เหยียนเจิ้งยังคงมีสีหน้าเหมือนเมื่อครู่ ยังไม่ทันตกใจหรือกล่าวคำสุดท้ายออกมา ร่างของเขาก็ค่อยๆร่วงลง….หากไม่ได้ล้มไปข้างหน้าหรือด้านหลัง ตั้งแต่ศีรษะจรดหว่างขาแยกออกเป็นสองซีกเท่าๆกัน จากนั้นร่วงพับลงกับพื้น
อากาศพลันอบอวลด้วยกลิ่นคาวโลหิต ทุกคู่สายตาที่กลมกว้างอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างขึ้น ตกตะลึงสุดขั้วไม่อาจระงับใจ
เล่งหยาอยู่ห่างจากเหยียนเจิ้งหลายสิบเมตร…. ระยะทางนี้หากเป็นกระบี่ธรรมดาย่อมไม่อาจทำร้ายเหยียนเจิ้งใดๆ ทว่าเล่งหยาเพียงตวัดมือธรรมดา เหยียนเจิ้งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรกลับถูกผ่าครึ่งซีกในทันที ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ พลังตัดของกระบี่คร่าสายลมที่รุนแรงและรวดเร็วยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเหยียนเจิ้งมีร่างแยกออกจากกันพวกเขาก็คงยังไม่รู้ตัว นี่ย่อมหมายความว่า หากเล่งหยาตวัดกระบี่เล่มนี้ใส่พวกเขา พวกเขาย่อมไม่อาจกระทั่งจะรู้ตัว อย่าว่าแต่การหลีกเลี่ยงเลย
ฉู่จิงเทียนตกตะลึง เหยียนกงลั่วตกใจ เหยียนกงรั่วแตกตื่น เหยียนซีหมิงตะลึงค้าง…. เหล่ายอดฝีมือระดับสูงสุดเริ่มไม่เชื่อสายตาตนเอง
สิ่งนี้….คือเนตรปีศาจสังหารโลหิตอันน่าหวาดหวั่น? เมื่อใดที่มันบังเกิดขึ้น ย่อมหมายถึงปีศาจแกร่งกร้าวที่ยากจะรับมือ
“หนึ่ง….เส้น….สวรรค์….” เล่งหยามองไปเบื้องหน้า เอ่ยปากสามคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ทันทีที่เนตรปีศาจสังหารโลหิตถูกเปิดขึ้นมา กระบวนท่าสังหารก็พลันประทับในจิตใจ เมื่อใช้ออกก็พลันสังหารหัวหน้าฝ่ายศิษย์อาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือให้ตกตาย ทั้งที่นั่นคือสุดยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์
เหยียนเจิ้งเอาชนะเขาด้วยหนึ่งกระบวนท่า และเขาโถมโทสะเข้าประหารในหนึ่งกระบี่ ชำระความอับอายที่พ่ายแพ้จนหมดสิ้น
แสงโลหิตในดวงตาเริ่มอ่อนประกายลง ดวงตาสีโลหิตค่อยๆจางลงช้าๆ จิตสังหารในอากาศยังเริ่มสลายไปตามลม เล่งหยาค่อยๆปิดตาและล้มลงต่อหน้าทุกคน บุคคลที่บีบคั้นให้เขาเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิตได้ตายไปแล้ว จิตสังหารจึงไม่เหลืออีกต่อไป เขาถูกเหยียนเจิ้งทำร้ายสาหัสและร่วงจากผาดาวตก กระแทกสู่ผิวทะเลสาบดาวตก เมื่อใช้กระบวนท่า “หนึ่งเส้นสวรรค์” ที่ยอดฝีมือแห่งโลกต้องตะลึง พลังของเขาก็หมดลง และตอนนี้ยังไร้เป้าหมายให้เข่นฆ่า เขาจึงร่วงล้มราวกับท่อนไม้
“เจ้าหน้าน้ำแข็ง!”
ฉู่จิงเทียนวิ่งเข้ามา ตะโกนกระวนกระวาย เมื่อเอามือจับร่างเขย่าดูก็สัมผัสถึงความเย็นเยียบ เล่งหยาลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแอ ดวงตาตอนนี้ไม่ได้เป็นสีโลหิต หากเป็นดวงตาอย่างคนธรรมดา และตอนนี้เลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัด
แม้ว่าเขาจะร่วงล้มไปแล้ว แต่ผู้คนยังมองเขาไม่ละสายตา นี่คือบุคคลที่ไม่อาจกระตุ้นโทสะ เพราะหากบีบคั้นให้เขาเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิตขึ้นมา นั่นเท่ากับว่าแส่หาเทพแห่งความตาย….เขาเพียงเปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิตและเหวี่ยงกระบี่ธรรมดา ทว่านั่นกลับเป็นหนึ่งกระบี่ที่สะเทือนฟ้าไร้บรรยาย หากไม่นับเทพทั้งสี่ ในทวีปเทียนเฉินยังจะมีผู้ใดกล้าบอกว่าสามารถสังหารยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ ทว่านี่กลับเกิดขึ้นด้วยฝีมือของชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปีต้นๆ
ท้องฟ้าไพศาล เมฆขาวเคลื่อนคลุม นอกจากนั้นยังไร้เสียงใด สำหรับยอดฝีมือเหล่านี้ กระทั่งเสียงแมลงวันกระพือปีกยังไม่อาจหลุดรอดสัมผัส ทว่าไม่มีผู้ใดรู้ตัวเลยว่า เหนือท้องฟ้ามีบุคคลลอยนิ่งอยู่ร่างหนึ่ง คอยมองเหตุการณ์เบื้องล่างอย่างสงบ หน้ากากเงินและชุดสีเงินต้องแสงวับเลือนลางด้วยเมฆบัง ราวกับว่าเขายืนอยู่บนยอดเมฆ ทอดตามองเบื้องล่างราวกับจักรพรรดิ
“หนึ่งเส้นสวรรค์” เขาทวนคำซ้ำที่เล่งหยากล่าว ใบหน้าหลังหน้ากากแสดงรอยยิ้มบาง
ฉู่จิงเทียนดึงเล่งหยาขึ้น เหยียนกงลั่วก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาถามอย่างกระวนกระวาย “ท่านไม่เป็นไรนะ?”
“ไม่เป็นไร” เล่งหยาตอบราบเรียบ น้ำเสียงอ่อนแอหากยังคงเย็นเยียบ
“เขาได้รับบาดเจ็บหนักจากเหยียนเจิ้ง ก่อนอื่นอย่าพึ่งขยับเขาวู่วาม เดี๋ยวจะมีคนช่วยมาช่วยรักษาให้” เหยียนเทียนเว่ยกล่าว
ฉู่จิงเทียนพยักหน้าหนักและพยุงเล่งหยาไปนั่งพิงผนังหิน เขาถาม “เจ้าหน้าน้ำแข็ง ตาของเจ้านี่มันยังไงกัน เหตุใดท่านย่าซ่งหัวถึงเรียกมันว่าเนตรปีศาจสังหารโลหิต?
“เพราะข้าอยากฆ่าคน” เล่งหยาตอบกลับเย็นชา จากนั้นปิดตาลงและไม่ขยับอีก
ทุกสายตาเคลื่อนไปตามเล่งหยา ทุกการกระทำล้วนดึงดูดความสนใจของผู้คน เหยียนเจิ้งสุดท้ายก็ยังตกตาย หากไม่ใช่ตายด้วยน้ำมือของฉู่จิงเทียน แต่เป็นเล่งหยาที่ร่วงจากผาดาวตก ฝ่ายนั้นเพียงใช้กระบี่เล่มเดียว แต่สามอาวุโสแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือกลับเหมือนถูกกั้นด้วยปราการแหลมคม พวกเขาได้แต่กัดฟันมองดูอย่างเจ็บใจไม่อาจช่วยได้ พวกตนคือพยานและผู้คุมงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉิน ดังนั้นจึงไม่อาจทำลายกฎลงด้วยตัวเอง ทำได้เพียงยอมรับความจริงที่ไม่อยากยอมรับ
ในอดีตงานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินที่ผ่านมา สำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือที่สลับกันคุมงาน ไม่เคยต้องประสบเหตุการณ์ถูกสังหารมาก่อน เพราะไม่มีผู้ใดกล้ายั่วโทสะของสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ แต่เหยียนเจิ้งเมื่อครู่ได้กระทำหยาบช้าลงไป และสองสุดยอดพรสวรรค์สะเทือนฟ้าได้ปรากฎตัวและทำลาย “กฎ” ของการประลองนี้ลงสิ้น
สามอาวุโสกำหมัดแน่นจนมีเสียงนิ้วลั่น สีหน้าไม่อาจรักษาความสงบ ข่มกลั้นตนเองไม่ให้พุ่งออกไปเผชิญหน้า เหยียนซีหมิงไม่ได้มองร่างของเหยียนเจิ้งอีก ทั้งยังไม่สั่งการให้คนเก็บศพเขากลับมา….ในครั้งนี้ สำนักจักรพรรดิเหนือเพียงส่งเขากับศิษย์อาวุโสสี่คนให้มายังที่นี่ โดยไม่มีคนใดอีก
“พวกท่านทราบหรือไม่ว่าคนกลุ่มนี้มาจากไหน?” เหยียนซีหมิงส่งสายตาไปทางกลุ่มของเหยียนเทียนเว่ยที่มาพร้อมกับฉู่จิงเทียนและเล่งหยา เขาลดเสียงต่ำขณะถาม ไม่อาจอดห้ามความสงสัยที่อยู่ในใจ….เหล่าคนไม่ทราบที่มากลุ่มนี้ หรือจะเป็นไปได้ว่ามีพลังสะเทือนฟ้าเช่นเดียวกับฉู่จิงเทียนและเล่งหยา
สามศิษย์อาวุโสสั่นศีรษะตามกัน ไร้ข้อมูลใดๆของคนพวกนี้ และนั่นยิ่งทำให้เหยียนซีหมิงขมวดคิ้วมุ่นขึ้นกว่าเดิม
เหยียนเจิ้งตาย เท่ากับสำนักจักรพรรดิเหนือของเขาถูกหยามหน้า และด้วยเล่งหยาถอนตัวออกไปจึงไม่มีผู้ใดท้าประลองต่อ เหยียนซีหมิงสูดหายใจกล่าวคำ “จดจำคนเหล่านี้ไว้ให้ดี….งานชุมนุมยุทธเวทย์แห่งเทียนเฉินครั้งนี้กลับน่าสนใจยิ่งนัก ข้าไม่คิดเลยว่าสำนักจักรพรรดิเหนือจะถูกโจมตีหนักหน่วงเพียงนี้ได้….ที่พวกเราเสียหน้าในวันนี้ ข้าจะกู้กลับคืนมาเอง!”
จากนั้น เขาลิ่วร่างเหินทะยานออกไป พลิกร่างสง่างามอยู่กลางอากาศ ราวกับขนนกที่ร่อนลงกลางสนามอย่างแผ่วเบา เขาปราดตามองไปรอบๆอย่างเย็นใจ ชายเสื้อขาวหิมะพริ้วไหว ใบหน้ายิ้มบางแม้จะหมองเล็กน้อย ผู้คนหันมองด้วยความพอใจ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมบุรุษผู้นี้
ไม่ไกลจากจุดที่เหยียนซีหมิงยืนอยู่ คือเหยียนเจิ้งที่ถูกผ่าร่างสองซีกด้วยรอยแผลที่ราบเรียบ เขาไม่ชายตามองและกล่าวอย่างสุภาพ “อาวุโสเหยียนเจิ้งพลาดพลั้งตกตาย ถึงแม้พวกเราจะเศร้าโศก แต่อย่างไรก็เป็นเขาที่ลงมือหนักก่อน ได้รับผลร้ายที่ตนหว่านไว้ พวกเราจึงไม่อาจกล่าวคำ ไม่อาจอาฆาตหรือเกลียดชัง ผู้น้อยเหยียนซีหมิงแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ วันนี้ได้มาเห็นยอดฝีมือเหนือชั้นของโลกหล้า รู้สึกราวกับตนเป็นกบก้นบ่อที่แหงนมองฟ้า หัวใจถูกกระตุ้นไม่อาจสงบลง จึงออกมาเพื่อขอคำชี้แนะจากเหล่าสหายยอดยุทธผู้กล้าทั้งหลาย”
ชื่อของเหยียนซีหมิงมิใคร่เป็นที่รู้จัก ผู้ที่เคยเห็นเขามีอยู่น้อยยิ่ง หลายคนไม่รู้ว่าเขาคือนายน้อยแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ คำเรียกแทนตัวว่าผู้น้อยทำให้ผู้คนประทับใจ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าประมาทเขาเพียงจากลักษณะภายนอก เขาหันกายและมองไปทางฉู่จิงเทียน ใบหน้ายิ้มแย้มและกล่าว “น้องชายท่านนี้ ผู้น้อยเพิ่งประจักษ์ถึงความยอดเยี่ยมแห่งการคุมกระบี่ วิถีกระบี่ของท่านกล่าวได้ว่าชีวิตนี้ข้าเพิ่งเคยพบเจอ ผู้อาวุโสเหยียนเจิ้งพ่ายแพ้ในมือท่านนับว่าไม่น่าแปลกใจ ไม่ทราบท่านพอจะช่วยชี้แนะผู้น้อยได้หรือไม่”
ฉู่จิงเทียนกำลังจะกล่าวตอบ หากพลันพบว่าเหยียนกงลั่วขยับร่างมาบังหน้าเขา เหยียนกงลั่วเลิกคิ้วกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เหยียนซีหมิง? อืม….ข้าเคยคิดว่า ‘สำนักจักรพรรดิเหนือ’ ของเจ้าจะเข้มแข็งเพียงใด วันนี้พอได้เห็นกลับธรรมดา อาวุโสใหญ่ของเจ้ายังไม่อาจเป็นคู่มือของพี่ฉู่ข้า ดังนั้น สำหรับเจ้า….เฮอะ ให้ข้าดูก่อนว่าเจ้าคู่ควรเป็นคู่มือของพี่ฉู่หรือไม่!!”
พอสิ้นเสียงเขาก็ลิ่วร่างเข้ามา เหินลงอยู่ตรงหน้าเหยียนซีหมิงไม่ห่าง แค่นเสียงมองหยันอย่างไม่ปิดบัง
ฉู่จิงเทียนเอาชนะเหยียนเจิ้ง จากนั้นเล่งหยาเป็นฝ่ายสังหารด้วยตนเอง แม้สำนักจักรพรรดิเหนือจะหน้าชา แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะพูด ทว่าเหยียนกงลั่วกลับเหยียดหยันอย่างชัดเจน สามอาวุโสหน้าเปลี่ยนสีทันที เหยียนซีหมิงสีหน้ายังทะมึนคล้ำ กล้าเย้ยหยันสำนักจักรพรรดิเหนือเช่นนี้ นอกจากคนบ้าก็มีแต่คนที่อยากตาย!
“ดูเหมือนเจ้าจะปากดีเกินไป” เหยียนซีหมิงแลหางตาแทบไม่ใส่ใจ
“ปากดีหรือไม่เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” เหยียนกงลั่วแค่นเสียงตอบ ฝ่ามือค่อยๆยกขึ้น
“เช่นนั้นก็บอกนามยิ่งใหญ่ของเจ้ามา”
“เซี๋ยกงลั่ว!” เหยียนกงลั่วตอบเสียงบาง
เซี๋ย? ทวีปเทียนเฉินกลับมีผู้ใช้แซ่ซึ่งแปลว่า “มาร” อยู่ด้วย? ผู้คนเริ่มเกิดความสงสัยตามๆกัน มองสองบุคคลด้วยความสนใจยิ่ง นี่คือสองรุ่นเยาว์! หนึ่งคือคนของสำนักจักรพรรดิเหนือ แม้ว่าจะยังหนุ่มแน่น แต่ย่อมมีพลังไม่ธรรมดา หากบอกว่าเขาบรรลุขอบเขตสวรรค์ด้วยวัยนี้ผู้คนจะไม่แปลกใจ ทว่าอีกคนที่ชื่อ “เซี๋ยกงลั่ว” กลับกล้าท้าทายต่อหน้าสำนักจักรพรรดิเหนือ หรือเขาจะยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับสองคนก่อนหน้า ที่มีพลังน่าอัศจรรย์?
กลุ่มพวกเขาที่มาด้วยกัน มีอาวุโสอยู่สามคน มีวัยกลางคนอยู่สอง และมีรุ่นเยาว์อยู่สี่คน ซึ่งสองคนในกลุ่มนั้น หนึ่งคือทายาทเทพกระบี่ ผู้เผยพลังแกร่งกล้าสร้างความตะลึงด้วยการคุมกระบี่ ทำให้ผู้คนไม่อาจอดคิดว่านี่คือ “ว่าที่เทพกระบี่” คนต่อไป ส่วนอีกคนเล่งหยาหลังจากเผยพลังขอบเขตสวรรค์อันเหลือเชื่อ ก็เปิดเนตรปีศาจสังหารโลหิตออกมา…. ดังนั้น พวกรุ่นเยาว์ที่ติดตามกันมาในกลุ่มนี้ อาจสร้างความตกตะลึงให้พวกเขาอีกครั้ง
และคำตอบนั้น กำลังรออยู่ต่อหน้าพวกเขา