!
บอสเผยทำดีโดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทนมาตลอด อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากสำหรับฉันสิ!
พอได้อ่านเหตุผลที่เลือกตอบคำถามทั้งสองข้อ เผยเชียนก็ตระหนักถึงปัญหาร้ายแรง
จุดประสงค์ดั้งเดิมของการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าถูกตีความผิดไปไกลมาก!
อันที่จริง จุดประสงค์เดิมของเผยเชียนคืออยากให้พนักงานพักผ่อนเยอะขึ้น อู้งานให้มากขึ้น และทำเงินให้บริษัทน้อยลง เขาไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้เลย
แต่นอกจากคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจความหมายของ ‘การพักผ่อนให้เยอะขึ้น’ แล้ว ไม่รู้ทำไม พวกนั้นดันตีความไปอีกขั้นว่ายิ่งพักก็ยิ่งทำงานได้ดีขึ้น
ความหมายเปลี่ยนไปคนละทางเลย!
เปลี่ยนจากเจ้าตัวขี้เกียจเป็นไอ้ขยันขันแข็งซะงั้น
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมช่วงนี้ฉันทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าถึงคัดใครออกไม่ได้เลย
“ข้อสอบนี้โดนเข้าใจผิดไปหมดเลย!”
เผยเชียนยกมือก่ายหน้าผาก รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
ปัญหาคือ เขาควรทำยังไงดี
ดูจากคำตอบพวกนี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าพนักงานเถิงต๋ามีแต่คนขยันขันแข็ง
ปัญหาอยู่ที่เผยเชียนทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เพราะพวกเขาสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าผ่านด้วยความสามารถของตัวเอง
สุดท้ายแล้ว เผยเชียนก็รู้สึกว่าวิธีคัดเลือกพนักงานของเขามีบางอย่างผิดปกติ ทุกคนเข้าใจเขาผิดหมดเลย
แน่นอนว่า เผยเชียนไม่คิดว่าความผิดทั้งหมดมาจากเขา มีบางอย่างที่เขาไม่รู้เกิดขึ้นในบริษัท
ถึงทุกคนจะเข้าใจผิดว่าจิตวิญญาณเถิงต๋าส่งเสริมให้ทุกคนพักผ่อน แต่ก็ไม่น่าจะเห็นพ้องต้องกันเหมือนสุมหัวคุยกันมาแล้วอยู่ดี
ต้องมีคนราดน้ำมันใส่กองเพลิงทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันแน่!
เผยเชียนปิดหน้าหลังบ้านของการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าแล้วเริ่มคิดแผนรับมือ
ก่อนอื่นต้องเปลี่ยนคลังข้อสอบ!
คลังข้อสอบในตอนนี้ไม่ตอบโจทย์แล้ว พนักงานใหม่หลายคนผ่านการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยใช้จิตวิญญาณเถิงต๋าที่บิดเบี้ยว จิตวิญญาณเถิงต๋าที่เกิดจากความเข้าใจผิดกลายเป็นอุปสรรคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้สุดๆ!
ดังนั้นเผยเชียนจึงคิดว่าควรเพิ่มข้อสอบใหม่โดยอ้างอิงจากข้อสอบเดิมเพื่อแยกพวกอู้งานออกจากพวกขยัน
ตัวอย่างเช่น อาจจะถามว่า ‘คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่าง บริษัทเติบโตขึ้นหรือพนักงานได้เงินเดือนมากขึ้น’ หรือ ‘คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่าง การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือชีวิตที่มั่นคง’
พวกที่สอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าผ่านต้องเลือกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานกับช่วยให้บริษัทเติบโตแน่
แน่นอนว่า เขาต้องพิจารณาคำถามเฉพาะเจาะจงเหล่านี้ให้ถี่ถ้วน จะแสดงเจตนาชัดเจนเกินไปไม่ได้ เขาต้องซ่อนประเด็นสำคัญไว้ในคำถามชวนสับสนมากมายเพื่อไม่ให้ถูกค้นพบง่ายจนเกินไป
เพื่อไม่ให้ไก่ตื่น ถึงจะเลือกตอบแบบนั้น เผยเชียนก็จะยังให้พวกเขาผ่านการสอบวัดความเข้ากันได้กับจิตวิญญาณเถิงต๋าอยู่ดี แต่จะหาข้ออ้างอื่นมาจัดการคนกลุ่มนี้แทน
ถึงตอนนั้นเขาจะบอกทุกคนอย่างชัดเจนว่าจากผลสอบ คนกลุ่มนี้จะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในโปรเจ็กต์อื่น
ตัวอย่างเช่น… โปรเจ็กต์อย่างโฮสเทลเขย่าขวัญกับนี่เฟิงโลจิสติกส์
สรุปแล้วพวกเขาต้องลดผลกระทบจากจิตวิญญาณการสู้เพื่อเถิงต๋าลงให้ได้มากที่สุด!
นอกจากนั้น เขายังต้องตรวจสอบด้วยว่าจิตวิญญาณเถิงต๋าผิดเพี้ยนไปขนาดนี้ได้ยังไง จะปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!