เย่หวูเฉินเห็นนางนิ่งไปไม่ขยับอยู่ครู่ใหญ่ เขาชำเลืองมองและยิ้มบาง “แม่สาวน้อย เจ้าปรนนิบัติบุรุษไม่เป็นละสิท่า?”
“ข้า….ข้าทำเป็น!” ซื่อหยาได้ยินคำก็ลอบขบฟัน นางก้มลงไปยังส่วนล่างของร่างกาย เย่หวูเฉินอ้าปากกว้าง ตกใจเพราะถูกกัดตรงจุดสำคัญ
“อ๊าก! เฮ้….เจ้าทำอะไร?!” เย่หวูเฉินร่างเย็นเยียบด้วยถูกจู่โจมกะทันหัน….แน่นอนไม่ใช่หนาวเหน็บเพราะลมเย็น แต่เขาถูกกัดรุนแรงจนแทบจะขาด ซื่อหยาตกใจเพราะเสียงร้องเจ็บปวดของเขา นางคลายออกและกล่าวเสียงเบา “ข้าเคยถามแม่ของข้า แม่ข้าบอกว่าต้องทำให้เปียกโดยใช้ปากก่อน จากนั้น….ถึงจะ….”
เย่หวูเฉินเหงื่อร่วงกราว เขาแทบตะโกนคำราม “อย่าขยับ!!”
ซื่อหยาชะงักงันด้วยตกใจเสียงตวาด ทั้งสองต่างนิ่งไม่ขยับ นางพลันนึกได้ถึงบางสิ่ง เวลานี้นางขยับสองขาของตนออก เท้าสองข้างขนาบร่างของเย่หวูเฉิน คุกเข่าคร่อมลงบนร่างกาย ขยับร่างเลื่อนลงเล็กน้อย ส่วนล่างของร่างกายไร้อาภรณ์ปิดบัง เสื้อหยาบกร้านถูกเลิกขึ้นไม่ทราบว่าเจตนาหรือไม่ ขาเปลือยเปล่าขาวประดุจหิมะเผยออกมาเกือบทั้งหมด เข่าโค้งเห็นเส้นเลือดจางๆ เรียวขาสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ไม่มีล้นหรือเกินเลย บั้นท้ายหิมะกลมเต็ม ทุกส่วนประกอบกันได้ลงตัว ตอนนี้ตำแหน่งที่สายตาของเย่หวูเฉินมองอยู่ คือจุดเร้นลับของหญิงสาวที่ไร้สิ่งบดบัง แผ่กลิ่นอายประหลาดของหญิงสาวอย่างเจือจาง เขาเริ่มรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนั้นเริ่มขยายตัว
เย่หวูเฉินถอนหายใจยาว มองหญิงสาวที่ใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่านางจะแข็งกระด้างไปบ้าง แต่สถานการณ์ยามนี้ต้องเดินหน้าต่อให้จบ เย่หวูเฉินกลับเป็นปรกติ เขากล่าวเรียบเรื่อย “แม่สาวน้อย ในเมื่อเจ้าต้องการ….เช่นนั้น จงทำแบบเมื่อกี้อีกที แต่จงจำไว้ว่าอย่าให้สัมผัสถูกฟันของเจ้า”
ซื่อหยาไม่ส่งเสียง นางไร้ซึ่งความลังเล ขยับร่างลงและกดหน้าจม ราวสุนัขน้อยๆตัวสีขาว ทำสิ่งที่หญิงสาวธรรมดาต้องอับอายจนแทบอยากตาย
ความรู้สึกเปียกนุ่มทำให้เย่หวูเฉินรู้สึกผ่อนคลาย บางทีก็ร่างกระตุก เขาปรับลมหายใจ แนะนำด้วยเสียงฟังชัด ในเมื่อไม่อาจขัดขืน เช่นนั้นก็ปล่อยให้ไหลตามเลย เสพสมอารมณ์หมายอันทำให้ชายชาตรีอายุสั้นลง
ซื่อหยาไม่เพียงมีขาที่ยาวทรนง แต่นางยังมีพรสวรรค์ในบางสิ่ง นางฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้ไม่เข้าใจแต่นางก็สู้ไม่ถอย เย่หวูเฉินสัมผัสสบายกับการปรนนิบัติของนาง เขาพิงร่างกับต้นไม้ ยื่นมือออกสัมผัสกับอกนุ่มนิ่ม ร่างกายของนางสั่นเทิ้ม กลืนน้ำลายในปากและส่งเสียงคราง
สิ่งใดจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด ซื่อหยาทำตามเย่หวูเฉินสั่งและประคองกายเขา ให้เขาดูดด่ำเกาลัดแดงด้วยริมฝีปาก นางหลับตาพริ้มย่นคิ้วร่างสะท้านไม่อาจทานทน นางยวบกายนั่งลงโดยไม่ทันระวัง มันจมเข้าไปจนมิด นางร้องครางด้วยความเจ็บปวด นางกอดคอเขาอยู่ครู่หนึ่งไม่กล้าขยับตัว ร่างกายแนบแน่นสั่นเทาด้วยความกลัว จากนั้นนางเคลื่อนใบหน้าออก น้ำตาไหลรินและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ ข้าแต่งกับท่านได้แล้ว”
ยามนี้เสื้อที่เลิกขึ้นถูกเปลื้องออก ร่างกายของนางเปลือยเปล่า ผมยาวดำประลงบนอกเขา ร่างกายสมบูรณ์แบบสะท้อนแสงของหยดเหงื่อ
เย่หวูเฉินมองยังนัยน์ตานาง เขากระซิบกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลยจริงๆ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซื่อหยาเริ่มขยับ ร่างกายไหมนุ่มประกบติดกับเขาอย่างเอาแต่ใจ ขาเรียวยาวกระหวัดรัดเอว เท้าเปล่าเปลือยนวดเอวและสะโพก ผิวเนียนนุ่มเบียดสัมผัสเหมือนผงไข่มุก เพียงสัมผัสลื่นละมุน เย่หวูเฉินก็แทบไม่อาจควบคุมตัวเอง….หากไม่ใช่เพราะไร้เรี่ยวแรง เขาคงหลุดการควบคุมไปแล้ว
การเคลื่อนไหวยามแรกของซื่อหยาดูงุ่มง่าม ทว่าหลังจากนั้นนางเริ่มควบขย่มอย่างชำนาญ ด้วยการเคลื่อนขยับที่ร้อนแรง อกกลมกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเผ็ดร้อน สองเม็ดเชอร์รี่แดงสั่นไหวในอากาศ เช่นเดียวกับครั้งแรกของหญิงสาวมากมาย ด้วยจิตใต้สำนึก นางกอดรัดร่างของเย่หวูเฉินและขีดข่วน ทิ้งรอยข่วนแดงไว้มากมาย
ทั้งสองไม่พูดจา ด้วยการปะทะหนักหน่วง ร่างกายสะท้าน หยดน้ำกระจาย กลิ่นเข้มข้นฟุ้งทั่วบริเวณ ซื่อหยาค่อยๆเงยหน้าเกร็งลำคอขาว ปากอ้าลมหายใจกระตุก ปลดปล่อยเสียงครางและสีหน้าเบิกบาน บางครั้งร่างของนางจะสั่นและบิดกระตุกจนคาดไม่ถึง เม็ดเหงื่อผุดไหลไม่หยุด ไหลย้อยตามกายและหยดลงบนร่างของเขา
“มารเสน่ห์น้อยนี่จะทำให้บุรุษตกตายก่อนวัยอันควร” เย่หวูเฉินหอบหายใจหนัก ลอบคิดอยู่เงียบงัน
………………..
………………..
“แม่สาวน้อย เจ้าจะทำยังไงถ้าคนในบ้านเจ้ายังคงไม่เห็นชอบ?” เย่หวูเฉินยังคงพิงอยู่กับต้นไม้ มือสองข้างลูบไล้ต้นขาอุ่นประดุจหยกของซื่อหยา จากนั้นสองมือยกขางาม ปลายเท้างดงามชูแกว่งไกว ดูเหมือนเจ้าของของมันจะยังไม่ฟื้นจากสัมผัสเสพสม
“พวกเขาจะต้องเห็นด้วย”
“แล้วเจ้าไม่คิดเหรอว่าพี่สาวของเจ้าจะทำยังไง? อย่างไรเสีย พี่สาวของเจ้าก็เลือกข้าแล้ว ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี หากข้าแต่งงานกับเจ้า คนอื่นๆจะมองตัวเจ้ายังไง แล้วพี่สาวเจ้าเล่า? รวมไปถึงตัวข้า?” เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ ยิ้มบางขณะกล่าว
ซื่อหยาแทบพูดไม่ออกไปครึ่งวัน ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงกล่าวเสียงแผ่ว “ข้าคิดมาหลายรอบแล้ว…. แต่ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ข้าเป็นของท่าน ดังนั้นท่านต้องแต่งกับข้า” ร่างกายของนางดูคล้ายปวกเปียก ทว่าฉับพลัน สองขางดงามเกี่ยวขนาบเอวเขาอีกครั้ง สองแขนโอบรอบลำคอ เอวบางขยับเบียด ลมหายใจเริ่มแรง “สภาพของพวกเราตอนนี้ ท่านไร้ทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องแต่งกับข้า”
“แล้วพี่สาวของเจ้าจะทำยังไง?” เย่หวูเฉินยื่นมือออกทั้งสองข้าง จับลงบนบั้นท้ายกลมกลึง นวดเฟ้นอย่างเบามือ
“ข้า….ข้าจะขอร้องนาง….พี่สาวข้าจิตใจดี ทั้งยังงดงาม มีพี่ชายหลายคนที่อยากแต่งงานกับนางในวันนี้ นางย่อมหาคู่ได้ไม่ยาก ร่างกายของท่านอ่อนแอ ไม่สามารถปกป้องพี่สาวข้าได้ และท่านยังไม่อาจทำสิ่งใดได้สักสิ่ง ท่านไม่คู่ควรอยู่ร่วมกับพี่สาวของข้า” ซื่อหยาหอบหายใจขณะกล่าว
“ในเมื่อข้าแย่ถึงปานนั้น แล้วทำไมเจ้าถึงยัง….อยากได้ตัวข้า?” เย่หวูเฉินเลิกคิ้วขึ้น
“เพราะว่า….ท่านได้เห็นร่างกายของข้าแล้ว ดังนั้น….ข้าจึงแต่งกับท่านได้เพียงคนเดียวเท่านั้น” ถูกนวดร่างเบียดสัมผัส ซื่อหยาที่ได้ลิ้มชิมเลือดยามนี้ลมหายใจยิ่งหอบถี่ นางกระซิบหน้าแดง “พวกเรามาต่อกันอีกยกเป็นไง?”
ไม่ต้องรอให้เย่หวูเฉินตอบกลับ นางขยับร่างจมลงอีกครั้ง ค่อยๆกลืนกินเข้าไปทีละน้อย เย่หวูเฉินอ้าปากสูดหายใจลึกและพลันกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้สภาพร่างกายของข้าดี เช่นนั้นก็เบามือกับข้าหน่อย…. เจ้าไม่กลัวหรือไงว่าข้าจะนอนลุกจากเตียงไม่ได้ไปอีกหลายวัน?”
……………….
……………….
หนิงเสวี่ยลืมตาตื่น มือถูดวงตางัวเงีย ทันใดนั้นจมูกของนางก็ขยับ นางได้กลิ่นแปลกๆ เป็นกลิ่นที่เจือจางแต่ก็เข้มข้น ทั้งยังคล้ายกลิ่นที่คุ้นเคย
นางนั่งลงบนเตียง จากนั้นเขย่าร่างของเย่หวูเฉิน “ท่านพี่ ตื่นและลุกจากเตียงได้แล้ว”
ตามปกติ ทุกครั้งที่หนิงเสวี่ยตื่นขึ้นมาและเพียงส่งเสียงเล็กน้อย เย่หวูเฉินจะตื่นขึ้นตาม แต่ครั้งนี้เขาหลับลึกอย่างมาก หลังจากถูกหนิงเสวี่ยเขย่าตัวอยู่หลายครั้ง คนถึงค่อยๆลืมตา เขายกมือขึ้น ทว่าทันทีนั้นมือก็ห้อยลงไร้เรี่ยวแรง เขาในยามนี้ต่างจากเขาคนก่อน เมื่อถูกซื่อหยากระทำย่ำยี เขาแทบจะสิ้นเรี่ยวแรง ตอนนี้ร่างกายอ่อนยุ่ยเหมือนปุยนุ่น
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงเปลี่ยนชุดล่ะ?” หนิงเสวี่ยถามด้วยความแปลกใจ ยามนี้ชุดที่เย่หวูเฉินสวมอยู่ไม่ใช่ชุดเดิมที่ใส่ตอนนอนอย่างเห็นได้ชัด ทุกรายละเอียดของเย่หวูเฉินนางจดจำได้เป็นอย่างดี ชุดที่เขาสวมอยู่ในตอนนี้ แม้จะต่างจากชุดก่อนอยู่เพียงเล็กน้อย แต่นางก็บอกได้ทันทีเพียงปราดตามอง
“ชุดนั่น ถูกพี่หญิงซื่อหยาของเจ้าฉีกทิ้งไปแล้ว” เย่หวูเฉินกล่าวเสียงแผ่ว
หนิงเสวี่ยกระพริบดวงตากระจ่างน้ำ ใบหน้าสงสัย “ทำไมพี่หญิงซื่อหยาถึงต้องฉีกชุดของท่านพี่ด้วยล่ะ? เมื่อครู่ท่านพี่ออกไปข้างนอกมาเหรอ?” นางขยับจมูกน้อยๆ “กลิ่นนี้ก็เป็นกลิ่นของพี่หญิงซื่อหยาเหรอ?”
ตอนนี้เป็นเวลา “ยามสาย” ในโลกแห่งนี้ ผู้คนเริ่มต้นฝึกฝนกันตามปกติ หนิงเสวี่ยยังคงลุ่มหลงกับการหลับนอน หากไม่มีคนปลุกพวกเขาย่อมตื่นสายมาก เป็นครั้งแรกที่เย่หวูเฉินนอนตื่นสาย และในขณะนี้เอง ในหูก็ได้ยินเสียงดุว่า “แย่มาก! เจ้าล้อเล่นแบบนี้ได้ยังไง!”
ในโลกอันแสนสุขแห่งนี้ เสียงดุด่าเป็นสิ่งที่หาฟังได้ยากยิ่ง เย่หวูเฉินรู้ตัวเองดี เขาตะกายร่างลุกขึ้น “เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเราออกไปดูกันเถอะ”
ซื่อหยาที่ “หวังให้ปรารถนาเป็นจริง” ตอนนี้นางรวบรวมความกล้าเรียกสมาชิกครอบครัวมารวมกัน มีพ่อแม่ , พี่สาว , พี่ชาย , และปู่ผู้ที่นางมักเกรงกลัว นางกล่าวยืนยันหนักแน่นว่าจะแต่งงานกับเย่หวูเฉิน คงพอจินตนาการออก คราแรกพวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องสนุก ต่างพากันปลอบนางไม่ให้สร้างปัญหา เมื่อเห็นนางไม่ยอมลดละอีกทั้งยังยืนกราน ชายชราไม่อาจทนดู เขามุ่นคิ้วและคำรามออกมาในที่สุด
“แต่ข้ามอบร่างกายให้เขาไปแล้ว!”
เมื่อรถเข็นที่เย่หวูเฉินนั่งอยู่ถูกหนิงเสวี่ยดันมาถึงปากประตู ซื่อหยาก็อ้าปากกล่าวคำสะเทือนโลก เย่หวูเฉินแทบอยากหันหลังและถอยกลับไป แต่ดูเหมือนตอนนี้ไม่เหลือเวลาให้ทำแบบนั้นแล้ว
ในห้องกลายเป็นเงียบงันจนแทบได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก พ่อแม่ของซื่อหยาดวงตาเบิกโพลง แทบไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แม่ของนางเดินมาอยู่ข้างๆนาง แผ่พลังเล็กน้อยสำรวจร่าง นางกล่าวด้วยความตกใจ “ซื่อหยา เจ้า….คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้า….” ปรากฎว่า ร่างกายพรหมจรรย์ของซื่อหยาในเมื่อวาน วันนี้กลับ….ไม่มีแล้ว