📣 ถ้ามองไม่เห็นเนื้อหาหรือลิ้งก์โหลด pdf เราแนะนำให้เปลี่ยน browser ที่ใช้งาน/เปิด javascript ด้วยจ้า
🆕 ลิงก์โหลดนิยาย 4sh กับ gdrive ไม่ใช่ของเรา รีบโหลดกันนะ ถ้าลิงก์ตายไฟล์หายก็คือหาย ไม่มีสำรองจ้า

อ่านนิยาย Heavenly Star สวรรค์มวลดาว – เล่ม 4 ตอนที่ 241

บทที่ 241 - จอมราชันแห่งจักรพรรดิเหนือ
QR Code Facebook Twitter Telegram Pinterest

สีหน้าของเอ้อหยาพลันซีดขาว นางเดินมาหาแล้วกล่าวด้วยความกังวล “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเขา แต่ตอนนี้เจ้าพึ่งอายุได้เพียง 15 ปี ไหนเลยจะสามารถ….”

“ข้าไม่สนสิ่งใดแล้ว! ยังไงข้าก็ต้องทำ ท่านปู่ให้ข้าแต่งงานกับเขาได้ไหม? นะท่านปู่?” ซื่อหยารู้ดีว่าอุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดคือปู่ของนาง และตอนนี้ทุกการตัดสินใจตกอยู่ที่เขา ทว่าเพียงกล่าวคำออกไป นางกลับต้องพบว่าท่านปู่มีสีหน้าทะมึนอย่างน่ากลัว กระทั่งนางยังตะลึงค้าง บิดานางที่มักหัวเราะยังมีสีหน้าหม่นลง ทั่วทั้งร่างเย็นเยียบ

นางหวาดกลัวในทันที ไม่กล้าเอ่ยอีกแม้แต่ครึ่งคำ ตั้งแต่นางกล่าวคำนั้นออกมา บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปสิ้นเชิง มันกลายเป็นน่ากลัวอย่างยิ่ง

พ่อของซื่อหยาส่ายศีรษะและกล่าว “ท่านพ่อ เรื่องนี้ต้องตำหนิข้า ซื่อหยายังเยาว์เกินไปนัก มีหลายสิ่งที่ข้าไม่ได้สั่งสอนนาง”

สีหน้าของชายชรายังคงมืดทะมึน คิ้วชิดติดกันแน่น อารมณ์ที่เกิดขึ้นซับซ้อน ทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธเคือง เวลานี้ หนิงเสวี่ยดันรถเข็นของเย่หวูเฉินออกมา เย่หวูเฉินเอ่ยปากกล่าว “ท่านปู่มากับข้า ข้ามีบางอย่างจะกล่าวกับท่าน เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเรากลับ”

จากนั้น เขากลับเข้าไปในห้องกับหนิงเสวี่ย ก่อนหน้านี้ เขาจะกล่าวกับชายชราด้วยความเคารพ แต่ตอนนี้ ท่าทีของเขาราวกับออกคำสั่ง ชายชรายังคงมีอารมณ์พลุ่งพล่านไม่อาจสงบ เมื่อได้ยินคำพูดของเย่หวูเฉิน ชายชรารู้สึกสงสัยเล็กน้อย ทั้งเขาไม่ต้องการเห็นหน้าของซื่อหยาอีก จึงถอนใจยาวแล้วก้าวผ่านประตู

หลังจากที่ชายชราเดินไปแล้ว แรงกดดันบนตัวซื่อหยาก็คลายลงมาก นางถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพ่อ เหตุใดท่านปู่ถึงโกรธมากขนาดนี้ ข้าก็เพียงแค่ต้องการ….”

บิดานางส่ายศีรษะ เขาถอนหายใจเซื่องซึม “ซื่อหยา ไม่ว่าเจ้าจะล้อเล่นแค่ไหน ท่านปู่ก็ไม่เคยโกรธเจ้าจริงๆ แต่ว่าครั้งนี้….เฮ้อ เจ้ากระทำความผิดร้ายแรงลงไปแล้ว!”

“เอ๋?” ซื่อหยาอ้าปากค้างเล็กน้อย รู้สึกงุนงงและอับจน

เย่หวูเฉินและชายชราเข้าไปในห้องตามกัน เย่หวูเฉินหมุนรถเข็นหันมาด้วยความช่วยเหลือของหนิงเสวี่ย เขาเผชิญหน้ากับชายชรา ชายชราเอ่ยปากกล่าว “เรื่องนี้ข้าไม่โทษเจ้า ด้วยสภาพของเจ้าในตอนนี้กับซื่อหยา ย่อมสมควรเป็นเจ้าที่ถูกขืนใจ เพียงแต่ว่า เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก ดังนั้นบางสิ่งจึงไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าเห็น”

ชายชราคล้ายเป็นฟืนไฟขณะกล่าว เย่หวูเฉินไม่สนใจคุยเรื่องนี้กับเขาต่อ เขาเริ่มเล่าเรื่องของตัวเอง “ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ถึงแม้ยามนี้ข้าไม่ต่างอะไรไปจากคนพิการ แต่ทุกวันที่ข้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี่ ข้ามีความสุขสบายอย่างมาก ทุกคนทำให้ข้าได้เห็นถึงด้านบริสุทธิ์ดีงามของมนุษย์ ข้ารู้สึกขอบคุณพวกท่านทุกคน เช่นเดียวกับรถเข็นตัวนี้ที่ข้านั่งอยู่ หากแม้วันหนึ่งร่างกายของข้าหายดี เก้าอี้ตัวนี้ก็จะยังคงเป็นสิ่งของล้ำค่า ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าสงสัยเหลือเกินว่าโลกบริสุทธิ์แห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเหตุใดผู้ที่ร่วงหล่นจากหุบเหวปลิดวิญญาณ ถึงได้ถูกพลังลึกลับช่วยไว้และรอดชีวิตเช่นเดียวกับข้า….ท่านปู่ ท่านพอจะตอบคำถามของข้าได้หรือไม่?”

น้ำเสียงและท่วงท่าของเขามั่นคง ไร้วี่แววกระเพื่อมหวั่นไหวแม้แต่น้อย ความรู้สึกที่นำพาในยามนี้ ทำให้ชายชรารู้สึกว่าเขาต่างไปจากคนเก่าอย่างสิ้นเชิง ในใจรู้สึกสงสัย เขามุ่นคิ้วและกล่าว “ในอดีต ปู่ของข้าร่วงตกลงมาจากฟ้า พวกเขารอดตายเพราะถูกพลังลึกลับช่วยไว้ แต่แม้กระทั่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด”

“แต่ข้ารู้” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว

ชายชราดวงตาเป็นประกาย ฉายแววแห่งความสงสัย “เจ้ารู้?”

เย่หวูเฉินเล่นกับมือน้อยๆของหนิงเสวี่ย ลูบนิ้วของนางทีละนิ้ว เขากับชายชราจ้องหน้ากันนิ่ง “ตั้งแต่ข้ามาถึงที่นี่ ลึกๆในใจสงสัยเกี่ยวกับบางสิ่ง ทีละวันผ่านไปบางสิ่งนั้นเริ่มปรากฎภาพชัดเจน คำตอบของคำถามค่อยๆผุดขึ้นมา เมื่อวานนี้ ข้าจึงสรุปเรื่องราวหนึ่งได้”

“เมื่อนานมาแล้ว ทวีปเทียนเฉินมีตัวตนทรงพลังดำรงอยู่ การคงอยู่ของมันต่างเป็นที่รับรู้ของผู้คน พลังยิ่งใหญ่จนอาณาจักรยังก้มหัวลง อีกทั้งยังไม่กล้ายั่วยุ ด้วยพลังล้ำเลิศพวกเขาจึงไม่เคยถูกรังแก กระทั่งชาวโลกที่เลิศล้ำยังไม่กล้ากล้ำกราย พวกเขาแทบไม่เคยวุ่นวายเรื่องทางโลก เพราะการดำรงอยู่ของพวกตนมิใช่เพื่อเรื่องนั้น แต่เป็นการแบกรับภารกิจลึกลับที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ เพื่อตามหาบุคคลคนหนึ่ง เพื่อตามหาสิ่งของสิ่งหนึ่ง ก่อนที่จะพบบุคคลและของสิ่งนั้น พวกเขาจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก”

เย่หวูเฉินกระพริบตามองที่ชายชรา และพบว่าเขากำลังตกตะลึง

“แต่ทว่า พวกเขาตามหามาหลายศตวรรษ , หลายพันปี , หรือแม้กระทั่งหลายหมื่นปี พวกเขาก็ไม่เคยได้พบเบาะแสแม้แต่เพียงเสี้ยวเดียว พวกเขาเริ่มสงสัยว่าตำนานนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก หลายชั่วรุ่นผ่านไปพวกเขารู้สึกว่าถูกปั่นหัวลวงหลอกด้วยถ้อยคำเดิมๆ ดังนั้น ภายในกลุ่มก้อนอันยิ่งใหญ่จึงเริ่มเกิดความแตกแยก บางส่วนยังคงยึดมั่นกับภารกิจที่เป็นเหตุผลแห่งการดำรงอยู่ ทว่าส่วนใหญ่เริ่มเกิดความคิดไขว้เขว ต้องการใช้พลังเข้าปกครองโลกหล้า ด้วยฝ่ามือที่สามารถบดบังเมฆาและสายฝน ปรารถนากลายเป็นราชันผู้ครองโลกหล้าใต้ฟ้าปฐพี”

“ปรารถนาข้ามขั้วกับสิ่งที่สั่งสอนสืบทอดกันมาแต่โบราณ แม้ว่าส่วนใหญ่เตรียมพร้อมกระทำการทะยานอยาก แต่ยังคงมีส่วนหนึ่งที่ยังคงยืนหยัดทัดท้าน เมื่อความขัดแย้งดำเนินมาถึงจุดแตกหัก พวกเขาจึงเปิดศึกภายใน ทว่าความทะเยอทะยานเป็นสัญชาตญาณของคนส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงเหลือคนเพียงไม่มากที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ การยั่วยุให้เกิดศึกภายในคือก้าวแรกในการครองโลก เพราะไม่เคยกำจัดเหล่าคนทะยาน ดังนั้นพวกมันจึงแข็งแกร่ง พวกยึดมั่นอุดมการณ์ต่อสู้โดยไม่สังหารผู้ใด ขณะที่อีกฝ่ายถือกระบี่ฟาดฟันราวกับปีศาจ ทั้งสองฝั่งจึงไม่อาจเปรียบเทียบกันได้”

“บางทีพวกเขาต่อสู้กันยาวนาน บางทีอาจหนีหรือหลบซ่อนอยู่ห่างไกล เพื่อลดการปะทะและถูกเข่นฆ่า แต่แล้วก็มาถึงวันหนึ่ง ฝ่ายยึดมั่นถูกบีบคั้นให้ถอยร่นติดประชิดหุบเหวปลิดวิญญาณ เหน็ดเหนื่อยเหลือแสนกับการหลบหนี ในเวลานั้น พวกเขาถูกฆ่าล้างจนเหลือผู้คนเพียงหยิบมือ ด้วยความสิ้นหวัง และไม่ปรารถนาตกตายในมือของคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพวกพ้องเดียวกัน พวกเขากระโดดลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ เหตุการณ์นั้น สมควรผ่านมาเมื่อราวร้อยปีที่แล้ว”

ชายชราหัวคิ้วชิดกันแน่นขณะมองดูชายหนุ่มเล่า ‘เรื่องราว’ ในที่สุดเขาก็กล่าวแทรกขึ้นมา “ซื่อหยาบอกกับเจ้าหรือ?” จากนั้นเขาส่ายศีรษะกับตัวเอง “สมควรไม่ใช่นาง นางย่อมไม่รู้เรื่องนี้ เป็นซานหวาหรือเอ้อหยาที่บอกเจ้า?”

“ถึงแม้ทุกคนไม่คิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ และเรื่องราวทุกสิ่งไม่ถือเป็นความลับแต่อย่างใด แต่เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดบอกกับข้า เป็นข้าที่คาดเดาเอาเอง ในเมื่อท่านปู่ถามคำถามเช่นนี้ ย่อมแปลว่าข้าคาดเดาได้ไม่ผิด” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ออกเลยว่า ชายหนุ่มผู้นี้อาศัยสิ่งใดถึงคาดเดาเรื่องได้อย่างถูกต้อง

“ข้ากลับคิดว่าเรื่องราวต่อจากนี้ ท่านสมควรสนใจยิ่ง” เย่หวูเฉินเอ่ยขึ้นและเริ่มเล่าต่อ “เหล่าคนที่กระโดดลงจากหุบเหวปลิดวิญญาณ ล้วนแต่คิดว่าตนเองไม่รอดแน่ ทว่าระหว่างที่ร่วงหล่นลงมา กลับมีพลังพยุงร่างไว้อย่างน่าเหลือเชื่อ พวกเขาตกลงสู่บริเวณที่พวกเราอยู่กันตอนนี้ ไม่เพียงแค่พลังพยุง มันช่วยชะลอความเร็วให้อย่างมาก ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บใดๆ หลังจากที่ตื่นเต้นดีใจ พวกเขาก็พบว่าบริเวณโดยรอบถูกล้อมไว้ด้วยม่านพลังที่ไม่อาจทำลาย แต่ถึงแม้พวกเขาจะถูกขังอยู่ข้างใน พวกเขาที่พึ่งรอดจากความตายในใจจึงมีเพียงความยินดีเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าลิขิตฟ้าได้ปกป้องพวกตน ถึงจะถูกผนึกไว้โดยม่านพลัง พวกเขาก็ไม่เคยล้มเลิกภารกิจ และสืบทอดส่งต่อกันมาโดยไม่มีวันทรยศอีกครั้ง”

“ลิขิตฟ้านั้นเป็นที่สุด บางครั้งชะตาอาจมืดดำ แต่พวกเขาคิดได้ถูกต้อง เพราะความยึดมั่นและภักดี สิ่งนั้นจึงช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ สิ่งที่พวกเขาและพวกท่านต่างยึดมั่นแสวงหาไม่เคยทอดทิ้ง สิ่งนั้นก็คือ…คันศรบาปวิบัติที่สำนักจักรพรรดิเหนือของพวกท่านดำรงอยู่เพื่อตามหามัน!”

เย่หวูเฉินยื่นมือขวาออก แสงแดงโลหิตสว่างวาบออกจากหว่างคิ้ว กลิ่นอายน่าสะพรึงแผ่ทะลักพร้อมคันศรสีแดงก่ำปรากฎอยู่ในมือ “ในวันนั้น คันศรบาปวิบัติที่หลับใหลลึกอยู่ใต้หุบเหวปลิดวิญญาณ มันสัมผัสได้ถึงสายโลหิตแห่งจักรพรรดิเหนือ ดังนั้นมันจึงใช้พลังของตัวมันรองรับผู้คนที่ร่วงหล่นลงมา แม้ไม่ใช่ผู้ที่มีสายโลหิตบริสุทธิ์แห่งจักรพรรดิเหนือ ทุกคนต่างถูกผนึกอยู่ด้วยกันภายใต้ม่านพลัง”

ร่างของชายชราแข็งทื่อ สายตาจับจ้องคันศรแดงก่ำในมือเย่หวูเฉินอย่างโง่งม เขายื่นมือสั่นเทาสองข้างออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ขยับสองมือเข้าใกล้เล็กน้อย ดวงตาชราสองข้างพร่ามัวด้วยน้ำตา ต่อให้เขาไม่รู้ลักษณะทั้งหมดของมัน แต่เขาสามารถบอกได้ทันทีว่านี่คือคันศรบาปวิบัติที่ไม่รู้บรรพบุรุษตามหามากี่ชั่วรุ่น โครงร่างของมันราวกับตราประทับที่ฝังลึกอยู่ในวิญญาณ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนภายนอกรู้จักมัน แต่ด้วยบันทึกวงศ์วานที่ระบุว่ามันมีกลิ่นอายสังหารโลหิต , ด้วยโครงร่าง , ด้วยกลิ่นอาย , ด้วยวิธีที่มันปรากฎ…. เขาไม่จำเป็นต้องสงสัยสิ่งใดอีก

ไม่มีผู้ใดทราบว่าสำนักจักรพรรดิเหนือดำรงมานานเท่าไหร่ และไม่ว่ากี่รุ่นก็ไม่อาจตามหาร่องรอยของมันพบได้ ยามนี้มันกลับปรากฎอยู่ต่อหน้าสายตา หัวใจตื่นเต้นยิ่งกว่าที่เคยรู้สึกมาตลอดครึ่งค่อนชีวิตรวมกัน ถึงน้ำตาจะหลั่งไหล แต่เขายังไม่สิ้นไร้เหตุผล เขาปาดน้ำตาทันทีแล้วล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ดึงหยกที่ไม่เคยห่างกายออกมา เป็นหยกโค้งขนาดหนึ่งฝ่ามือ เมื่อหยกออกมาอยู่ต่อหน้าคันศรบาปวิบัติได้ครู่หนึ่ง หยกแดงพลันเปล่งแสงสว่างจ้าทันที

ในหยกจักรพรรดิเหนือชิ้นนี้ มีโลหิตบริสุทธิ์สูงสุดของจักรพรรดิเหนือซึมซ่านอยู่ เป็นสัญลักษณ์ของประมุขสำนักจักรพรรดิเหนือแต่ละรุ่น สามารถพ้องประสานกับคันศรเป่ยตี้ แสงแดงสว่างแจ้ง ลบล้างความสงสัยจนไร้สิ้น เขาเก็บหยกกลับมาและกระแทกเข่าลงกับพื้น โขกหัวด้วยความตื่นเต้นไร้ที่เทียบ “ประมุขแห่งสำนักจักรพรรดิเหนือ เหยียนเทียนเว่ย ขอคารวะต่อจอมราชัน!”

เขากดศีรษะตัวเองลงต่ำ ร่างกายยังสั่นสะท้านหนักหน่วง ไม่อาจสงบอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในเวลานี้ได้

หนิงเสวี่ยตกใจอยู่ชั่วขณะ เร่งรีบหมายเข้าไปประคองเขาขึ้นมา ทว่านางถูกเย่หวูเฉินหยุดไว้ เขายิ้มและเอ่ยถาม “ท่านปู่ ข้าเป็นเพียงคนพิการผู้หนึ่ง ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะหักคอไก่ ท่านยังนับถือข้าเป็นจอมราชันอีกหรือ?”

Facebook Twitter Telegram Pinterest
Heavenly Star สวรรค์มวลดาว (จบ)
Score 9.2
สถานะนิยาย: Completed ประเภท: , ผู้แต่ง: ,
เด็กหนุ่มลึกลับผู้ลืมเลือนอดีต ตื่นขึ้นมาในทวีปเทียนเฉิน ถูกเข้าใจว่าเป็นบุตรชายตระกูลเย่ เขาจึงใช้สถานะนี้เฝ้าสังเกตโลกอันยุ่งเหยิง รวมทั้งสืบหาอดีตของตน หากแต่โชคชะตาที่ต้องประสบกลับมีเพียงความน่าหวั่นสะพรึง เขาจึงหัวเราะเยาะโชคชะตา และเผยพลังสะท้านแดนดินใต้ผืนสวรรค์.. (อ่านเพิ่มเติม »)

Comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Options (ตั้งค่าการอ่านนิยาย)

not work with dark mode
Reset