ณ เทศกาลหนังเมืองคานส์
หวงซื่อปั๋ว จูเสี่ยวเช่อ จางจู่ถิง ลู่จือเหยา หลินรู่หยี… นักแสดงและทีมงานหลักของวันพรุ่งนี้ที่สดใสนั่งเรียงแถวอยู่ด้านล่างเวที
หวงซื่อปั๋วสวมสูทผูกหูกระต่าย ถึงใบหน้าจะฉาบไปด้วยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่เข้าใจทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสที่ใช้ดำเนินรายการ
เขาพบว่าภาษาอังกฤษระดับ CET-4 ของเขาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยในงานนี้
“น้องหลิน ตอนประกาศรางวัล ถ้าเขาประกาศเป็นภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส เราจะไม่พลาดใช่มั้ย” หวงซื่อปั๋วกระซิบถาม
หลินรู่หยีหันมอง “พี่หวงคิดอะไรของพี่อยู่ละนั่น แค่เราได้มาเดินอวดโฉมบนพรมแดงก็ดีแค่ไหนแล้ว นี่หวังว่าเราจะได้รางวัลเลยเหรอ”
หวงซื่อปั๋วดูไม่พอใจ “ทำไมล่ะ น้องคิดว่าบทของบอสเผยไม่ดีพอเหรอ หรือคิดว่าทักษะการแสดงของราชาหนังลู่ต่ำกว่ามาตรฐาน
อีกอย่างตอนฉายรอบปฐมทัศน์ กระแสตอบรับของอคนดูก็ดีมาก ปรบมือกันเกรียวกราวเลย เห็นมีคนลุกออกแค่ยี่สิบสามสิบคนเอง ที่เหลืออยู่ดูต่อจนจบ ทำไมเราจะไม่ชนะรางวัลล่ะ”
หลินรู่หยีส่ายหน้า เธอคิดจะเบาเสียงตัวเอง แต่ก็ไม่ทำเพราะคิดว่ายังไงก็ไม่มีใครเข้าใจภาษาจีนอยู่ดี
“พี่หวงไม่ค่อยคุ้นกับงานนี้ก็ไม่แปลกที่จะคิดแบบนั้น เพราะยังไงที่ได้มาร่วมงานก็เพราะบริษัทของบอสหลิน”
“เทศกาลหนังเมืองคานส์มีเกณฑ์หลายอย่าง หนังต้องเสร็จสมบูรณ์สิบสองเดือนก่อนถึงวันเทศกาลและต้องไม่เคยฉายในเทศกาลหนังนานาชาติอื่นมาก่อน สามารถใช้หากำไรในประเทศตัวเองได้ แต่ตามหลักแล้วห้ามใช้หากำไรในต่างประเทศ”
หวงซื่อปั๋วผงะไป “แล้วมีอะไรที่พี่ต้องรู้อีกมั้ย แสดงว่าหนังของเราก็ไม่เข้าเกณฑ์สิ”
หลินรู่หยีพยักหน้า “ใช่ค่ะ แต่เทศกาลหนังเป็นงานที่คนมาพบปะหาคอนเนกชันกัน กฎเกณฑ์ก็วางไว้งั้นๆ ถึงวันพรุ่งนี้ที่สดใสจะเพิ่งปล่อย แต่ความนิยมก็ไม่ได้สูงมาก ไม่ได้เป็นกระแสร้อนแรง และไม่เคยเข้าร่วมงานเทศกาลไหนมาก่อน
“ที่งานเทศกาลต่างๆ ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาก็เพื่อคัดหนังคุณภาพสูงๆ และเพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพและความนิยมของงานเทศกาลหนัง
“เอาจริงๆ หนังบางเรื่องที่ชนะรางวัลในเบอร์ลิน เวนิส และที่อื่นๆ ก็ได้เข้าร่วมเทศกาลหนังเมืองคานส์ แต่ก็ยากที่จะได้รางวัล เว้นแต่ว่าจะเป็นหนังดีคุณภาพสูงจริงๆ
“นอกจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างคานส์กับบริษัทผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ที่หนังแย่ๆ บางเรื่องสามารถเข้าชิงรางวัลหลักได้ เห็นว่ามีเรื่องการให้ใต้โต๊ะอะไรแบบนี้ด้วย
“แน่นอนว่าเรื่องแบบนั้นไม่ค่อยมีให้เห็นหรอก ส่วนใหญ่มักจะเสนอชื่อเข้าชิงเฉยๆ จะได้รางวัลหรือเปล่าขึ้นอยู่กับคุณภาพของหนัง ซึ่งคานส์ให้ความสำคัญมากที่สุด
“พอจะเข้าใจมั้ยคะ วันพรุ่งนี้ที่สดใสไม่ได้ดังในต่างประเทศ คุณภาพก็ไม่ได้เยี่ยมยอด แถมยังมีเหตุผลอื่นๆ ที่เราไม่รู้อีก กรรมการอาจจะยกเว้นให้เราเข้าร่วมงาน แต่เรื่องชนะรางวัลนี่อย่าไปหวังเลยค่ะ แค่ได้มาเปิดหูเปิดตากับเดินพรมแดงก็ถือว่าเป็นกำไรแล้ว”
หวงซื่อปั๋วรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ถึงจะเป็นผู้จัดการเฟยหวงสตูดิโอ แต่เขาก็เป็นมือสมัครเล่นที่สุดในกอง แม้จะเพิ่งโดน ‘ช็อกบำบัด’ มาและไปศึกษาเพิ่มเติมแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เท่าไหร่
ถ้าไม่ได้รับผิดชอบเรื่องส่งหนังเข้าชิงรางวัลก็ย่อมไม่รู้เรื่องเป็นธรรมดา
“งั้นก็น่าเสียดาย ถ้ารู้เรื่องนี้ก่อนจะได้รีบส่งหนังเข้าร่วมก่อนออกฉาย” หวงซื่อปั๋วพูดอย่างเคืองใจ
หลินรู่หยีส่ายหน้า “พี่คิดมากเกินไป หนังจีนดีๆ หลายเรื่องได้มาร่วมงานที่คานส์แต่ก็ไม่ได้รางวัลอะไรกลับไป วันพรุ่งนี้ที่สดใสเองก็น่าจะยังดีไม่พอเหมือนกัน แถมใครจะไปคิดวางแผนล่วงหน้าได้ไกลขนาดนั้น
“อีกอย่างผู้กำกับหลายคนก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากการไปร่วมเทศกาลหนังต่างๆ มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ส่วนบริษัทของพี่ขนาดในจีนก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักดีขนาดนั้น…
“เพราะงั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แค่แวะมาเสนอหน้าแล้วก็กลับ เราได้มาที่นี่เพราะบารมีบอสเผย แถมยังชนะหนังในประเทศตั้งหลายเรื่อง”
หวงซื่อปั๋วคิดตามแล้วก็พอจะเข้าใจเหตุผล
ตอนนั้นเองจูเสี่ยวเช่อที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่ก็พูดขัดขึ้น “น้องหลิน คานส์ไม่เหมือนออสการ์นะ ทีมจัดงานจะไม่เชิญให้เรามาร่วมพิธีประกาศรางวัลถ้าเราไม่ได้รางวัลอะไรเลย แสดงว่าอย่างน้อยเราต้องได้สักรางวัลกลับไป”
หลินรู่หยีตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “จริงเหรอคะ”
จูเสี่ยวเช่อดูลังเล “เอ่อ…ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น แต่ก็มีบ้างบางสถานการณ์ที่เรียกผู้ได้เข้าชิงมาร่วมงานด้วย ว่าง่ายๆ ก็คือพี่ว่าเรามีโอกาสได้รางวัลหนังเรื่องใหม่ยอดเยี่ยม
“เพราะยังไงหนังเราก็มีคุณภาพ เชื่อมั่นในหนังของเราหน่อย”
ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่ การประกาศรางวัลก็เริ่มขึ้น
Short Film Palme d’Or, Camera d’Or, Special Mention…
ผู้โชคดีได้รับรางวัลก้าวขึ้นไปบนพรมแดงเพื่อรับรางวัล ผู้ชมปรบมือกันอย่างอบอุ่นไม่ขาดสาย
ในงานแบบนี้ คนทำหนังฝีมือเยี่ยมจะได้รับความเคารพบูชาเหมือนดังพระเจ้า
พวกจูเสี่ยวเช่อปรบมือเคล้าไปด้วย แต่ยิ่งรอก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
งานประกาศรางวัลใช้เวลาทั้งหมดประมาณหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่เปิดงานจนถึงปิดงาน แต่เมื่อดูเวลา ตอนนี้ผ่านมาสี่สิบกว่านาทีแล้ว
รางวัล Best Actor ก็ประกาศไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ยินชื่อวันพรุ่งนี้ที่สดใส
จูเสี่ยวเช่อคิดว่าถ้าหนังเรื่องนี้ได้รางวัลจริงๆ ก็น่าจะได้รางวัล Camera d’Or ไม่ก็ Best Screenplay แต่ก็กลายเป็นว่าชวดทั้งสอง
รางวัล Best Actor ก็ยังพอมีหวังเล็กๆ ถึงลู่จือเหยาจะแสดงทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมในหนังเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีดาราดังๆ เข้าชิงอีกเพียบ
ปัญหาคือยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งดูเป็นไปไม่ได้
รางวัล Best Director ก็ไม่ได้เป็นของพวกเขา
หวงซื่อปั๋วรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ผุดเต็มฝ่ามือ หัวใจของเขาเต้นระรัว
หมายความว่าไงกัน อย่าบอกนะว่าได้ Palme d’Or เป็นไปไม่ได้น่า
หรือจะผิดพลาดรที่ทีมงาน จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้รางวัลอะไรเลย
พิธีกรบนเวทีเปลี่ยนคน ดารามืออาชีพซึ่งเป็นที่เคารพคนหนึ่งเดินขึ้นเวทีก่อนจะเอื้อมไปจับไมโครโฟนพร้อมโปรยยิ้ม
“ขอบคุณครับ
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นคนประกาศรางวัล Jury Prize ผมเชื่อว่าวันนี้จะเป็นวันที่ทุกคนในนี้จดจำได้ไม่ลืม แต่เราก็เชื่อว่าวันพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าเสมอ ท่านประธานครับ ช่วยประกาศผู้ชนะรางวัลอันทรงเกียรตินี้ได้ไหมครับ”
ทางด้านขวาของเวที ประธานคณะกรรมการที่ยืนอยู่ซ้ายสุดทุกขึ้นยืน “รางวัล Jury Prize…
“It’s for ‘Tomorrow is beautiful’, for Zhu Xiaoce!”
ผู้ชมส่งเสียงเชียร์และปรบมือทันทีที่ชื่อภาพยนตร์ถูกประกาศ จูเสี่ยวเช่อนั่งตัวแข็งด้วยความงุนงงสับสน
หวงซื่อปั๋วลุกเฮพลางดึงจูเสี่ยวเช่อขึ้น “เฮ้ย! เราได้รางวัลจริงๆ ด้วย!!!”
ถึงภาษาอังกฤษจะย่ำแย่ขนาดไหน ยังไงก็ต้องจับชื่อภาษาอังกฤษของวันพรุ่งนี้ที่สดใสกับการออกเสียงชื่อ ‘จูเสี่ยวเช่อ’ แบบกระท่อนกระแท่นได้
จูเสี่ยวเช่อเดินขึ้นเวทีไปอย่างงงๆ ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเฮ เขาจับมือกับคนมอบรางวัลและเดินไปที่แท่น
“ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ได้เตรียมบทพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษเพราะไม่คิดว่าจะได้รับรางวัล
“ผม…ไม่รู้จะอธิบายความตื่นเต้นในใจออกมายังไงดี
“ในฐานะผู้กำกับหน้าใหม่ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผมคนเดียว ผมขอเชิญทุกคนในทีมที่อยู่ที่นี่ขึ้นมาบนเวทีเพื่อรับเกียรตินี้ด้วยกันครับ…”
จูเสี่ยวเช่อหยุดพักทุกประโยคเพื่อให้ล่ามมีเวลาแปล
หวงซื่อปั๋ว ลู่จือเหยา และคนอื่นๆ ทยอยเดินขึ้นเวทีไปยืนด้านหลังจูเสี่ยวเช่อแล้วแสดงความขอบคุณต่อผู้ชมและคณะกรรมการโนiวลกูดอทคอม
จูเสี่ยวเช่อน้ำตารื้น เสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย “ผมขอแสดงความขอบคุณรุ่นพี่ทุกคนในวงการภาพยนตร์ ขอบคุณทีมงานและนักแสดงทุกคน ขอบคุณครับ…”
หลังจากกล่าวขอบคุณหลายต่อหลายคน จูเสี่ยวเช่อก็เปลี่ยนคำพูด
“นอกจากทุกคนในทีมแล้ว ผมอยากขอบคุณอีกคนที่ไม่ได้มาวันนี้ เขาเป็นคนใส่จิตวิญญาณเข้าไปในหนัง ดึงขีดความสามารถของนักแสดงออกมา และให้ทุนที่เพียงพอต่อรายจ่ายทุกอย่างโดยที่เราไม่ต้องกังวลอะไรเลย
“บอสเผย ขอบคุณที่มอบแรงบันดาลใจและจิตวิญญาณให้หนังเรื่องนี้ นักแสดงและทีมงานทุกคนรวมถึงผมทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็เพราะได้แรงบันดาลใจจากคุณ
“ขอบคุณทุกคนครับ!”
เสียงปรบมือดังสนั่นอีกครั้ง!
…
…
วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม
เผยเชียนตื่นขึ้นตามปกติ เขาเช็กโทรศัพท์แล้วพบว่านาฬิกาปลุกยังไม่ดัง
แผนนอนเร็วตื่นเช้าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ
เขาแตะแผงควบคุมตรงหัวเตียงให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างอัจฉริยะ
พอเห็นแสงสุกสว่างของดวงอาทิตย์ เผยเชียนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปบางอย่าง
เขาเครียดขึ้นมาทันที
เทศกาลหนังเมืองคานส์!
หลังจากแชตคุยกับหร่วนกวางเจี่ยนเมื่อวาน เผยเชียนก็กลัวว่าจะมีข่าวเข้ามาไม่หยุดเลยเปิดโหมดเครื่องบิน เปิดแจ้งเตือนแค่นาฬิกาปลุก
การประกาศรางวัลเทศกาลหนังเมืองคานส์น่าจะจบไปแล้วช่วงเช้าตรู่
เผยเชียนค่อยๆ ปิดโหมดเครื่องบินด้วยความรู้สึกสับสนวุ่นวาย
หน้าต่างแจ้งเตือนมากมายเด้งขึ้นไม่หยุด จุดแดงตรงแอปพลิเคชันแชตขึ้น 99+!
เผยเชียน “…”
เวรแล้วไง ได้รางวัลจริงๆ เหรอ
ใจเย็นๆ อาจจะเป็นข้อความปลอบใจที่ไม่ชนะรางวัลก็ได้
เผยเชียนสงบใจลง ตอนที่กำลังจะกดเปิดแอปแชตด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา พาดหัวข่าวในฟีดข่าวก็เผยความจริงให้รู้ก่อน
“หนังจีนคว้า Jury Prize ในเทศกาลหนังเมืองคานส์หลังรอมาสิบเอ็ดปีเต็ม!”
เผยเชียน “…”
เขาไม่รู้ว่าไอ้ Jury Prize ที่ว่าคืออะไร
แต่ที่รู้ชัดเจนคือไม่น่าใช่เรื่องดีแน่นอน!
เผยเชียนได้แต่ยกมือก่ายหน้าผาก
ไม่นะ เกิดเรื่องฉิบหายอีกแล้ว!