ราชครูจิวหมัวจื้อในตอนนี้ รู้สึกทรมานเป็นพิเศษ…
อิงตามระดับฝีมือของเขา คู๋ต่อสู้หลักที่เขาต้องรับมือด้วยควรจะเป็น NPC ระดับสูงสี่คนนั้นที่ฝีมือไม่อ่อนด้อย ต่อให้เป็นเขาก็ปลิดชีพอีกฝ่ายได้ยาก
ทว่าพอลงมือสู้กันขึ้นมาจริงๆ คนที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งอย่างเขากลุ้มใจกว่าปกติ กลับเป็นผู้เล่นตัวเล็กๆ สองคนที่ฝีมืออ่อนด้อยกว่า NPC
ในจำนวนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว ความรู้สึกเวลาถูก ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ เล่นงาน ใครโดนคนนั้นย่อมรู้เอง
เขาสู้กับสี่ NPC ผู้แข็งแกร่งอย่างดุเดือดไฟลุก แต่ฝั่งเยี่ยเว่ยหมิงงอนิ้วข้างขวาทีข้างซ้ายที เขาก็รู้สึกเหมือนมีหนามแทงหลังทันที
สัญชาตญาณของชาวยุทธ์บอกเขา ว่าถ้าปล่อยให้เจ้าหมอนี่คำนวณต่อไป ตัวเองจะต้องโชคร้ายแน่!
จิวหมัวจื้อไม่อยากโชคร้าย!
ดังนั้นขณะที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่กับการต่อสู้ เขาต้องเจียดสมาธิและพลังส่วนใหญ่เพื่อโจมตีระยะไกลขัดจังหวะการคำนวณของเยี่ยเว่ยหมิง
แม้จะอาศัยความแตกต่างด้านฝีมือของทั้งสองคน เมื่อเขาปล่อยปราณดรรชนีสองสายออกมา บีบให้เยี่ยเว่ยหมิงต้องพยายามหลบเต็มที่ ขัดจังหวะการคำนวณของ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่พอเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้เขารวบรวมสมาธิทั้งหมดต่อต้านสี่ยอดฝีมือ NPC ตรงหน้าไม่ได้เช่นกัน
มีฝีมือเหนือกว่าสี่คนนั้นหนึ่งระดับแท้ๆ แต่สู้กันนานขนาดนี้ กลับขึ้นมาเป็นฝ่ายได้เปรียบไม่ได้สักที!
แบบนี้จะทำให้คนกลุ้มใจขนาดไหนกัน
ส่วนเจ้าเด็กที่ชอบคำนวณคนนั้น ท่าร่างก็ดันสุดยอดมาก สไตล์การต่อสู้ของเขาก็สูสีกับตระกูลโก่วเช่นกัน ภายใต้ระยะห่างที่ลดการปะทะหลายจั้ง ต่อให้เป็นเขาก็ไม่มีทางสร้างภัยคุกคามที่แท้จริงอะไรต่อเจ้าเด็กน่ารังเกียจคนนี้ได้
แค่เยี่ยเว่ยหมิงคนเดียวก็ทำให้จิวหมัวจื้อตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่น่าอึดอัดมากแล้ว
ทว่าตอนที่เขาคิดว่าศัตรูที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจที่สุดคือเยี่ยเว่ยหมิง
ไต้ซือหลิวอวิ๋นกลับยืนขึ้นในฐานะตัวแทนเส้าหลิน แล้วใช้การกระทำจริงบอกเขาว่า
อามิตตาภพุทธ ยังมีอาตมาอีกคนนะ!
เลเวลพุทธธรรมของหลิวอวิ๋น แม้จะเป็นในบรรดา NPC ก็ถือว่าสูงสุดเช่นกัน จะบอกว่าเขาเป็นหลวงจีนคุณธรรมสูงก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป
ถึงขั้นว่าแม้แต่ในบรรดาหลวงจีนรุ่นเสวียนของวัดเส้าหลิน ก็มีแค่เลเวลพุทธธรรมของเจ้าอาวาสเสวียนฉือที่เทียบกับเขาได้
หมายเหตุ!
แค่บอกว่าเทียบเท่ากันเท่านั้น ต่อให้เป็นเสวียนฉือ แต่ในด้านพุทธธรรมก็ไม่ได้เหนือกว่าเขาอยู่ดี
มองภาพรวมทั้งวัดเส้าหลิน ถึงขั้นทั้งเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ คนเดียวที่เลเวลพุทธธรรมเหนือกว่าหลิวอวิ๋น ก็มีเพียงอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาให้เขา เป็นหลวงจีนกวาดลานวัด BOSS ลับเลเวลสองร้อย
แม้แต่ราชครูถู่ปัวจิวหมัวจื้อ ค่าตบะของเขาก็เพิ่มเลเวลพุทธธรรมได้ถึงเลเวลแปดเท่านั้น ยังห่างจากหลิวอวิ๋นชัดเจน
ซึ่งหลวงจีนระดับสูงที่พุทธธรรมถึงระดับเดียวกับหลิวอวิ๋น ภายใต้การเสริมประสิทธิภาพจากทักษะของระบบ ภาษาสันสกฤตในลีลาการสนทนาพาที ทุกประโยคทุกคำพูดล้วนสร้างผลการกล่อมกลืนพฤติกรรมต่อเขา
ผลกระทบแบบนี้ชัดเจนมากสำหรับสาวกที่นับถือศาสนาพุทธ!
ยิ่งเป็นคนที่เลื่อมใสศาสนาพุทธ เช่นนั้นแรงต้านของเขาที่มีต่อภาษาสันสกฤตก็ยิ่งต่ำ
นอกเสียจากว่าเลเวลพุทธธรรมของเจ้าจะสูงกว่าเขาถึงจะโต้กลับได้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะถูกอีกฝ่ายควบคุมแต่โดยดี เรียบง่ายและป่าเถื่อนยิ่งกว่าการประลองกำลังภายในเสียอีก
ซึ่งจิวหมัวจื้อเป็นคนที่มีสติปัญญาพร้อมตรัสรู้พอดี อย่าไปมองว่าแต่ละเรื่องที่เขาทำตอนนี้อวดดีเหมือนอยากจะเจาะฟ้าให้เป็นโพรง
เพราะที่จริงแล้ว ลึกๆ ในใจเขาเป็นศาสนิกชนที่เลื่อมใสศาสนาพุทธที่สุด
ขาดแค่โอกาสตรัสรู้ธรรมอีกครั้งเดียว เขาก็จะเป็นถึงระดับพระชั้นสูงแล้ว!
ดังนั้น เสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตของหลิวอวิ๋นจึงส่งผลกระทบต่อเขาเยอะมาก อีกทั้งในสถานการณ์แบบนี้ หลิวอวิ๋นดันท่องคัมภีร์ผิดด้วย ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก
ซึ่งเมื่อบทสวดที่ถูกท่องผิดๆ แบบนี้ฉายซ้ำข้างหูเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกล้างสมอง ทำให้เขาอยากจะหยุดการต่อสู้เสียตอนนี้ แล้วนั่งลงถกเถียงกับหลิวอวิ๋นดีๆ สักยก
ทว่าการต่อสู้เริ่มแล้ว ต่อให้เขาอยากจะหยุด แต่เกรงว่ายอดฝีมืออีกสี่คนคงไม่ตอบรับอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เขาทำตอนนี้เดิมทีก็สวนทางกับหลักธรรมศาสนาพุทธอยู่แล้ว ต่อให้นั่งสนทนาธรรมกันขึ้นมาจริงๆ แต่ขอเพียงหลิวอวิ๋นพูดประโยคเดียวว่า ‘พุทธองค์ทรงเมตตา’ ก็ทำให้เขาเถียงไม่ออกแล้ว
แต่ถ้าจะให้เป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อนเพื่อขัดจังหวะการท่องคัมภีร์ของหลิวอวิ๋น?
นั่นก็ยิ่งทำไม่ได้!
อย่างไรเสียหลิวอวิ๋นก็ไม่ใช่เยี่ยเว่ยหมิง เขาไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เดิมพันครั้งนี้ แถมอีกฝ่ายก็ไม่ได้ลงมือกับใครเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แค่นั่งท่องคัมภีร์อยู่ตรงนั้นอย่างเดียว จิวหมัวจื้อหาข้ออ้างเพื่อลงมือกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เขาเป็นชาวพุทธคนหนึ่ง ต่อให้ยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก แต่ก็ลงมือเหี้ยมโหดกับหลวงจีนคุณธรรมสูงอย่างหลิวอวิ๋นเพียงเพราะอีกฝ่ายท่องคัมภีร์ผิดไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้น แม้จะรู้สึกไม่สบายใจอย่างไร แต่เขาก็ทำได้เพียงฝืนอดทนไว้
ขณะกำลังรับมือกับพวกเยี่ยเว่ยหมิงอย่างสุดกำลัง ก็ยังต้องแบ่งสมาธิมาเตือนสติตัวเองไม่หยุดว่าหลวงจีนรูปนั้นท่องคัมภีร์ผิดแล้ว ตัวเองห้ามเอาเยี่ยงอย่าง ห้ามได้รับผลประทบจากเขา…
ค่าสเตตัสที่เพิ่มขึ้นของสารีริกธาตุไม่ใช่ค่าตระหนักรู้เสมอไป อิงตามความสามารถก่อนมรณะภาพในท่านั่งสมาธิจนกลายเป็นพระชั้นสูง บทบาทของสารีริกธาตุก็แตกต่างกันมากเช่นกัน พูดเหมารวมไม่ได้…
ไม่สิ!
ข้าจะมัวมาคิดวนเวียนถึงค่าสเตตัสของสารีริกธาตุทำไมกัน
ควรจะเป็นคัมภีร์ที่ไขคำว่า ‘สารีริกธาตุ’ แล้วต่างหาก!
ค่าสเตตัสมารดาอะไรของเจ้า…
แล้วก็เป็นอย่างนี้ จิวหมัวจื้อตกอยู่ในความจนใจ ทั้งยังถูกหลิวอวิ๋นดึงสมาธิไปส่วนหนึ่งอีก
ข่าวดีเพียงอย่างเดียวก็คือ คัมภีร์ของหลิวอวิ๋นไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อเขา ทั้งยังส่งผลต่อหลวงจีนคิ้วเหลือง ต้วนเจิ้งหมิงและต้วนเหยียนชิ่งที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาไม่มากก็น้อยเช่นกันโuเวลกูดoทฺคอม
เพียงแต่ถ้ามองจากภาพรวม ผลกระทบการท่องคัมภีร์ผิดที่มีต่อคนอื่น ยังห่างไกลกับผลกระทบที่มีต่อจิวหมัวจื้ออยู่มาก
นี่คือการใช้คำพูดโจมตีหมู่ชัดๆ!
ภายใต้แรงกระทบการของใช้คำพูดโจมตีหมู่ คนที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดก็คือจิวหมัวจื้อกับหลวงจีนคิ้วเหลืองซึ่งเป็นพระที่แท้จริง ที่รองลงมาก็คือต้วนเจิ้งหมิงกับต้วนเหยียนชิ่ง แต่สองคนนี้ใช้ชีวิตอยู่ทางโลก ได้รับผลกระทบน้อยมาก
ส่วนเซี่ยเยียนเค่อ?
ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ที่รักษาสัจจะอันดับหนึ่งในใต้หล้า เขาแสดงออกอย่างแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เมื่อเผชิญหน้ากับการใช้คำพูดโจมตีแบบนี้ ก็แทบจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย!
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่า เขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจริงๆ!
ดังนั้น การโจมตีนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไร ฝั่งเยี่ยเว่ยหมิงก็มีแต่ได้กำไร
ยิ่งการท่องคัมภีร์ของหลิวอวิ๋นมีผลกระทบรุนแรงมากขึ้น จิวหมัวจื้อที่เดิมทียังพอรับมือกับห้ายอดฝีมือได้แบบสูสี ตอนนี้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ เชิญร่ำสุราที่รับมือกับซานเย่ว์อยู่อีกฝั่งก็ร้อนใจสุดๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
เขามีความตั้งใจที่จะโจมตีหลิวอวิ๋นเพื่อคลายแรงกดดันให้จิวหมัวจื้อ แต่ซานเย่ว์กลับก่อกวนเขาไม่ปล่อย ทำให้เขาปลีกตัวไปไม่ได้เลย
แม้เขาจะอาศัยความได้เปรียบด้านพลังโจมตีอันแข็งแกร่งและกระบวนท่าที่พลิกแพลงได้เยอะของ ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้ซานเย่ว์ก็มีสุดยอดวิชาเหมือนกัน ท่าร่างร้ายกาจที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมือลื่น คว้าอีกฝ่ายเอาไว้ไม่ได้
ถ้ามีแค่นี้เท่านั้น เขาก็ยังพออาศัย ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ ที่เลเวลสูงของตัวเองค่อยๆ ลดช่องว่างการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายและกำจัดในรวดเดียวได้
แต่ซานเย่ว์นอกจากจะมีท่าร่างยอดเยี่ยมแล้ว หมัดเท้าของนางก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษเช่นกัน วิชา ‘ฝ่ามือทะลวงใจ’ ทำให้แม้แต่เขาก็ไม่กล้ายืนดูเฉยๆ ทุกครั้งที่เขาสะสมความได้เปรียบจนถึงระดับหนึ่ง ก็จะโดนอีกฝ่ายฉวยโอกาสโจมตีกลับสองกระบวนท่า ทำให้เขาต้องโจมตีช้าลง ถ่วงการต่อสู้ที่เดิมทีควรจะจบแล้วให้นานขึ้นอีก
แต่สรุปก็คือ ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเอง หรือสหายร่วมทีมอีกสองคน ก็ล้วนได้เปรียบผู้เล่นที่อยู่ในสนามรบโดยสมบูรณ์
หรือนี่อาจจะเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้ายก็ได้?
ในฐานะผู้แข็งแกร่งด้านสุดยอดวิชาที่มีคุณวุฒิสูง ระหว่างที่ต่อสู้กับซานเย่ว์ เชิญร่ำสุราถึงขั้นเจียดเวลาไปมองการต่อสู้ในสนามรบหลักได้เป็นครั้งคราว
ตอนนี้เขาอาศัยจังหวะตอนที่ใช้กระบี่บีบจนซานเย่ว์หลบเพื่อมองไปทางนั้นปราดหนึ่ง แต่กลับตาลุกวาวทันที
ที่แท้จิวหมัวจื้อที่ถูกกลยุทธ์ก่อกวนสองชั้นของเยี่ยเว่ยหมิงกดให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ปะทุพลังที่แท้จริงของเขาออกมาแล้ว
เขาเห็นเขาโบกฝ่ามือขวา ยิงพลังดาบไร้รูปที่ร้อนแรงออกมาอย่างต่อเนื่อง บีบให้ยอดฝีมือสี่คนที่โจมตีเขาถอยออกไป
สถานการณ์การต่อสู้พลันเปลี่ยนทิศทางหลังจากที่เขาฟันดาบออกมา
วิธีการใช้ดาบโจมตีฝ่าอากาศที่จิวหมัวจื้อใช้อยู่ตอนนี้ ชื่อว่า ‘ดาบเปลวอัคคี’
นี่เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดวิชาของสำนักฝ่ายพุทธ ส่วนอีกสามสุดยอดวิชาอย่าง ‘ง้าวสายฟ้า’ ‘ขวานน้ำแข็งนิล’ และ ‘กระบี่กำจัดภัย’ หายสาบสูญไปนานแล้ว แม้แต่จิวหมัวจื้อก็เคยเห็นในตำราโบราณแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันเคยมีอยู่จริงหรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย…
‘ดาบเปลวอัคคี’ ในฐานะที่เป็นสุดยอดทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของจิวหมัวจื้อ แค่คิดก็รู้แล้วว่าประสิทธิภาพของมันดีขนาดไหน จิวหมัวจื้ออาศัยพลังที่แข็งแกร่งของตัวเองแสดงมันออกมา ทั้งหมดอาศัยพลังฝ่ามือให้กลายเป็นพลังดาบไร้รูปและโจมตีฝ่าอากาศไปยังศัตรู อานุภาพของมันเป็นรองแค่ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ ในตำนาน
เดิมทีจิวหมัวจื้อไม่ได้คิดจะเผยไพ่ลับสุดยอดอย่างดาบเปลวอัคคีในการเดิมพันครั้งนี้
เพราะการที่เขามาหุบเขาว่านเจี๋ยรอบนี้ก็มาพร้อมจุดประสงค์ไม่กี่อย่างด้วยการหลอกล่อของเชิญร่ำสุรา
จุดประสงค์แรก สังเกตสถานการณ์ที่ดำเนินไป นั่งดูเสือสองตัวของสกุลต้วนต้าหลี่สู้กัน มาดูจุดเด่น ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ซึ่งเป็นสุดยอดวิชาของสกุลต้วน ถึงขั้นว่าเมื่ออยู่ในช่วงเวลาสำคัญก็ยื่นมือช่วยต้วนเหยียนชิ่งได้ ทำให้ต้วนเจิ้งหมิงได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งนี้
เมื่อเป็นแบบนี้ อย่างน้อยก็ให้คนจากสกุลต้วนต้าหลี่คนนี้กำจัดยอดฝีมืออันดับหนึ่งนอกวัดเทียนหลง ทำให้อีกฝ่ายไม่มีโอกาสยื่นมือเข้ามาแทรกในศึกชิงตำราลับครั้งถัดไปของเขา
แต่เมื่อพวกเยี่ยเว่ยหมิงดึงต้วนเหยียนชิ่งมาเป็นพวกเดียวกันแล้ว เป้าหมายนี้ก็ย่อมไม่มีทางสำเร็จได้
ดังนั้นเมื่อเรื่องดำเนินมาจนถึงช่วงนี้ ก็เป็นเป้าหมายที่สองของจิวหมัวจื้อแล้วเช่นกัน
เขามาแทนตำแหน่งของต้วนเหยียนชิ่ง บีบให้ต้วนเจิ้งหมิงต้องพยายามเชิญยอดฝีมือมาเพื่อช่วยคน
นอกจากนี้ จิวหมัวจื้อก็แตกต่างกับต้วนเหยียนชิ่ง เพราะต้วนเหยียนชิ่งเป็นสมาชิกราชวงศ์ของสกุลต้วนต้าหลี่อยู่แล้ว ถึงขั้นมีอำนาจสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต่ของต้วนเจิ้งหมิงด้วยซ้ำ ความขัดแย้งภายในระหว่างพวกเขา พระชั้นสูงของวัดเทียนหลงไม่มีทางแทรกแซงได้เลย ไม่สะดวกจะแทรกแซงด้วย
แต่สำหรับพวกเขา จิวหมัวจื้อก็เป็นเพียงชาวต่างชาติคนหนึ่ง ขอเพียงต้วนเจิ้งหมิงไปเชิญมาด้วยความจริงใจ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเชิญพระชั้นสูงในวัดเทียนหลงมาได้
ถ้าต้วนเจิ้งหมิงเชิญยอดฝีมือจากวัดเทียนหลงมาได้สักคนสองคนจริงๆ แบบนั้นก็ดีที่สุดแล้ว!
หากเป็นแบบนั้น เขาก็จะฉวยโอกาสนี้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อกำลังรบระดับสูงฝั่งวัดเทียนหลงในรวดเดียว ลดจำนวนศัตรูเก่งๆ ในศึกชิงตำราลับหลังจากนี้ได้หลายคน