หลังจากส่งหยูผิงอันกลับ ฉางโหย่วก็รวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วเริ่มปรับรายละเอียดของผู้ช่วยเสียงปัญญาประดิษฐ์ AEEIS เพิ่มเติม
หนึ่งในจุดที่สำคัญที่สุดคือเสียงของ AEEIS
ก่อนหน้านี้ ฉางโหย่วไม่สามารถสรุปรายละเอียดเรื่องเสียงของ AEEIS ได้อย่างครบถ้วน
บอสเผยกำหนดแนวทางสำหรับเสียง AEEIS ไว้ชัดเจนแล้ว ซึ่งก็คือต้องไร้ซึ่งอารมณ์และเป็นเสียงอิเล็กทรอนิกส์ล้วนๆ
แต่เสียงอิเล็กทรอนิกส์ก็มีหลายประเภท ซึ่งเสียงแต่ละประเภทก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับต่อคนฟัง
เสียงเหล่านี้มีหลายระดับ ตั้งแต่เสียงอิเล็กทรอนิกส์ล้วนๆ ไปจนถึงเสียงธรรมชาติตามแบบมนุษย์จริงๆ
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ล้วนคือเสียงหุ่นยนต์ในหนังบางเรื่อง เป็นเสียงอู้อี้ ดูทึ่มหน่อยๆ และไร้น้ำเสียง แต่ละคำมีการเว้นช่วงอย่างชัดเจน
ตอนนี้ผู้ช่วยเสียงอัจฉริยะส่วนใหญ่พยายามออกแบบมาให้ใกล้เคียงกับเสียงธรรมชาติมนุษย์ และทำให้บทพูดมีความเป็นธรรมชาติผ่านการบันทึกเสียงจำนวนมาก
ฉางโหย่วพอจะสรุปได้คร่าวๆ ว่าเสียง AEEIS ควรจะอยู่กึ่งกลางระหว่างสองแบบนี้ แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าจะทำออกมาในระดับไหน
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ล้วนเน้นคุณสมบัติความเป็นปัญญาประดิษฐ์ของ AEEIS แต่ผู้ใช้งานอาจใช้งานได้ไม่ค่อยสะดวก เพราะเสียงอิเล็กทรอนิกส์ฟังออกค่อนข้างยาก ได้ยินไม่ค่อยชัดเจน และไม่ตรงกับคุณสมบัติ ‘ใช้งานง่าย’ และ ‘มีประสิทธิภาพ’ ของ AEEIS
ดังนั้นจุดที่ต้องเน้นเรื่องเสียง AEEIS ในครั้งนี้คือความมีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย โดยที่ยังเน้นชัดถึงบุคลิกนิสัยและไม่กระทบกับประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งาน
ถ้านำคุณสมบัติปากร้ายนิดๆ ของ AEEIS มาพิจารณา พวกเขาก็เพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ เข้ามาได้ เช่น เพิ่มความเร็วในการพูดเวลาพูดอะไรร้ายๆ เพื่อเน้นคุณสมบัติเรื่อง ‘การคิดเร็ว’
แน่นอนว่า น้ำเสียงเฉพาะที่จะนำมาใช้ต้องให้ทีมงานค่อยๆ ปรับ อาจจะมีแผนงานมากมายผุดขึ้นมา ซึ่งสุดท้ายฉางโหย่วจะเป็นคนตัดสินใจ
ฉางโหย่วให้แนวทางทั้งหมดกับทีมงาน และบอกให้พวกเขาพยายามเต็มที่ในทิศทางนี้
…
…
วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม
บริษัทลงทุนหยวนเมิ่ง
เฮ่อเต๋อเซิ่งรีบลุกขึ้นต้อนรับเผยเชียนกับหม่าหยางเมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา
“บอสเผย บอสหม่า อีกฝ่ายมาถึงและเข้าไปรอในห้องประชุมแล้วครับ
“เฉินยู่เฟิงเคยทำงานทดสอบประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ในห้องทดลองที่ปักกิ่งมาสี่ปี และเคยร่วมงานกับเสี่ยวหูรีวิวอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ลาออกเพราะไม่พอใจที่เสี่ยวหูรีวิวรับเงินใต้โต๊ะ
“เรื่องความเป็นมืออาชีพไม่ใช่ปัญหาเลยครับ เขามีคอนเนกชันกับห้องทดลองและสถาบันประเมินเฉพาะด้วย น่าจะร่วมงานกับบอสหม่าได้อย่างไม่มีปัญหาครับ”
เผยเชียนพยักหน้า “โอเค เข้าไปพบเขากัน”
เผยเชียนบอกไว้ว่าจะเตรียมทีมผู้เชี่ยวชาญให้ไอ้หม่า เลยบอกเฮ่อเต๋อเซิ่งให้ไปหาคนเหมาะๆ มา
การค้นหาจุดบกพร่องเป็นงานใช้ฝีมือเฉพาะทาง และเนื้อหาในครั้งนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การประเมินสินค้าดิจิทัล ดังนั้นความรู้ทางวิชาชีพจึงมีความสำคัญมากกว่า
พอเลือกคนดูแลทีมผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว ค่อยไปหาผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มา
พอมาถึงหน้าห้องประชุม เฮ่อเต๋อเซิ่งก็เคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปด้านใน
เฉินยู่เฟิงรีบลุกขึ้นยืน
เขาดูมีอายุอยู่ในช่วงสามสิบต้นๆ สวมแว่น ตัดผมสั้น ดูเป็นคนมีความสามารถ
เฮ่อเต๋อเซิ่งผายมือให้ทุกคนนั่งลงแล้วเริ่มแนะนำโปรเจ็กต์คร่าวๆ
เฉินยู่เฟิงยังดูประหม่าอยู่เล็กน้อย
ก่อนเฮ่อเต๋อเซิ่งจะติดต่อเข้ามา เขาเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ไม่มีตัวตนในแวดวงการประเมินผลิตภัณฑ์ ไม่มีความสำเร็จที่โดดเด่น สิ่งเดียวที่อวดอ้างได้คือเคยรับผิดชอบสคริปต์ลายชิ้นตอนทำงานกับเสี่ยวหูรีวิว ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นจุดด่างพร้อย
เสี่ยวหูรีวิวมีอิทธิพลมากในจีน แต่ก็มีชื่อเสียงที่แย่มาก ผู้ชมหลายคนรู้ว่าพวกเขาทำเพื่อเงินล้วนๆ พอปล่อยคลิปใหม่เมื่อไหร่เป็นต้องโดนด่าทุกครั้ง
ถึงเฉินยู่เฟิงจะมีความเป็นมืออาชีพมาก แต่ก็เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้ในวงการนี้
อุตสาหกรรมประเมินผลิตภัณฑ์ต้องอาศัยความไว้วางใจในอิทธิพลของสื่อนั้นๆ ถ้าไม่มีคนให้ความสนใจมากพอ ถึงจะมีความเป็นมืออาชีพมากขนาดไหนก็ยากที่จะถูกเห็น
ตามที่เฮ่อเต๋อเซิ่งอธิบาย ผู้คุมโปรเจ็กต์นี้คือบอสเผยกับบอสหม่าแห่งเถิงต๋า เพราะงั้นก็ไม่น่าจะขาดแคลนทั้งในเรื่องการให้ความสนใจ เงิน และด้านอื่นๆ ถือเป็นแพลตฟอร์มที่ดีมาก
กุญแจสำคัญขึ้นอยู่กับว่าบอสเผยกับบอสหม่าจะพอใจในตัวเขารึเปล่า
แน่นอนว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเฉินยู่เฟิงจะตกลงเข้าร่วมโปรเจ็กต์แน่นอน เพราะเฮ่อเต๋อเซิ่งบอกเขาแค่ว่าเป็นโปรเจ็กต์รีวิวสินค้า แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม
ถ้าเป็นโปรเจ็กต์ที่ทำเพื่อเงินแบบเสี่ยวหูรีวิวก็คงต้องคิดดูใหม่ เพราะถือเป็นการกระทำที่น่าขยะแขยงมาก
เฉินยู่เฟิงลุกขึ้นยืนแล้วยื่นเรซูเม่ให้บอสเผยด้วยสองมือ
“เรซูเม่ของผมครับ รบกวนบอสเผยช่วยดูก่อนด้วยครับ”
เฉินยู่เฟิงเหลือบมองบอสเผยกับบอสหม่าไปด้วยในจังหวะนั้น
บอสหม่าดูอายุยังน้อย ใบหน้าใหญ่ยาวมาก…
บอสเผยดูอายุยังน้อย หน้าตาเหมือนในซีรีส์
เดี๋ยวก่อน นี่มันแปลกๆ ไหม ไหนบอกว่าคนคนนี้เป็นนักแสดงที่รับบทบอสเผยไง
เฉินยู่เฟิงอึ้งไปอยู่พักหนึ่ง เขาตั้งตาคอยว่าบอสเผยจะหน้าตาเป็นยังไง แต่กลับได้มาเจอนักแสดงที่รับบทเป็นบอสเผยแทน
ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่างแน่
แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ เฉินยู่เฟิงผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
เผยเชียนรับเรซูเม่มาแล้วเปิดดูคร่าวๆ “ผมดูเรซูเม่คุณมาก่อนแล้ว ซึ่งก็ค่อนข้างพอใจทีเดียว
“ผมมั่นใจว่าเรื่องความสามารถไม่น่าจะเป็นปัญหา เพราะเฮ่อเต๋อเซิ่งเป็นคนแนะนำคุณมา
“ผมขอเล่าหน้าที่ของคุณให้ฟังคร่าวๆ ก่อนแล้วกัน ถ้าฟังแล้วไม่ติดขัดตรงไหน ก็ให้เฮ่อเต๋อเซิ่งช่วยตั้งทีมรีวิวแล้วเริ่มโปรเจ็กต์ได้เลย”
เฉินยู่เฟิงผงะไป
หา? เร็วไปหน่อยรึเปล่า เขากับบอสเผยไม่เคยเจอกันมาก่อน ไม่คุ้นเคยกันเลยสักนิด แถมเรซูเม่จะบอกอะไรได้ขนาดนั้น
โดยทั่วไปเวลาบริษัทสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน อย่างน้อยๆ ก็จะถามถึงประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาอย่างละเอียด และพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้เข้าใจอีกฝ่ายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น novelgu.com
นอกจากนี้บริษัทส่วนใหญ่จะมีช่วงให้ทดลองงานหลังสัมภาษณ์เสร็จ ถ้าหลังจบช่วงทดลองงานแล้วไม่พอใจผู้สมัครก็จะเลิกจ้าง บริษัทจะได้ไม่เสียผลประโยชน์มาก
แต่บอสเผยกลับข้ามขั้นตอนพวกนั้นไปหมดเลย
เถิงต๋าขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทที่เข้ายากไม่ใช่เหรอ
ไหนว่ามีการสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ กับสอบจิตวิญญาณเถิงต๋าไง
เฉินยู่เฟิงรู้สึกมึนหน่อยๆ ดูเหมือนว่ากฎการดำเนินงานภายในของเถิงต๋าจะลึกลับมาก บางทีก็ได้งานยากมาก แต่บางทีก็ง่ายจนงง
แต่เฉินยู่เฟิงก็ไม่ได้ถามอะไรมากจนเกินควร แน่นอนว่าถ้าได้เข้าร่วมงานเลยย่อมเป็นเรื่องดี แถมจะได้เป็นหัวหน้าโปรเจ็กต์อีก จะไปหาเรื่องดีๆ แบบนี้ได้จากที่ไหน
เขารอฟังบอสเผยสั่งงานเงียบๆ
เผยเชียนกระแอมกระไอ “งานของคุณง่ายมาก แค่เลือกสินค้าต่างๆ ในตลาด จะเป็นสินค้าดิจิทัล หรือของใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปก็ได้ ขอแค่เอามารีวิวได้ก็พอ
“ระหว่างที่คุณประเมินสินค้า ต้องพิจารณาข้อเสียและปัญหาของสินค้าที่หามาอย่างละเอียดแล้วเขียนสคริปต์ให้บอสหม่า”
เฉินยู่เฟิงอึ้งไปครู่หนึ่ง “…เขียนถึงแค่ข้อเสียเหรอครับ”
เผยเชียนพยักหน้า “ใช่”
เฉินยู่เฟิง “เลือกสินค้าได้ตามใจด้วยเหรอครับ มี…รายชื่อสินค้าที่ต้องได้รับการยกเว้นไหมครับ อย่างสินค้าของเถิงต๋าก็ไม่ได้น่าจะเอามาประเมินได้ใช่ไหมครับ”
เผยเชียนยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ
“สินค้าของเถิงต๋าเองก็ไม่มีข้อยกเว้น และต้องประเมินอย่างเข้มงวดกว่าสินค้าของคนอื่นด้วย!
“แล้วก็ห้ามรับเงินจากบริษัทไหนเด็ดขาด ไม่ว่าจะจ่ายเงินให้เราพูดเกินจริงหรือให้เก็บเรื่องเงียบก็ไม่ต้องไปสนใจ”
เฉินยู่เฟิงเผยอปากเล็กน้อย เขาไม่รู้จะพูดอะไรไปครู่หนึ่ง
เถิงต๋าเป็นแบบนี้เหรอ
ยึดมั่นในหลักการเกินไปมั้ย!
ตอนได้ฟังเรื่องภาระงาน ปฏิกิริยาแรกของเฉินยู่เฟิงไม่ได้มองว่าเป็นการกระทำที่สุดโต่ง แต่เป็นการยึดมั่นในอุดมการณ์สุดๆ แม้แต่กับตัวเองก็เข้มงวดมาก!
ถ้ามีบริษัทประเมินสินค้าเจ้าอื่นกล้าทำแบบนี้ บทรีวิวก็น่าจะเต็มไปด้วยความดำมืดและไม่นานก็จะโดนทำลายหายไปในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนาน
เพราะพฤติกรรมแบบนี้คือการทุบงานของหลายบริษัท
ถ้าเปิดโปงบริษัทที่ไม่ค่อยดังก็ไม่น่าเป็นไร เพราะพวกเขามีแฟนคลับและอิทธิพลไม่มาก
แต่บริษัทใหญ่ๆ แทบทุกบริษัทมีกองทัพหน้าม้า ถึงจะไม่มีหน้าม้า ก็มีกองทัพแฟนคลับ ถ้ากล้าออกมาติเตียนก็จะเจอกับแรงกดดันมหาศาลจากสังคม
แถมอีกฝ่ายยังจะขุดค้นความลับอันดำมืดของฝ่ายเรามาใช้โจมตีกลับอีก
ถึงจะบอกว่าไม่รับเงินใต้โต๊ะ แต่ก็การันตีได้ยากว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดเลย ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา อีกฝ่ายต้องสู้กลับเต็มที่เพื่อให้ฝ่ายเราเสียชื่อแน่นอน ถ้ากลไกการวิพากษ์ของสังคมเริ่มทำงาน สถานการณ์ก็จะเกินควบคุมได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครทำโปรเจ็กต์แบบนี้ เพราะไม่น่าชื่นชมและอยู่รอดยาก เรื่องเงินยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เฉินยู่เฟิงรู้สึกกดดันมากจนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “บอสเผยครับ งานนี้ท้าทายเกินไปสำหรับผม
“ยากมากที่จะรับประกันได้ว่าการประเมินจะปราศจากอคติโดยสิ้นเชิง บางคนอาจจะคิดว่าข้อบกพร่องแค่อย่างเดียวเป็นสิ่งที่รับได้ แต่บางส่วนอาจจะมองว่ารับไม่ได้เลย ยังไงก็ต้องมีความคิดเห็นส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องในระดับหนึ่ง
“ถ้ามีข้อผิดพลาดหรือใช้คำไม่เหมาะสมและมีคนจับช่องโหว่ทางภาษาได้ ก็อาจโดนโลกอินเทอร์เน็ตเกลียดชังเอา
“ถ้างานของผมสร้างแรงกดดันทางสังคมหรือผลกระทบที่ไม่ดีให้กับเถิงต๋าคอร์เปอเรชัน ผมคงแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหว…”
เผยเชียนยิ้มย่องในใจ
แรงกดดันทางสังคม?
เยี่ยมเลย!
ฉันกลัวอยู่เลยว่าจะไม่มีใครด่าฉัน!
เผยเชียนยิ้มบาง “ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา ทางบริษัทจะเป็นฝ่ายแบกรับความรับผิดชอบ
“ก่อนอื่นเลย เราต้องตรวจทานสคริปต์ให้ละเอียดขึ้น ลดทอนประเด็นที่อาจสร้างความขัดแย้งหรือเป็นเรื่องความเห็นส่วนบุคคลให้น้อยที่สุด เราไม่กลัวโดนติติง เหตุผลหลักคือเราไม่ควรชักจูงผู้ชมในทางที่ผิด
“เราจะเน้นที่ข้อเสียและปัญหาที่แท้จริงของสินค้า
“ถ้าเกิดข้อผิดพลาด ก็ไม่ต้องลนลานคิดแต่จะขอโทษลูกเดียว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราควรขอโทษ ชี้แจง และชดเชย
“ส่วนเรื่องความเห็นสังคมในอินเทอร์เน็ต ก็ไม่ต้องไปกังวล ถึงท้องฟ้าจะถล่มก็มีบอสหม่าอยู่ ความกดดันทางสังคมทั้งหมดจะอยู่ที่เว่ยป๋อของบอสหม่า”
เผยเชียนไม่เคยคลางแคลงใจในความสามารถด้านการแบกรับความกดดันของไอ้หม่า
ไอ้เจ้านี่มีข้อดีไม่มาก แต่ก็มีสภาพจิตใจที่ดี ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จขนาดไหนก็ไม่เลยลำพองใจ และไม่ว่าจะเจอแรงกดดันมากขนาดไหนก็ไม่เคยล้ม จุดนี้น่าจะเป็นข้อดีที่มาจากการมีไอคิวน้อย
เฉินยู่เฟิงมองไปทางบอสหม่าด้วยแววตาสงสัย
หม่าหยางตบอกตัวเอง “ใช่ ผมทนรับแรงกดดันได้ ปัญหาขี้ปะติ๋วจะตายไป!”
สีหน้าของเขาดูจริงจังมาก
เฉินยู่เฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “โอเคครับ งั้นผมจะลองดู แต่… ถ้าผมทำงานนี้ไม่ไหวจริงๆ ผมหวังว่าจะสามารถลาออกได้ทุกเมื่อนะครับ”
เผยเชียนพยักหน้า “ได้สิ ไม่มีปัญหาเลย!”
เขาไม่กังวลเลยว่าเฉินยู่เฟิงจะลาออกเอากลางทาง
ถ้าเป็นแบบนั้นก็หมายความว่าจะบรรลุเป้าหมายในการผลาญเงิน เผยเชียนสามารถขึ้นเงินเดือนไปเรื่อยๆ เพื่อรั้งตัวอีกฝ่ายได้
ไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ด้วยเงิน!