“อาวุโสปฐพีก็มาด้วย เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว อาวุโสปฐพีกล่าวได้ถูกต้อง เมื่อสี่สุดยอดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ร่วมมือกัน ยังจะมีใครคู่ควรเป็นศัตรู!?” คนของสำนักจักรพรรดิใต้ตะโกนออกมาสุดเสียง ขณะเดียวกันก็ถอยออกไปโดยไม่ได้นัดหมาย ยากนักที่จะเห็นสี่สุดยอดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ลงมือ เวลานี้พวกเขาได้เห็นทั้งสี่ร่วมมือกันต่อสู้กับสตรีเทพพิโรธอย่างคาดไม่ถึง ย่อมจินตนาการได้ว่า ดรุณีน้อยผู้นี้แผ่ความกดดันน่ากลัวเพียงใด ถึงขนาดทำให้สี่สุดยอดร่วมมือกันโดยไม่ลังเล การต่อสู้นี้ ในพริบตาย่อมกลายเป็นหายนะจากคลื่นพลัง หากยืนอยู่ใกล้เกินไปย่อมบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักคือตายอย่างทารุณ และพวกเขาเชื่อว่าเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้จบลง สวนแห่งนี้และโดยรอบย่อมพังทลายไม่เหลือซาก
ฉุ่ยหยุนหลันไร้ความกดดันในใจ เขาพยักหน้าและยิ้มกล่าว “ข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุข เมื่อเผชิญหน้ากับการรุกราน ไหนเลยจะทนอยู่เฉยได้ วันนี้ขอให้ข้ากับท่านพ่อบุญธรรม อาวุโสเทียมฟ้า และอาวุโสปฐพี ได้ร่วมมือกันสักครั้ง เพราะหากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ย่อมไม่อาจหาโอกาสครั้งหน้าอีกครั้งแล้ว ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่!”
สี่บุคคลล้อมรอบทงซินไว้ตรงกลาง ใบหน้าทรนงของฉุ่ยหยุนหลัน และฉุ่ยเสวียนฟงยามนี้นิ่งสงบ ส่วนทงซินยืนอยู่อย่างนิ่งงัน ดวงตาแน่วนิ่งดุจความตาย ไร้เสียงใดเป็นเวลานานเนิ่น หลังจากอาวุโสเทียมฟ้าและปฐพีปรากฎกาย พลังกดดันก็ตกที่ร่างนาง ตอนนี้นางถูกยอดฝีมือขอบเขตเทวะสี่คนล็อคตรึงร่าง พลังกดดันนี้ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนใดสามารถจินตนาการได้ ในอดีตนางต่อสู้กับเทพทั้งสี่แห่งเทียนเฉินเพียงลำพัง รวมถึงประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ ผลสุดท้ายนางถูกจับตัว ทว่าตอนนั้นนางสู้กับเทวะขั้นต่ำห้าคน และเทวะขั้นกลางอีกหนึ่งคน แต่ตอนนี้นางกำลังเผชิญหน้ากับสามยอดฝีมือเทวะขั้นกลาง และหนึ่งยอดฝีมือเทวะขั้นสูง พลังโดยรวมถือว่าเป็นศัตรูแกร่งกล้าสำหรับนาง ชายชราผมขาวที่เรียกว่า ‘อาวุโสเทียมฟ้า’ มีพลังไม่ด้อยไปกว่าสามคนที่เหลือรวมกัน
ทั้งสี่คนหันหน้ามองกัน จากนั้นค่อยๆก้าวเข้าไป ขณะที่ทงซินยืนนิ่งใต้แรงกดดัน ผู้คนไม่อาจสัมผัสกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นจากนางได้ ทว่านางทำให้ยอดฝีมือเทวะผู้ทรนงทั้งสี่เลือกประสานการลงมือ ในร่างของดรุณีเยาว์วัยซ่อนความลับใดไว้ เหตุใดจึงได้มีพลังน่าสะพรึงถึงเพียงนี้ พวกเขาต้องสังหารนาง หรือไม่ก็พันธนาการนางไว้ด้วยโซ่ตรวนผนึกปีศาจ ไม่อย่างนั้น หากปล่อยศัตรูน่ากลัวให้หลุดรอดไปได้ นางย่อมกลายเป็นหายนะของสำนักจักรพรรดิใต้
“โปรดระวังกริชเล่มเล็กๆที่อยู่ในมือนาง สิ่งนั้นร้ายกาจกว่าทุกสิ่ง น่ากลัวยิ่งกว่าศาสตราชั้นเทพอย่างกระบี่ชางหมิง สามารถทำลายได้กระทั่งปราการหยกวารีของข้า” ฉุ่ยหยุนหลันกล่าวเตือนเสียงต่ำ
ทงซินกระชับมือขวาจับกริชเทพพิโรธไว้มั่น ยกขึ้นด้วยความเชื่องช้าสุดขีด แววตาแฝงความกังวลล้ำลึกมองยังทางที่เย่หวูเฉินอยู่ นางเข้าใจดีว่าไม่จำเป็นต้องเอาชนะสี่บุคคลผู้น่าหวาดหวั่น เพียงต้องไปหาเย่หวูเฉินและพาเขาออกไป
มือเล็กๆบอบบางตวัดในอากาศ กริชเทพพิโรธแหวกอากาศเกิดเสียงเสียด เป็นเสียงเปิดฉากการต่อสู้ระหว่างสี่สุดยอดแห่งสำนักจักรพรรดิใต้กับตัวนางเพียงลำพัง
ตูม!!
พื้นดินสั่นสะเทือน ถ้วยน้ำชาบนโต๊ะสั่นไหวและร่วงลงมาในที่สุด มันกระทบพื้นและแตกออก ภาพเขียนบนผนังยังร่วงลงมาด้วยแรงสะเทือนเช่นเดียวกัน บุรุษที่ยืนเฝ้าเย่หวูเฉินตื่นตระหนก ทว่าเขายังคงไม่เคลื่อนไหวราวตะปูที่ติดตรึงพื้น สายตาจ้องที่เย่หวูเฉินไม่ละวาง เย่หวูเฉินเปิดดวงตาขึ้นและพึมพำ “สี่คน….และคิดไม่ถึงว่าหนึ่งในนั้นจะมีพลังใกล้เคียงกับเหยียนเทียนเว่ย ทงซิน รักษาตัวเองไว้ให้ดี ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”
แม้ว่าเขาปรารถนาพันเท่าอยากออกไปหาทงซิน แต่ภายใต้สถานการณ์ยามนี้ เขามีแต่จะกลายเป็นภาระนาง แม้ว่าเขาอำพรางตัวไว้ หลอกสายตาของผู้คน แต่พลังของเขายามนี้เทียบเท่าขอบเขตสวรรค์ขั้นกลาง ด้วยการผสานพลังวายุแกร่งกล้าในร่าง จึงสามารถสร้างตัวตนของจักรพรรดิมารขึ้นมา ทว่าด้วยพลังยิ่งใหญ่ของสำนักจักรพรรดิใต้ เมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือเทวะอย่างฉุ่ยหยุนหลัน หากจะกล่าวว่าย่อยยับในหนึ่งกระบวนท่าย่อมไม่ใช่เกินจริง ตอนนี้ผู้จะช่วยทงซินได้มีเพียงตัวนางเองเท่านั้น
เขาเชื่อมั่นในตัวนาง นางจะต้องหลุดรอดจากสถานการณ์ยากลำบากได้อย่างปลอดภัย
แม้ว่ายอดฝีมือเทวะทั้งสี่ของสำนักจักรพรรดิใต้จะล้อมนางไว้ตรงกลางอย่างเรียบง่าย ทว่ามันกีดกั้นนางไว้สมบูรณ์แบบไม่ให้หนีออกไป หากทงซินคิดจะหลุดออกจากวงล้อม ก็มีเพียงวิธีเดียวคือเจาะการป้องกันของหนึ่งในพวกนั้น ในความสงบเงียบสุดท้ายนางก็เคลื่อนไหว สี่บุคคลแห่งสำนักจักรพรรดิใต้ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน ยอดฝีมือเทวะคนเดียวยืนนิ่งยังสะเทือนฟ้า และตอนนี้ยอดฝีมือเทวะสี่คนระเบิดคลื่นพลังดุจขุนเขาออกมาพร้อมกัน ความรู้สึกของเหล่ายอดฝีมือที่มุงอยู่ห่างออกไปกว่าร้อยเมตร ตอนนี้ในอกคล้ายถูกกระแทกหนักหน่วงจนแทบสลบไป
ทงซินสูญเสียการพลิกกายดุจประกายอัสนีดำด้วยถูกพลังหนักหน่วงกดทับไว้ เห็นได้ชัดว่านางถูกขัดขวาง อย่างไรก็ตาม ความเร็วของร่างเล็กๆนี้ยังคงน่าตกตะลึง พริบตาเดียวก็แทงกริชไปยังฉุ่ยเสวียนฟงที่อ่อนแอสุด เล็งตรงตำแหน่งจุดตาย ทว่าเพียงเคลื่อนกริชเทพพิโรธเข้าไปใกล้…. หยกวารีสามสายก็ก่อร่างขึ้นมาตรงหน้าแทบในขณะเดียวกัน นี่คือปราการหยกวารีที่ฉุ่ยหยุนหลันและฉุ่ยเสวียนฟงสร้างขึ้นพร้อมกัน กริชเทพพิโรธสามารถทำลายปราการหยกวารีของหนึ่งคนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น…. กริชเทพพิโรธของนางจึงเจาะปราการชั้นแรกและชั้นที่สอง จากนั้นกดลงบนม่านปราการชั้นที่สาม ระหว่างชั่วเวลาสั้นๆนั้น ไอปราณเย็นเยียบเบื้องหลังและเบื้องซ้ายก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ฉุ่ยหยุนหลันและฉุ่ยเสวียนฟงที่อยู่เบื้องหน้าเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นบุกแทน ปราการหยกวารีชั้นสุดท้ายระเบิดออก เศษชิ้นเล็กๆต้องสะท้อนแสงตะวัน ราวผลึกงามเต้นระบำอยู่ทั่วทิศ
ฉุ่ยหยุนหลันและฉุ่ยเสวียนฟงลงมือโดยพร้อมเพรียง จู่โจมล้อมร่างทงซินที่เสียจังหวะจากการระเบิดของหยกวารี ถูกศัตรูโจมตีจากทุกทิศ ดุจขุนเขาหนักหน่วงท่วมลงที่กาย นางตวัดมือขวาอย่างรุนแรง ส่งกริชเทพพิโรธออกไป บังคับให้อาวุโสปฐพีต้องใช้สองมือ และยังเป็นการเปิดโอกาส แสงสีเทาครอบคลุมทั่วร่างนางในยามนี้
อาวุโสเทียมฟ้าโบกพู่ไหมสร้างพลังหยกวารีป้องกันให้กับฉุ่ยเสวียนฟงและบุตรชาย พู่ไหมเข้าปะทะรัศมีสีดำจากฝ่ามือของทงซิน ในพริบตานั้น ไอปราณน่าหวาดหวั่นได้ทะลักจากร่าง ทำให้ภายในใจของพวกเขาปั่นป่วน อารมณ์ด้านลบพลันผุดขึ้นในทันที หัวใจเกิดคลื่นระลอก เพียงพริบตาที่พวกเขาเสียสมาธิ ข้างหูก็ได้ยินเสียงกระทบ ‘ปัง’ โดยมีร่างทงซินเป็นจุดศูนย์กลาง เป็นเสียงผสานระหว่างพลังทมิฬและพลังสีฟ้า เมื่อหายนะเฉียดผ่านหัวตัวเองไปแล้ว อาวุโสเทียมฟ้า อาวุโสปฐพี ฉุ่ยเสวียฟงบิดาและลูกชาย ก็บินขึ้นสู่ด้านบน หยัดยืนเหนือฟ้าทอดตาลงมา ทว่าพวกที่มุงอยู่ห่างนับร้อยเมตร ตอนนี้ตกตายไปรู้กี่คนแล้ว
ทงซินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตามองดูอย่างเงียบเชียบ ยกมือขวาขึ้นรับกริชเทพพิโรธที่บินออกจากมือ ที่ฝ่าเท้าไร้รอยร้าวใดๆ เพราะมีเพียงหลุมลึกรายล้อมตำแหน่งที่ยืนอยู่
จากสถานที่ไกล ยอดฝีมือของสำนักจักรพรรดิใต้ตะกายลุกจากพื้นในที่สุด พวกเขาไม่อาจเข้ามาพัวพันและไม่ยอมล่าถอย ทุกคนจดจ้องศึกระหว่างเทวะที่เพียงเริ่มต้นก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัว หัวใจตกตะลึงจนไม่รู้จะตะลึงเพิ่มยังไง
นี่คือพลังทำลายล้างของเทวะ เพียงการต่อสู้ไม่กี่กระบวนท่า พวกเขาก็รู้ซึ้งว่าอะไรคือพลังไร้ต้าน
“แข็งแกร่งกว่าที่ผู้ชราคนนี้คิดไว้เสียอีก ดูเหมือนการที่พวกเราสี่คนร่วมมือกันจะไม่ใช่การเกินเลยแล้ว” สีหน้าแย้มยิ้มของอาวุโสเทียมฟ้ายามนี้ไม่ปรากฎ แทนที่ด้วยความตื่นตัวระวังสูงสุด การที่พู่ไหมในมือแกว่งไหวอย่างไม่รู้ตัว แสดงให้เห็นว่าหัวใจสงบนิ่งดุจแผ่นน้ำยามนี้กระเพื่อมไหวเพียงใด
“เฮอะ งั้นก็ดี ไม่จำเป็นต้องยั้งมือแล้ว หมู่ตึกขุนเขาแห่งนี้คือที่ตั้งอันบรรพชนสำนักจักรพรรดิใต้ช่วยกันสร้างมา หากต้องถูกทำลายลงเพราะพวกเรา เมื่อตายไปแล้วย่อมไม่มีหน้าไปพบบรรพชน การต่อสู้นี้จะต้องตัดสินโดยเร็ว แม้ว่านางจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อพวกเราสี่คนร่วมมือกัน การเอาชนะนางย่อมไม่ใช่เรื่องยาก” อาวุโสปฐพีบิดข้อมือ สีหน้ายังคงภาคภูมิ
ทั้งสี่หันมามองกันและพยักหน้า เป็นอันเข้าใจรับรู้อยู่ข้างใน ทั่วร่างโคจรพลังหยกวารีออกเต็มที่ โจมตีเข้าใส่ทงซินจากทุกทิศทาง
ห้องหนังสือของประมุขสำนักที่เย่หวูเฉินอยู่นั้น ตั้งอยู่ห่างวงล้อมของศัตรู แม้ว่าการปะทะครั้งแรกของพวกเขาจะรุนแรง แต่ที่นี่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทว่าเมื่อพื้นดินไหวสะเทือนอีกครั้ง หลังคาและพื้นเริ่มปรากฎรอยแยกพร้อมถล่มลง เขาแหงนศีรษะขึ้นมอง มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย กล่าวกับบุรุษที่เฝ้าอยู่ “ข้างนอกนั่นมีอะไรเกิดขึ้น ท่านไม่คิดจะออกไปดูหน่อยหรือ?”
บุรุษผู้นั้นทำเป็นหูดับและไม่ตอบคำ ไม่เคลื่อนไหวตามใจชอบของตัวเอง เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้นอย่างจนใจ ครุ่นคิดในใจขณะมองไปยังทิศที่ทงซินอยู่ “เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้พวกมันได้ตกตะลึงสาหัส ผลลัพธ์ย่อมดีกว่าข้ามาที่นี่คนเดียว มาเถอะทงซิน สู้เขา เจ้าคือเทพแท้จริง ไหนเลยจะพ่ายแพ้ต่อมนุษย์พวกนี้ได้ ให้พวกมันรู้บ้างว่าอะไรคือเทพ”
ย้าก….
ฟู่ม….
ตูม!!
บรึ้ม
เสียงปะทะดังเลื่อนลั่น อากาศบิดผัน แผ่นดินสั่นสะเทือน สี่ยอดฝีมือเทวะใช้พลังหยกวารีสูงสุดเพื่อหนึ่งเป้าหมาย ด้วยสนามพลังแกร่งกล้าที่ควบกลั่น แขนของพวกเขาจึงกลายเป็นหยกวารีสีน้ำเงิน นี่คือทักษะเฉพาะของเมื่อบรรลุถึงระดับเทวะ ที่สามารถเปลี่ยนส่วนใดๆของร่างให้กลายเป็นหยกวารี ราวกับถือศาสตราไร้ด้ามที่ไม่อาจทำลาย และมันสามารถต้านทานศาตราระดับเทพได้ทุกชนิด