“อย่าได้โกรธเคืองเลยท่านปู่สอง เป็นข้าเองที่ด้อยฝีมือ อย่าได้กล่าวโทษนายน้อยเย่” หลินเสี่ยวกล่าวพร้อมกับกุมบาดแผล จากนั้นหันไปทางเย่หวูเฉิน สีหน้าคล้ายยิ้มขมขื่นขณะกล่าว “คุณชายเย่มีฝีมือสูงส่ง ข้าน้อมรับความพ่ายแพ้ เหมือนกับว่าที่ผ่านมาข้ามองฟ้าจากก้นบ่อ”
“เร็วเข้ารีบไปพาเสี่ยวเอ๋อร์มารักษาเร็ว!” หลินขวงตะโกน
“ฮี่ ฮี่ ผู้อาวุโสหลินอย่าได้กังวล เฉินเอ๋อร์ของพวกเราได้แสดงความเมตตาให้แล้ว นั่นเป็นเพียงแค่แผลเล็กๆ หากเมื่อครู่เฉินเอ๋อร์เล็กที่คอของเขา ตอนนี้พวกเราคงได้แตกตื่นกันแล้ว” เย่หนู่กล่าวปลอบคืน
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลินขวงบิดกระตุกอย่างต่อเนื่อง เขานั่งลงอย่างหนักหน่วง และครางเสียงเยียบเย็น เย่หนู่มองสีหน้านั้นอย่างพออกพอใจ
หลินเสี่ยวลงมาจากเวที นักเวทย์ที่เบื้องหลังหลงหยินก็ลุกออกไปช่วยทำแผลให้หลินเสี่ยวอย่างรีบร้อน
ยามโจมตีผู้คนห้ามโจมตีตรงใบหน้า ไม่เพียงทำให้ใบหน้าเสียโฉม แต่นี่ยังเป็นการตบหน้าตระกูลหลินอย่างร้ายกาจต่อหน้าเหล่าขุนนางราชวงศ์
ทุกคนจ้องมองอย่างโง่งมไปยังเย่หวูเฉินที่ยืนอยู่บนเวที หลังจากวันนี้ ยังจะมีใครเรียกเขาว่านายน้อยขี้โรคแห่งตระกูลเย่อีก?
“เจ้าหนูบัดซบเอ้ย!!”
เสียงคำรามดังสนั่นก้องไปทั่ว ตามมาด้วยบุรุษรูปรูปร่างหนากำยำกระโจนสูงกว่าสิบเมตรออกมา เมื่อลอยลงพื้นเย่เวทีเย่หวูเฉินรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“อ๊า…. ท่านพ่อ!” ฮั่วฉุ่ยโหรวตะโกนอย่างตกใจ แต่เสียงของนางเล็กเบาเกินไป ฮั่วเจิ้นเทียนไม่อาจได้ยินนางขณะที่ลงเยียบบนพื้นเวที
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสฮั่ว ไม่ทราบว่าท่านมีสิ่งใดจะแนะนำข้า” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หากจะมีใครสักคนกล้าโอหังต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ย่อมไม่มีผู้ใดใจกล้าหน้าด้านยิ่งไปกว่าฮั่วเจิ้นเทียน หลงหยินอยากจะกล่าวบางสิ่งหากแต่สุดท้ายลังเลและไม่กล่าวออกมา รวมทั้งสีหน้ายังไม่มีความโกรธเคืองใดๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นชินกับอุปนิสัยของฮั่วเจิ้นเทียนมานานแล้ว
“แนะนำกับผีสิ! ไอ้เด็กเหลือขอเจ้ากล้าทำร้ายโฉมหน้าว่าที่ลูกเขยข้า ข้าจะสั่งสอนเจ้า!” ฮั่วเจิ้นเทียนขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแทบมีประกายไฟลุก เขารักลูกสาวยิ่งกว่าชีวิตของตน และยังรวมถึงคนที่เกี่ยวข้องกับนาง แน่นอนว่าเขาต้องปกป้องว่าที่สามีนาง เมื่อเห็นต่อหน้าต่อตาชัดเจนว่าใบหน้าเขาถูกกระบี่เฉือน เขาต้องเสียพลังอย่างหนักระงับความโกรธ แต่สุดท้ายเขาก็กระโดดลงมาบนเวที ความโกรธที่กดไว้ทะลักทลายออกมาอย่างรุนแรง
ด้วยความโกรธเกรี้ยวของเขา ลมหายใจอันระอุแผ่แรงกดดันมายังหน้าอกของเย่หวูเฉินราวกับมีหินก้อนมหึมากดไว้ ในใจเขารู้สึกหวั่นสะพรึง… ผู้นำตระกูลฮั่วผู้นี้แท้จริงมีพลังระดับขอบเขตวิญญาณ
หลานชายผู้แสดงฝีมือเหนือล้ำเป็นที่ภาคภูมิของตน ยามนี้เมื่อเขาถูกกดข่มให้มัวหมอง หากเขายังทนอยู่ได้ เขาย่อมไม่ใช่‘เย่หนู่’อีกต่อไป เขาลุกขึ้นเสียงดัง ‘พรึ่บ’ แล้วชี้นิ้วไปที่ฮั่วเจิ้นเทียนพร้อมกับตะโกน “ฮั่วเจิ้นเทียน เจ้าหนุ่มหลินอ่อนด้อยฝีมือไม่ใช่ความผิดของเฉินเอ๋อร์ อย่าสร้างปัญหาโง่ๆ ผู้คนจะหัวเราะเจ้าได้”
ฮั่วเจิ้นเทียนหันขวับไปมอง จากนั้นคำรามลั่นราวฟ้าร้อง “ตาเฒ่าเย่ ข้าเห็นเขาทำร้ายใบหน้าของว่าที่ลูกเขยข้า แล้วจะให้ลูกสาวข้าทนยอมรับได้อย่างไร! แม้ว่าเขาจะเป็นหลานชายท่าน ข้าก็จะต้องให้เขารับผิดชอบ”
ด้วยอารมณ์เดือดพล่านของฮั่วเจิ้นเทียน เขาสามารถด่ากราดได้ทุกผู้คน กระทั่งองค์จักรพรรดิก็ไม่มีข้อยกเว้น และแน่นอนย่อมรวมถึงเย่หนู่
“ถึงแม้ว่าที่ลูกเขยเจ้าจะถูกฆ่าตายก็ไม่ใช่เรื่องของข้า หากเจ้ากล้าแตะต้องแม้เพียงผมเส้นเดียวของเฉินเอ๋อร์ พรุ่งนี้ข้าจะไปเผาบ้านตระกูลฮั่วของเจ้าทิ้ง!”
“บ๊ะ! ข้าจะทุบตีจนมารดาจำหน้าเจ้าไม่ได้ ถ้าพรุ่งนี้ท่านไม่มาเผาบ้านพวกเรา ท่านก็เป็นลูกเต่าโง่หดหัวในกระดอง!”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้า? ในวันที่ข้าออกรบในสมรภูมิ เจ้าก็ยังเป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”
“ออกรบในสมรภูมิแล้วยังไง ในเมื่อข้า บิดาเจ้าเพียงใช้อัสนีลั่นสะเทือนฟ้าเพียงลูกเดียวก็สามารถเป่าตระกูลเย่ของเจ้าจนราบได้!”
ทั้งสองคนทะเลาะกันอย่างดุเดือด ความสง่าเยือกเย็นสูญสลายไม่มีเหลือ คนทั้งคู่อยากพุ่งเข้าใส่แล้วตีกันในทันที หลงหยินส่ายศีรษะยิ้มเอือมระอา แม้จะยังไม่กล่าวคำใด หลินเหยียนที่ปิดปากเงียบกลับรู้สึกดีใจอยู่ข้างใน เขาปรารถนาให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเย่และตระกูลฮั่วพินาศลง
ฮั่วฉุ่ยโหรวบีบมือของนางแน่น น้ำตาแห่งความกังวลไหลออกมากะทันหัน ไม่ว่าบุรุษหนุ่มผู้ใดได้เห็นสภาพน่ารักน่าสงสารของนาง พวกเขาจะต้องตะลึงค้างกับความงามและเสียใจ
“พอเลิก หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” เย่หวูเฉินตะโกนเมื่อไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
เสียงของเขาทำให้ฮั่วเจิ้นเทียนเปลี่ยนจุดสนใจ เขาบีบมือทั้งสองข้างแล้วกล่าวอย่างกราดเกรี้ยว “หลังด่าตาเฒ่าไปหนึ่ง มาสอนไอ้หนูนี่อีกสักหนึ่งบทเรียน ไว้บิดาค่อยกลับไปสั่งสอนเจ้าอีกครั้งทีหลัง”
“ช้าก่อนผู้อาวุโสฮั่ว ท่านโปรดฟังคำของผู้เยาว์สักครู่หนึ่งก่อนได้หรือไม่?”
“ว่ามา”
เย่หวูเฉินยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง ในฉับพลันเขาก็ก้มลงใช้กระบี่หักในมือขีดลงบนพื้น ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ลมหายใจก็วาดวงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 5 เมตรไว้บนพื้น เมื่อเย่หวูเฉินกลับมาที่เดิม วงกลมก็ได้ล้อมรอบตัวเขาและฮั่วเจิ้นเทียนเอาไว้
“ทำร้ายว่าที่ลูกเขยของผู้อาวุโสเป็นความผิดของผู้เยาว์อย่างเห็นได้ชัด แต่ตะกูลฮั่วและตระกูลเย่ต่างก็มีชื่อเสียงในอาณาจักรเทียนหลง ทั้งยังเป็นเสาหลักค้ำจุนของอาณาจักร จะปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยนี้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราสองตระกูลได้อย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว งั้นพวกเรามาประลองกัน ถ้าผู้ใดออกจากวงกลมนี้ก่อนเป็นฝ่ายแพ้ ท่านคิดเห็นเป็นเช่นใด?”
“เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด ข้ามาที่นี่เพื่อสั่งสอนบทเรียนเจ้า หากเจ้ากระโดดออกจากวงกลม เช่นนั้นข้าจะประลองกับใคร? อย่ามาทำเหมือนกับว่าข้าโง่!” ฮั่วเจิ้นเทียนคำรามอย่างโกรธเคือง
“ผู้อาวุโสฮั่วหรือว่าท่านกลัว?”
“ไร้สาระ!”
“หากว่าข้าแพ้ ท่านสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามที่ต้องการ ว่ายังไง? ผู้อาวุโสฮั่ว…. ท่านยอมรับได้หรือไม่!”
“เฮ้…. เจ้าพูดเองนะ ทำไมข้าจะยอมรับไม่ได้!”
“เช่นนั้นแสดงว่าผู้อาวุโสฮั่วต้องการประลองกับข้าแล้ว?”
“เดิมพันคือ!”
“ใครก็ตามที่ออกจากวงกลมก่อนเป็นฝ่ายแพ้ ผู้ชนะต้องยอมรับเงื่อนไขสามข้อของผู้แพ้ ผู้อาวุโสฮั่วท่านยอมรับได้หรือไม่?” เย่หวูเฉินอธิบายอย่างชัดเจน
“ตกลง! ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อเจ้าหนูอย่างเจ้าอยากตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าสมปรารถนา” ฮั่วเจิ้นเทียนตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด เขายกหมัดสองข้างขึ้นชี้ไปที่เย่หวูเฉิน วิชายุทธและพลังของเขาพึ่งพาการผันแปร หลังจากเคลื่อนพลังปราณทั่วร่าง กายของเขาก็เหมือนถูกเคลือบไว้ด้วยเกราะทองแดง เขามั่นใจอย่างมากว่าต่อให้เขายืนอยู่เฉยๆ เขาก็ไม่อาจแพ้เย่หวูเฉินได้ง่ายๆ
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกัน ผู้อาวุโสฮั่ว โปรดระวัง” มุมปากของเย่หวูเฉินยกยิ้มราวกับกบฎที่ก่อการได้สำเร็จ
และแล้วในหมู่ฝูงชนก็มีบางคนเริ่มขยับตัว หากแต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตะโกน เย่หวูเฉินก็กระโดดออกมาจากวงกลมแล้ว
ฮั่วเจิ้นเทียนมองอย่างฉงน จากนั้นชี้นิ้วไปที่เย่หวูเฉินแล้วหัวเราะลั่น “นั่นยังไง เจ้าหนูกระดูกอ่อนอย่างเจ้ามันก็แค่ขี้ขลาด ตอนนี้เจ้าแพ้แล้ว ดังนั้นมาหาข้าซะดีๆ….”
“ตอนนี้ข้าแพ้แล้ว เพราะฉะนั้นผู้อาวุโสฮั่วโปรดทำตามเงื่อนไขสามข้อของข้า” เย่หวูเฉินหัวเราะ
ฮั่วเจิ้นเทียนจ้องมองอยู่ชั่วขณะ เกือบพุ่งพรวดเข้าไปหา “เจ้าหนูสมองเจ้ากลับหรือยังไง ข้าเป็นคนชนะเดิมพัน เจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายยอมรับเงื่อนไขสามข้อของข้า!”
“ข้าคิดว่าท่านต้องฟังผิดแน่ๆ ผู้อาวุโสฮั่ว เมื่อครู่ข้าพูดว่า ‘ผู้ชนะต้องยอมรับเงื่อนไขสามข้อของผู้แพ้’ ตอนนี้ท่านคือผู้ชนะ และข้าคือผู้แพ้” เย่หวูเฉินหัวเราะอย่างสุภาพด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
ฮั่วเจิ้นเทียนเบิกตากว้าง ปากอ้าเป็นวงกลม เขาทึ้งศีรษะของตนเองอย่างรุนแรงแล้วเหลียวไปทางผู้ชม