ภาพโดยรอบถอยกลับอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ที่เพิ่งผ่านไปฉายย้อนกลับอยู่เบื้องหน้าฉินอี้
ทหารที่ตายไปแล้วฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่ทีละนาย กองทัพแมลงกระจายตัวออกไปเหมือนคลื่นที่ไหลคืนสู่ทะเล ทุกอย่างกลับสู่สภาพตอนแรกสุด
ฉินอี้สูดหายใจลึก ภาพต่างๆ ตอกย้ำความทรงจำในหัว ทำให้เขาเข้าใจชัดเจนว่าการตัดสินใจบางอย่างที่ดูเหมือนจะถูกต้องภายใต้สมมติฐานที่ว่า ‘ทหารทุกนายมีเหตุผล’ แท้จริงแล้วอาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์
เมื่อพร้อมแล้ว เขาก็แตะมือลงบนแผงควบคุมเบาๆ กองทหารที่รออยู่เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
รอบนี้ฉินอี้จดจ่อกว่ารอบที่แล้ว เขาไม่กล้าพลาดรายละเอียดแม้แต่อย่างเดียว
เขานึกถึงผลที่ตามมาจากการตัดสินใจครั้งที่แล้วและเช็กดูข้อมูลที่ AEEIS เตรียมให้
ด้วยความช่วยเหลือของ AEEIS สถานะของแต่ละหน่วยและแม้แต่ทหารแต่ละนายแสดงในรูปแบบข้อมูลที่ผันผวนตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น ทหารแต่ละนายมีค่าสถานะที่แตกต่างกัน เช่น ขวัญกำลังใจ ความตึงเครียด และความกลัวในช่วงเริ่มต้นของการรบ ระหว่างการรบ อัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าเหล่านี้ก็จะแตกต่างกัน
สถานะปัจจุบันของหน่วยรบจะแสดงหลังสรุปค่าสถานะทั้งหมดของทหารในหน่วยและผ่านการคำนวณที่ซับซ้อน
บางครั้งก็อยู่ในสถานะขวัญกำลังใจพุ่งสูง บางครั้งก็อยู่ในช่วงขวัญกำลังใจตกต่ำ บางครั้งก็หมดขวัญกำลังใจไปเลย เมื่อไหร่ที่หมดขวัญกำลังใจ ฉินอี้ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากสั่งหน่วยนั้นให้ถอยกลับ เพราะคำสั่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโจมตีหรือป้องกันอาจจะไม่ได้ผล
ระหว่างบัญชาการรบ AEEIS จะเตือนฉินอี้ให้ตัดสินใจครั้งสำคัญเป็นครั้งคราว
ตัวอย่างเช่น หากเกิดการต่อสู้ในหลายพื้นที่พร้อมกัน และหน่วยย่อยค้นพบรังของเซิร์ก AEEIS จะแจ้งฉินอี้หลังจากประเมินความสำคัญของเหตุการณ์นี้ และขอให้เขาให้ความสำคัญกับการสั่งการเหตุการณ์นี้ก่อน
ถ้าหน่วยรบไหนต้องการกำลังเสริมหรือเสบียง ฉินอี้มีทางเลือกมากมาย เช่น เรียกกำลังเสริม เงียบเรื่องกำลังเสริมและขอให้หน่วยรบยืนหยัดต่อไป โกหกเกี่ยวกับกำลังเสริม บอกความจริงกับพวกเขา และอื่นๆ
ด้านหลังแต่ละตัวเลือกมีข้อมูลจาก AEEIS กำกับไว้เพื่อช่วยฉินอี้ตัดสินใจว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจากการตัดสินใจนี้จะเป็นอย่างไร
ตัวอย่างเช่นถ้าหน่วยรบที่ขวัญกำลังใจใกล้หมดได้ยินว่า ‘กำลังเสริมกำลังมา’ ขวัญกำลังใจก็จะเพิ่มขึ้นชั่วขณะ แต่ถ้าได้ยินว่าไม่มีกำลังเสริม ขวัญกำลังใจก็จะหมดทันที มีโอกาสน้อยนิดที่พวกเขาจะพลีชีพสังหารเซิร์กเพิ่ม
ผลลัพธ์ของแต่ละตัวเลือกสามารถตรวจสอบได้ ผลลัพธ์บางอย่างมีความเป็นไปได้ต่ำมาก ฉินอี้จึงคิดจะลองไม่ได้
ถ้าเลือกบอกความจริง มีโอกาสสูงกว่า 90% ที่ขวัญกำลังใจจะหมดทันที โอกาสจุดไฟนักสู้ในตัวทหารที่อยู่ท่ามกลางสถานการณ์สิ้นหวังนั้นต่ำกว่า 10% ถือว่าโง่มากถ้าคิดจะเดิมพันกับความเป็นไปได้ที่ต่ำกว่า 10%
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ฉินอี้ไม่ได้ตัดสินใจตามความน่าจะเป็นที่ AEEIS กำหนด บางครั้งเขาก็จงใจปฏิเสธข้อมูลเหล่านี้ในใจ
เพราะในหลายกรณี ถ้าเลือกตามข้อมูล เขาต้องตัดสินใจบางอย่างที่สวนทางกับหัวใจ ตัวอย่างเช่น เขาต้องการยอมแพ้และเสียสละหน่วยรบหน่วยหนึ่ง แต่เพื่อให้พวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ได้ เขาทำได้แค่บอกไปว่ากำลังเสริมกำลังมา
ฉินอี้ต่อต้านพฤติกรรมนี้โดยสัญชาตญาณ ดังนั้นในบางสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อการต่อสู้เพียงเล็กน้อย เขาจะยังคงยืนยันที่จะพูดความจริง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉินอี้เริ่มพึ่งข้อมูลของ AEEIS มากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างต่อสู้
เพราะข้อมูลพวกนี้เป็นประโยชน์มาก
ฉินอี้ค่อยๆ ตระหนักว่าภายใต้สถานการณ์ที่สนามรบวุ่นวาย วิธีสั่งการที่เดิมใช้กับ ‘คนที่มีเหตุผล’ นั้นใช้ไม่ได้ผล ต้องทำตามข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์จาก AEEIS ซึ่งสุดท้ายก็ให้ผลลัพธ์ที่ยอมรับได้มากที่สุด
เขาหันมาสนใจข้อมูลและความคิดเห็นของ AEEIS มากขึ้นในการตัดสินใจที่มีความสำคัญไม่ค่อยมาก
เพราะเมื่อเทียบกับสนามรบหลัก การกระทำของสนามรบรอบนอกและหน่วยรบขนาดเล็กเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม ฉินอี้เองก็ไม่ได้คาดหวังกับความเป็นไปได้น้อยนิดที่จะเกิดสถานการณ์ ‘ระเบิดพลีชีพ’ เขาแค่หวังว่าพวกเขาจะไม่หมดสภาพเร็วเกินไปและสามารถบรรลุผลที่ยอมรับได้ในการต่อสู้
ครั้งนี้ฉินอี้ชนะศึกได้สำเร็จ
หลังจากทบทวนการต่อสู้ทั้งหมด ฉินอี้ก็รีบเข้าสู้ศึกครั้งต่อไป เขาถูกกดดันด้วยเวลาและไม่มีเวลามากพอที่จะคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจอันยากลำบากเหล่านี้
ฉินอี้เชี่ยวชาญการบังคับบัญชาโดยอาศัยข้อมูล AEEIS และ ‘การคิดโดยรวม’ มากขึ้นเรื่อยๆ ผลการต่อสู้ของเขาพัฒนาขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
เขาพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากความพ่ายแพ้ครั้งแรกของกองทัพสู่ชัยชนะของการต่อสู้โดยพยายามควบคุมความเสียหายจากการต่อสู้ให้อยู่ในระยะที่กำหนด
หลังจากชัยชนะแต่ละครั้ง พอเห็นทหารโห่เชียร์และจำนวนผู้เสียชีวิตที่ AEEIS รายงานลดลง ฉินอี้ก็รู้สึกโล่งใจ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มเฉยชา
เขารู้สึกเหมือนตัวเองค่อยๆ กลายเป็นเครื่องบังคับบัญชาที่ไร้ความรู้สึก แทบไม่สนใจความรู้สึกของทหารแต่ละคนเลย สามารถเลือกตัดสินใจในแบบที่จะเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อการสู้รบโดยรวมได้อย่างเย็นชาแต่ก็แม่นยำ
…
อีกการต่อสู้
ฉินอี้ไล่สายตาดูข้อมูลสนามรบอย่างรวดเร็วและวางแผนการรบเหมือนอย่างเคย
แต่พอกวาดสายตาอ่านชื่อทีมที่สแตนด์บายเตรียมรบ เขาก็อึ้งไปโuเวลกูดoทคอม
ทีม AS-371-45
ฉินอี้ซูมเข้าไปดูชื่อและหมายเลขประจำตัวของทหารแต่ละคน
เขาเห็นชื่อสวีไข่เล่อ เมิ่งอวี่ เจ้าหย่งซิ่ว อูเซ่าจวิน รวมถึงตัวเขาเอง ฉินอี้ หัวหน้าทีม AS-371-45
ในสนามรบมียูนิตมากมาย แต่ละยูนิตมีหมายเลขประจำตัวและชื่อเป็นของตัวเอง แต่ฉินอี้ก็ไม่เคยสนใจ
เพราะเขาใส่ใจเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เขาสวมบทเป็นทหารสักคนเพื่อตัดสินใจไม่ได้
นี่คือการต่อสู้สเกลใหญ่ มีการตัดสินใจมากมายรอให้ฉินอี้ต้องคิดทุกนาที การใส่ใจทหารคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษถือว่าไม่รับผิดชอบต่อทหารคนอื่นๆ ทั้งหมด
แต่ฉินอี้ก็อดรู้สึกบางอย่างขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นทีมตัวเอง
ความทรงจำที่ค่อยๆ เลือนรางไประหว่างการฝึกอบรมกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง สายตาของฉินอี้เลื่อนผ่านตัวเลขที่คุ้นเคย สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นสิ่งเดียวกับที่จำได้
AEEIS ไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่ฉินอี้ก็รู้ดีว่านี่คือบันทึกของศึกครั้งนั้นซึ่งกลับมาอยู่ในสภาพแรกสุดก่อนเริ่มรบ หากแต่ครั้งนี้ เขาไม่ใช่หัวหน้าทีม AS-371-45 แต่เป็นผู้บังคับบัญชาสนามรบ
ฉินอี้ไล่ดูค่าสถานะของทหารทุกคนในทีม AS-371-45 และค่าสถานะรวมของทั้งทีม
ขวัญกำลังใจ ความกังวล ความกลัว…
ค่าสถานะทุกอย่างแสดงอย่างชัดเจน
แต่ละคนมีค่าสถานะต่างกัน
เมิ่งอวี่ซึ่งเตี้ยและเงียบมีค่าความกังวลและความกลัวต่ำที่สุด ซึ่งตรงกับที่ฉินอี้ประเมิน
เจ้าหย่งซิ่วเป็นคนเหลาะแหละ กลัวเสียหน้า และได้รับการดูแลมากที่สุดในทีม แต่ค่าความกลัวไม่ได้สูงมาก
กลับกัน สวีไข่เล่อที่เป็นคิดบวกและชอบให้กำลังใจคนอื่นกลับเป็นคนที่มีค่าความกังวลสูงที่สุดในทีม
ฉินอี้คิดเรื่องนี้ดูคร่าวๆ และสรุปเหตุผลอย่างรวดเร็ว สวีไข่เล่อเป็นคนที่มีอารมณ์ละเอียดอ่อน จริงๆ แล้วเขาแบกรับความกดดันทางจิตใจมากกว่าคนอื่นๆ ความคิดบวกและโลกสวยเป็นแค่ฉากหน้า
ฉินอี้มองดูตัวเองอีกครั้งและตระหนักว่าค่าสถานะของตัวเองไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด
ถึงขวัญกำลังใจ ความกลัว ความกังวล และค่าสถานะอื่นๆ จะสูงที่สุดในทีม แต่เขาก็ยังห่างไกลจากการเป็น ‘คนมีเหตุผล’ ที่แท้จริง เขาไม่ใช่ทหารที่ดีที่สุดในกองกำลังทั้งหมดด้วยซ้ำ
ตามการตัดสินของ AEEIS เขาจะจมสู่ความสิ้นหวัง ไม่ใช่เครื่องจักรสงครามที่โหดเหี้ยม
ส่วนตัว ฉินอี้เชื่อจากก้นบึ้งของหัวใจว่า AS-371-45 เป็นทีมที่ไม่เหมือนใคร แต่จากข้อมูลกลับเป็นแค่ทีมธรรมดาๆ ทีมหนึ่ง
ทีมนี้ไม่มีอะไรพิเศษเลยเมื่อเทียบกับทีมปฏิบัติภารกิจอื่นๆ
ส่วนทำไมทีมนี้ถึงปฏิบัติภารกิจค้นหารังราชินีเซิร์กได้สำเร็จ…
ตอนแรก ฉินอี้คิดว่าเป็นเพราะการเสียสละของสมาชิกทีมคนอื่นๆ ความมุมานะบากบั่นของตัวเขา และความดวงดีรอดตายมานับครั้งไม่ถ้วน
แต่ฉินอี้ก็รู้สึกขึ้นมาว่าเหตุผลนี้ทั้งสมเหตุสมผลและไม่สมเหตุสมผล
จากมุมมองของผู้บังคับบัญชา เขามองเรื่องนี้ในมุมที่ต่างออกไป
จริงๆ แล้ว กองกำลังสมาพันธ์ส่งทีมไปปฏิบัติภารกิจหลายทีม แต่ละทีมมีความสามารถระดับเดียวกับทีม AS-371-45 บางทีมอาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
ดูจากข้อมูลแล้ว ตราบใดที่กลยุทธ์การบังคับบัญชาเหมาะสม ยังไงก็ต้องมีสักทีมหรือสองทีมบุกไปถึงรังราชินีเซิร์กได้ในท้ายที่สุด ถึงจะไม่ใช่ทีม AS-371-45 ยังไงก็จะมีทีมอื่นไปถึงได้
สำหรับฉินอี้ที่เป็นหัวหน้าทีม ผลลัพธ์ที่ได้มาจากความเสียสละและการต่อสู้นองเลือดของสมาชิกทีม AS-371-45 ทุกคน แต่สำหรับฉินอี้ที่เป็นผู้บังคับบัญชา ผลลัพธ์ที่ได้มาจากการคำนวณอย่างแม่นยำ
แน่นอนว่าการคำนวณอาจมีข้อผิดพลาดและกลยุทธ์อาจล้มเหลวได้ แต่ก็ชัดเจนว่าถึงไม่มีทีม AS-371-45 ผลลัพธ์ของศึกครั้งนี้ก็ไม่ได้แตกต่างออกไปมากนัก
ฉินอี้เลิกสนใจทีมตัวเองแล้วหันไปสนใจสถานการณ์ภาพรวม
กองทัพแมลงถาถมเข้ามาเหมือนคลื่นยักษ์สีดำหรือเมฆทะมึนที่โดนลมกระโชกพัดมา ทุกวินาทีมีค่ามาก
ฉินอี้ไม่ได้พูดอะไร เขาใช้งานแผงควบคุมอย่างช่ำชองและเริ่มควบคุมการรบ
ภายใต้การควบคุมของฉินอี้ หน่วยรบเผชิญหน้าฝูงเซิร์กทีละหน่วย ทหารนับไม่ถ้วนถูกคลื่นแมลงกลืนกิน พลังยิงอันรุนแรงทำลายพื้นผิวของดาวเคราะห์จนเกิดหลุมและร่องลึกมากมาย
ฉินอี้ตัดสินใจอย่างใจเย็นครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากเสียสละขบวนรบหนึ่งไป ขบวนสำรองก็เข้าแทนที่ทันที กองทัพมนุษย์และเซิร์กเริ่มขับเคี่ยวกันในสนามรบอันกว้างใหญ่ แย่งชิงตำแหน่งเชิงกลยุทธ์กันไปมา
ทีม AS-371-45 ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจค้นหารังราชินีเซิร์กเหมือนทีมชั้นนำทีมอื่นๆ ทีมชั้นยอดถูกพบตัวทีละทีมพร้อมสัญญาณ Ansible ที่หายไปในรังตลอดกาล แต่ก็ยังมีทีมที่บุกลึกลงไปในรังอย่างต่อเนื่อง