วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม
เผยเชียนแวะมาที่คาเฟ่ใกล้มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อพบนักออกแบบเกมอีกคน
ระบบให้งบค่าเล่าเรียน 1.8 ล้านหยวน ตอนนี้ใช้ไปแล้วหนึ่งล้านหยวน เหลือแปดแสนหยวน
เพราะงั้นเผยเชียนจึงขอให้เลขาซินหานักออกแบบที่พอมีชื่อเสียงและเคยมีโปรเจ็กต์ล้มเหลวมาก่อน เพื่อที่จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์นั้น
ที่เผยเชียนกำหนดให้หาคนที่พอมีชื่อเสียงก็เพราะอยากตัดปัจจัยเรื่องความสามารถส่วนตัวออกไปให้ได้เยอะที่สุด
ถ้านักออกแบบที่หามาเป็นคนที่ล้มเหลวเพราะไม่เอาถ่าน ระบบจะไม่ยอมให้เขาเสนอค่าจ้างสูงๆ อีกทั้งความผิดพลาดของเขาก็น่าจะไม่ดีพอที่จะนำมาเป็นบทเรียนได้
ถ้าคนคนนั้นมีแต่ความล้มเหลว เผยเชียนจะไปเรียนรู้อะไรได้ เกิดได้เรียนอะไรที่ไม่ค่อยสำคัญแล้วกลายเป็นเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จะทำยังไง
เขาต้องหานักออกแบบที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จประมาณหนึ่ง แบบนั้นปัจจัยความล้มเหลวของพวกเขาก็น่าจะโดดเด่นเหมือน ‘ขีดเน้นคำ’ ไว้ ทำให้ง่ายต่อการเอาเป็นแบบอย่าง
เหออันสอนเรื่องปัจจัยหลักที่ทำให้เถิงต๋าประสบความสำเร็จ ซึ่งสำหรับเผยเชียนแล้วเหมือนเรียนหนังสือผิดเล่ม เขาเหมือนกำลังทำแบบฝึกหัดตรวจหาความผิดพลาดขนานใหญ่อยู่
คนที่จะมาวันนี้จะพูดเรื่องประสบการณ์ล้มเหลวที่ผ่านมาเป็นหลัก แบบนี้ก็เอาสิ่งที่เหออันสอนไปโยงกับสิ่งที่นักออกแบบอีกคนจะสอนวันนี้ได้
เขาทั้งได้ผลาญเงิน 1.8 ล้านหยวนเพื่อหาความรู้เพิ่ม แถมยังได้เรียนเรื่องการสร้างเกมแบบมืออาชีพด้วย
ถ้าสามารถผ่านการประเมินจากระบบตอนปิดบัญชีและเอาความรู้ที่ได้มาสร้างเกมที่ขาดทุนได้สำเร็จ…
เขาก็จะหาเงินได้เหมือนสุลต่านเลยสิ
เทียบกับการ ‘ถามไม่ตรงกับคำตอบที่ต้องการ’ กับบอสเหอแล้ว นักออกแบบคนนี้จะให้ ‘คำตอบที่ต้องการ’ กับเขา ความรู้เกี่ยวกับผลาญเงินจะเข้าสมองของเขาได้ง่ายกว่า
เพราะงั้นเผยเชียนจึงตื่นเต้นกับการพบกันครั้งนี้มาก!
ไม่นานนักออกแบบเกมคนนั้นก็มาถึงคาเฟ่
“สวัสดีครับบอสหม่า! ผมชื่อชิวหงครับ” ชายผมยาวอายุอยู่ในช่วงสามสิบจับมือกับเผยเชียนอย่างอบอุ่น
เผยเชียนอ่านเรซูเม่ของชิวหงก่อนหน้าที่อีกฝ่ายจะมาถึงแล้ว
เรซูเม่ของชิวหงแตกต่างจากประสบการณ์ความสำเร็จยาวเหยียดของเหออัน ประวัติการทำงานในสายอาชีพการผลิตเกมของชิวหงดูไม่ค่อยจะชิวเท่าไหร่
เรซูเม่ของเขาอาจมองได้ว่าเป็นต้นแบบของคนวัยกลางคนในตลาดวงการเกมปัจจุบัน
หลังเข้าวงการในปีค.ศ.2001 เขาก็ทำงานเป็นนักออกแบบระบบในบริษัทเกมขนาดใหญ่ในประเทศ เขาทำเกมไคลเอนต์แนวเทพเซียน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเกมหวังดูดเงินผู้เล่น
สองปีต่อมา ความสำเร็จก็พาเขาย้ายไปอยู่อีกบริษัทหนึ่ง เขาได้รับหน้าที่เป็นนักออกแบบหลักของเกมไคลเอนต์ตีมแฟนตาซีตะวันตก ต่อมาโปรเจ็กต์ล่มหลังพัฒนาไปได้หนึ่งปีแต่คุณภาพก็ยังแย่อยู่
หลังจากนั้น เขาก็ย้ายไปบริษัทเกมอีกแห่งในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวางแผนทำเกมแนวสงครามที่มีการวางกำแพงค่าใช้จ่าย รอบนี้เขาประสบความสำเร็จและทำยอดได้สูงถึงหนึ่งร้อยล้านหยวนต่อเดือน
เกมสงครามเกมนี้ถือได้ว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง ถึงรายได้จะตกลงหลังผ่านไปครึ่งปี แต่ก็ยังเปิดให้บริการต่อไปได้ถึงสามปี สร้างชื่อให้ชิวหงได้ดีทีเดียว
ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมาจากโปรเจ็กต์ก่อนหน้านี้ ชิวหงจึงตัดสินใจยืนหยัดด้วยตัวเองโดยการระดมทุนมาเปิดบริษัทเกม จากนั้นก็สร้างเกมที่มีเพดานขึ้นมาอีกแต่ก็เจ๊ง
เพราะความล้มเหลวจากโปรเจ็กต์นี้ ชิวหงจึงอยู่ในช่วงหมดกำลังใจ ตั้งใจจะพักไม่ทำอะไรสักพัก แต่ดันมีคนติดต่อมาบอกว่าอยากจ้างเขาให้มาแชร์ประสบการณ์โดยให้ค่าตอบแทนหนึ่งแสนหยวน เขาเลยตอบตกลงและเดินทางมาจิงโจว
เผยเชียนพอใจกับเรซูเม่ของชิวหงมาก
พูดง่ายๆ คือ ยิ่งปีนสูงยิ่งตกลงมาแรง!
เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้เน้นผลิตเกมในประเทศที่มีการวางเพดานค่าใช้จ่าย ตอนเป็นนักวางแผนเมื่อห้าถึงหกปีก่อน เขาเคยทำยอดได้หนึ่งร้อยล้านหยวนต่อเดือน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ
อีกอย่างความผิดพลาดทั้งสองครั้งก็เหมือนจะไม่ได้เป็นเพราะเงิน
ตอนที่พลาดครั้งแรก บริษัทที่เขาย้ายไปมีกำลังจ่ายสูง พร้อมทุ่มไม่อั้นเพื่อสร้างผลงานชิ้นเอกในยุคนั้น ไม่ได้ขาดเงินทุนอะไร
ครั้งที่สอง เขาได้เงินทุนจากนักลงทุนเพียงพอสำหรับเริ่มต้นธุรกิจ ไม่ได้ขาดเงินทุนเหมือนกัน
ถึงอย่างนั้นชิวหงที่เคยประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์เพียงพอก็ยังล้มเหลวได้
ลงทุนสูง ขาดทุนหนัก เงินนับล้านหายไปกับสายลม ตรงกับสิ่งที่เผยเชียนต้องการสุดๆ!
เผยเชียนมั่นใจมากว่าน่าจะเรียนรู้อะไรได้จากประสบการณ์ของชิวหง!
พนักงานยกกาแฟมาเสิร์ฟ ทั้งสองคุยกันพลางยกกาแฟขึ้นจิบ
ชิวหงเล่าประวัติการทำงานของตัวเอง ทัศนคติของเขาแตกต่างจากเหออันอย่างเห็นได้ชัด
เหออันมีออร่าของยักษ์ใหญ่ในวงการและบุคคลผู้ประสบความสำเร็จ คุณวุฒิของเขาเหนือกว่านักออกแบบ 99% ในวงการ เขาสอนตามความสนใจและค่อนข้างยึดมั่นในความคิดของตัวเองทีเดียว
เขาจะสอนตามเนื้อหาที่ตัวเองเตรียมมา ถึง ‘หม่าหยาง’ จะจ้างเขาคลาสละสองแสนหยวน ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เขาจะกลับทันที
ชิวหงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเคยประสบความสำเร็จมาก่อน แต่เขาก็ตระหนักว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนมีชื่อในวงการ ดังนั้นเขาจึงนอบน้อมมากและเต็มใจแบ่งปันเรื่องที่ ‘บอสหม่า’ อยากฟัง
เพราะยังไงชิวหงก็เป็นนักออกแบบระบบ เคยสร้างแค่เกมหวังดูดเงินผู้เล่น ซึ่งคนสร้างเกมแบบนี้ก็มักจะมีลักษณะเหมือนกัน ซึ่งก็คือนิสัยหิวเงิน
ชิวหงคิดว่าในเมื่อ ‘บอสหม่า’ ยอมจ่ายเงินหนึ่งแสนหยวนจ้างเขามาสอน แถมยังออกค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้ แบบนี้ก็เหมือนความสัมพันธ์ของผู้เล่นสายวาฬกับพวกเขา คือต้องพึ่งพาอาศัยกัน
เขาต้องทำทุกอย่างตามที่ ‘บอสหม่า’ ต้องการ
เพราะงั้นชิวหงจึงไม่โกรธเลยพอได้ยินว่า ‘บอสหม่า’ อยากรู้เรื่องความผิดพลาดของเขา เขาแค่ยืนยันให้แน่ใจอีกครั้งก่อนจะตอบตกลง
“โอเคครับ ผมจะเล่าให้ฟังถ้าบอสหม่าอยากรู้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมต้องชี้แจงก่อน
“ถ้าจะให้เล่าเรื่องประสบการณ์ความสำเร็จ ผมต้องการเวลาเตรียมตัว เพราะทุกความสำเร็จเกิดจากปัจจัยความสำเร็จนับไม่ถ้วนมารวมกัน ผมต้องแจกแจงปัจจัยทั้งหมดก่อนเพื่อประกอบภาพรวมทั้งหมดขึ้นใหม่
“แต่ถ้าให้พูดเรื่องความผิดพลาดก็จะง่ายกว่ามาก ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวอะไรเยอะ
“ก็เหมือนสำนวนที่ว่า ‘เขื่อนยาวนับพันลี้ ทลายเพราะรังมด’ หลายครั้งที่คุณตัดสินใจถูกหมดเก้าสิบเก้าอย่าง แต่ทุกอย่างกลับพังหมดเพราะการตัดสินใจผิดครั้งเดียว
“เวลาวิเคราะห์สาเหตุความล้มเหลว แค่หาปัจจัยร้ายแรงที่สุดที่ทำให้ล้มเหลวเจอก็พอแล้ว”
ชิวหงคุยกับ ‘บอสหม่า’ เรื่องแนวทางการสอนระหว่างจิบกาแฟไปด้วย เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำตามที่ ‘บอสหม่า’ ต้องการให้ได้มากที่สุด
เผยเชียนดีใจสุดๆ “เยี่ยมเลยครับ! ผมอยากรู้เรื่องรังมดที่ทำให้ทุกอย่างทลายลงนี่แหละครับ ช่วยเล่าให้ฟังด้วยนะครับ!”
ชิวหงพยักหน้า “ได้ครับ ในคลาสต่อๆ ไป ผมจะพูดเรื่องปัจจัยหลักที่ทำให้โปรเจ็กต์พังไม่เป็นท่า ผมเชื่อว่าบอสหม่าจะเลี่ยงสถานการณ์เดียวกันหรือหาทางแก้ได้ด้วยความรู้ความสามารถของตัวเองได้”
เผยเชียนผุดยิ้ม “ดีเลยครับ” novelgu.com
ชิวหงยกกาแฟขึ้นดื่มอึกใหญ่พลางจัดระเบียบความคิด “สำหรับคลาสวันนี้ ผมจะเริ่มจากปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ควรมองข้ามที่สุด
“การบริหารจัดการโปรเจ็กต์
“ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดระหว่างเกม หนัง แอนิเมชัน และอุตสาหกรรมอื่นๆ เมื่อเทียบกับนิยายและการทำสื่อด้วยตัวเอง คือพวกมันเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องมีการแบ่งงานและการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด
“พูดอีกอย่างคือ ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ถ้าเพื่อนร่วมงานและคนรอบตัวทำเละเทะ ยังไงก็ไม่มีทางสร้างอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“ขนาดโปรดิวเซอร์เกมมากฝีมือยังต้องการทีมโปรดักชันที่แข็งแกร่งมาช่วยเปลี่ยนสิ่งที่เขาออกแบบเป็นโปรเจ็กต์เกมที่ประสบความสำเร็จเลย
“ทุกคนมีความขี้เกียจติดตัวกันหมด พนักงานหลายคนในแวดวงนี้มองตำแหน่งตัวเองเป็นงานที่ได้เงินเดือนตายตัวมาจุนเจือครอบครัว ไม่ใช่งานที่ตัวเองมีไฟอยากทำ ทำให้ไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน
“จุดนี้แหละที่การบริหารจัดการโปรเจ็กต์เข้ามามีส่วนสำคัญ
“เหตุผลหลักที่ผมทำโปรเจ็กต์ได้สำเร็จ แต่มาพลาดตอนลงทุนเองคือขาดทักษะการบริหารจัดการโปรเจ็กต์
“ผลลัพธ์ที่ออกมาคือแผนการดำเนินการที่ผมทำให้บริษัทเดิมนั้นทำได้ราบรื่นตลอด ล่าช้าที่สุดเต็มที่แค่หนึ่งสัปดาห์
“แต่พอมาเป็นบริษัทตัวเอง แผนการดำเนินงานที่ผมให้ไปมักออกมาล่าช้าเสมอ โดนเลื่อนออกไปหลายต่อหลายครั้ง เกมที่ออกมาก็ไม่ตรงกับภาพที่วางไว้
“ทุกฝ่ายมักมีข้ออ้างต่างๆ ในการปัดความรับผิดชอบไปมา ในภาพรวมเหมือนทุกคนจะทำงานตัวเองเสร็จสมบูรณ์ แต่ถ้าลงไปดูดีๆ จะเห็นว่าไม่มีใครผลักดันโปรเจ็กต์ไปข้างหน้าเลย
“แค่ทุกคนทำงานช้าไปกันคนละนิด ความคืบหน้าของทั้งโปรเจ็กต์ก็พังแล้วครับ…”
เผยเชียนฟังอย่างตั้งใจด้วยสีหน้าสนอกสนใจ
ช่าง…น่าอิจฉาจริงๆ!
ดูสิ บอสบริษัทอื่นไม่เห็นต้องบอกให้พนักงานอู้เลย!
แล้วหันมาดูพนักงานเถิงต๋า บอสบอกให้พักจนปากจะฉีก แต่ทุกคนกลับพยายามหาทางทำงานล่วงเวลากันเต็มที่!
เผยเชียนไม่ได้อะไรที่ใช้ได้จริงจากความผิดพลาดอันสุดยอดนี้เลยนอกจากความอิจฉา
จากที่ชิวหงพูดมา ข้อผิดพลาดในการบริหารจัดการโปรเจ็กต์จะทำให้เกิดการขาดความสามัคคี ถ้าไม่มีใครให้ความร่วมมือก็เดินหน้าต่อไม่ได้
แต่จุดนี้ก็ทำให้เผยเชียนสงสัยขึ้นมา
ฉันไม่เคยจัดการบริหารโปรเจ็กต์อะไรเลยนี่
ทำไมพนักงานของฉันไม่เห็นขาดความสามัคคีเลย พวกเขาสามัคคีกันอย่างกับแผ่นเหล็ก
เข็มเจาะไม่ได้ น้ำซึมไม่ผ่าน หาทางทลายไม่ได้เลย!
เผยเชียนคิดว่าสิ่งที่ชิวหงเล่านั้นน่าสนใจมากๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเอาไปใช้ยังไง
จากที่ชิวหงพูดมา ความผิดพลาดของเขามาจากความพยายามที่ไม่มากพอ ไม่ใช้การบริหารจัดการโปรเจ็กต์ที่ดีเข้ามากระตุ้นพนักงาน พูดอีกอย่างคือไม่ควบคุมพนักงานที่ชอบอู้ให้ดี
แต่เทียบกับชิวหงที่พยายามไม่พอแล้ว เผยเชียนนั้นไม่ได้พยายามอะไรเลย!
นอกจากจะไม่ควบคุมดูแลพนักงานแล้ว ยังทำในสิ่งตรงข้ามอย่างไล่พวกที่ทำงานล่วงเวลากลับบ้านหมดด้วย!
ฉันทำเกินกว่าที่จำเป็นด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้ผลตรงกันข้ามล่ะ
ปัญหาอยู่ที่พนักงานหรืออยู่ที่ฉันกันแน่
ปวดหัวจริงๆ…