กระบี่ตัดดาราเปลี่ยนเป็นแสงทองกลับมาหาเย่หวูเฉิน มีเสียงอุทานตื่นเต้นและสับสนของหนานเอ๋อร์ดังขึ้นในหัว “เป็นคันศรเป่ยตี้จริงๆ….แต่ว่า ทำไมมันถึงได้เลือกเจ้านายที่เป็นนายของกระบี่หนานฮวง? ไม่น่าเป็นไปได้….ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่เห็นได้ชัดว่ากระบี่ตัดดารากับคันศรบาปวิบัตินั้นเป็นอริต่อกัน….”
ตั้งแต่ที่เย่หวูเฉินเข้ามาในม่านพลัง หนานเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของมัน เป็นเหมือนกับที่เย่หวูเฉินคาดคิดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกระบี่หนานฮวง–ตัดดารา หรือคันศรเป่ยตี้–บาปวิบัติ เป้าหมายของม่านพลังที่กั้นไว้ล้วนเหมือนกัน คือไม่ใช่เพียงเพื่อปกปิดกลิ่นอายของพวกมัน แต่ยังมีเพื่อเลือกเจ้านายที่ก้าวเข้ามา
เย่หวูเฉินลงจากรถเข็น ย่อกายลงแล้วยื่นมือขวาไปที่ลำแสงสีแดง ในวินาทีที่เขาสัมผัสมัน กลิ่นอายสังหารได้แผ่ทะลักไหลเข้ามาในร่าง เขากุมมันมั่นแล้วยกขึ้นมาช้าๆ
ครืน~~~เปรี๊ยะ~~
แผ่นดินเริ่มไหวสะเทือน ท้องฟ้ามีเสียงลั่นเหมือนแก้วแตก ม่านพลังกางกั้นพลันปริออก มันร้าวลามกระจายทั่วอย่างรวดเร็ว
ภายในม่านพลังโปร่งใส ทุกผู้คนต่างหยุดงานในมือ พวกเขามองขึ้นไปบนฟ้า คนที่อยู่ในห้องต่างวิ่งออกมา พวกเขาตกใจกับแผ่นดินไหวและเสียงฟ้าลั่น แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา เพียงไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ม่านพลังลึกลับแตกทำลายแล้ว!”
ขณะที่ผู้คนเริ่มตื่นเต้นยินดี ชายชราที่ทำสมาธิอยู่ก็พลันลืมตาโพลงมองไปทางทิศใต้ เขากระซิบพึมพำ “กลิ่นอายสังหารทรงพลังยิ่งนัก!”
ในมือของเย่หวูเฉิน เป็นธนูยักษ์สีแดงก่ำ ในใจพลันปรากฎชื่ออันชัดเจน ‘คันศรเป่ยตี้ – บาปวิบัติ!’
ทุกสิ่งเหมือนครั้งที่เขาได้รับกระบี่หนานฮวง–ตัดดารา มีม่านพลังกางกั้นเหมือนกัน , ได้มาด้วยวิธีเดียวกัน , อยู่ในทิศเดียวกัน , และมีหนิงเสวี่ยอยู่ด้วยเหมือนกัน คันศรนี้มีลักษณะน่ากลัวอย่างยิ่ง ความยาวของมันไม่ด้อยไปกว่ากระบี่ตัดดารา เป็นธนูแข็งและหยาบกร้าน รูปร่างของมันทำให้เย่หวูเฉินคิดถึงขาแมงมุม ตรงกึ่งกลาง….มีรูปหัวกะโหลกขนาดเท่ากำปั้น สายธนูบางเฉียบ หากไม่ตั้งใจมองก็ไม่อาจมองเห็นมันได้
ไม่ว่าจะเป็นตัวคันศรหรือสายธนู ทั้งหมดล้วนเป็นสีแดงโลหิต ราวกับว่ามันเพิ่งถูกจุ่มจากสระโลหิตออกมา
เช่นเดียวกับตอนที่เขาได้รับกระบี่หนานฮวง มีเสียงบางเบาดังสะท้อนลึกอยู่ในจิตใจ
“ ณ จุดเริ่มต้นแห่งห้วงสวรรค์และมหาปฐพี ในบรรพโกลาหลได้มีสองสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่สาบานว่าจะเป็นศัตรูต่อกัน หนึ่งนั้นครอบครองโกลาหลฝั่งใต้ อีกหนึ่งนั้นครอบครองโกลาหลฝั่งเหนือ พวกเขาเรียกขานตนเองว่า ‘จักรพรรดิใต้’ และ ‘จักรพรรดิเหนือ’ ทั้งสองต่อสู้กันตลอดหลายปีแต่ไม่ปรากฎผลผู้แพ้ชนะ หากแต่การต่อสู้อันดุเดือดได้ทำให้ห้วงโกลาหลแตกออก และได้ก่อกำเนิดกลายเป็นสวรรค์ ปฐพี มนุษย์ เทพ และปีศาจ….”
นี่คือเศษเสี้ยวความทรงจำที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งกระบี่หนานฮวงเคยบอกเขา และแล้วคันศรเป่ยตี้ก็เล่าต่อในส่วนที่ขาดหายไป….
“….การแตกออกของห้วงโกลาหล ได้ทำให้จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือค้นพบสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ถือกำเนิดอยู่ในใจกลางห้วงโกลาหล ชื่อของมันคือจิ้งจอกมังกร จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือต่างต้องการครอบครองมัน การต่อสู้ของทั้งสองทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ห้วงโกลาหลจึงยิ่งแตกทำลาย ผ่านไปหลายพันปีก็ยังไม่ปรากฎผู้ชนะ การต่อสู้ยาวนานส่งผลให้พวกเขาเกิดอารมณ์ด้านลบรุนแรง เมื่ออารมณ์ด้านลบแห่งโลภะและโทสะถูกปลดปล่อยออกมานับหลายพันปี ในที่สุดมันจึงก่อเกิดหายนะน่าหวาดหวั่นที่เรียกว่า ‘ปีศาจ’! ”
“ ‘ปีศาจ’ ถือกำเนิดขึ้นจากจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ มันจึงแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือถูกบีบให้ต้องร่วมมือกัน การต่อสู้กับปีศาจดำเนินเป็นเวลากว่าหมื่นปี จนกระทั่งดำเนินมาถึงจุดสุดท้าย ทั้งสองคนใช้พลังแทบสิ้นและเกือบจะตกตาย ส่วน ‘ปีศาจ’ ได้สลายกลิ่นอายหายไปไร้ร่องรอย…เป็นตายไม่ปรากฎ ในขณะที่จิ้งจอกมังกรก็หายสาบสูญไปด้วยเช่นเดียวกัน บางทีมันอาจตกตายในระหว่างสงครามกับ ‘ปีศาจ’ ….จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือต่างสำนึกเสียใจ พวกเขาจึงสาบานว่าจะไม่สู้กันอีก”
“หลังจากนั้นล้านปี ทุกสิ่งกลับมาสงบและสันติ จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือเลิกต่อสู้กัน โกลาหลที่แตกออกได้ให้กำเนิดสรรพชีวัน ทวีปที่มีโกลาหลแกร่งกล้าที่สุดคือทวีปเทวะ ทวีปที่มีโกลาหลเบาบางที่สุดคือทวีปเทียนเฉิน หนึ่งล้านปีต่อมา ในห้วงโกลาหลได้ปรากฎผืนทวีปปีศาจขึ้นอย่างฉับพลัน เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากได้เริ่มโจมตีเข้าใส่จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ ทั้งสองผนึกกำลังรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจถูกสังหารไปเก้าในสิบส่วน ปีศาจที่เหลือได้ล่าถอยไป ไม่ทราบว่าหลบซ่อนอยู่ในหลืบมุมมิติใด ทว่าจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือสูญสิ้นพลังไปมากจากการต่อสู้เมื่อครั้งก่อน และพวกเขาไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อผ่านสงครามสาหัสในครั้งนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นตะเกียงน้ำมันที่ใกล้เหือดแห้งเต็มที พวกเขาทราบดีว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจเกิดขึ้นจาก ‘ปีศาจ’ ที่หลบหนีไปในครั้งก่อน หากพวกเขาตายไปโดยที่ยังไม่ได้กำจัดต้นตอของมัน สรรพชีวันรุ่นหลังย่อมประสบกับหายนะ”
“จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือที่ใกล้จะตกตาย ไม่ต้องการให้ปีศาจที่ถือกำเนิดจากตนทำลายห้วงโกลาหลทั้งหมด พวกเขาจึงลงมาสู่ทวีปเทวะ สร้างกฎเข้มงวดให้เหล่าเทพสืบเสาะและต่อต้านเผ่าพันธุ์ปีศาจในรุ่นหลัง จากนั้นทั้งสองได้รวมพลังวิญญาณอันอ่อนโทรมเพื่อมองหาทางออก ในจิตใจพลันปรากฎภาพของ ‘บุคคล’ ผู้หนึ่งขึ้นมา”
“ด้วยเหตุนั้น จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือจึงลงมาสู่โลกมนุษย์ สั่งให้กระบี่ตัดดารากับคันศรบาปวิบัติตามหาเจ้านายที่ชะตาได้กำหนด ในช่วงขณะสุดท้ายของชีวิต พวกเขาได้แยกกันเลือกหมู่มนุษย์ สละเลือดเนื้อตนเองมอบพลังและภารกิจไว้ให้ พวกเขาตั้งชื่อว่าสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ มอบภารกิจให้กับมนุษย์เหล่านั้น , ให้ตามหาเจ้านายของกระบี่ตัดดาราและคันศรบาปวิบัติ , ให้ช่วยเหลือคนผู้นั้นบรรลุทุกสิ่ง , ให้ไม่มีวันทรยศต่อคนผู้นั้น! เสร็จแล้ว จักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือได้สูญสลายไปจากห้วงโกลาหล สายโลหิตและพลังได้สืบทอดต่อมาในหมู่มนุษยชาติ”
เสียงในใจได้หยุดลง เย่หวูเฉินรู้สึกราวกับได้ฟังเทพนิยายปรำปรา เขาตัดสินใจมองไปที่ธนูยักษ์สีแดงโลหิตที่อยู่ในมือ และทวนซ้ำทุกถ้อยคำในจิตใจ เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกผนึกไว้โดยจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ มันไม่ใช่เสียงธรรมดา หากแต่กังวาลอยู่ในใจ ทำให้เขาสามารถจดจำได้ชัดทุกถ้อยคำและไม่มีวันลืมได้
ปรากฎว่าต้นกำเนิดของสำนักจักรพรรดิใต้และสำนักจักรพรรดิเหนือ กลับเป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าวไว้ว่า พวกเขาคือทายาทของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ
ถ้าอย่างนั้น จิ้งจอกมังกรที่ถือกำเนิดขึ้นจากใจกลางห้วงโกลาหล ทั้งกระตุ้นความโลภของจักรพรรดิใต้และจักรพรรดิเหนือ…. หรือมันจะเป็นเซียงเซียง? แล้วหนานเอ๋อร์นางคือใคร? เหตุใดถึงมาอยู่ในกระบี่ตัดดาราได้?
ในเศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้ ล้วนไร้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหนานเอ๋อร์ กระทั่งหนานเอ๋อร์ยังไม่ทราบเรื่องราวของตน ว่านางมาจากไหนหรือทำไมถึงได้มาอยู่ในกระบี่
คันศรบาปวิบัติในมือยังคงเปล่งแสงสีโลหิต กลิ่นอายโลหิตยังคงแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมายิ่งน่าสะอิดสะเอียน หนิงเสวี่ยซุกร่างอยู่หลังเย่หวูเฉิน หลับตาปี๋ไม่กล้ามองมัน เพราะรูปร่างของมัน รวมทั้งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาล้วนน่ากลัวอย่างยิ่ง
“เจ้าเรียกข้ามาหรือ?” เย่หวูเฉินเอ่ยถามคันศรบาปวิบัติ สัมผัสแรกไม่เหมือนตอนที่เขาจับพระบี่ตัดดาราด้วยความพอใจ คันศรบาปวิบัติกำลังสั่นไหวอยู่ในมือ กลิ่นอายของมันสับสนปั่นป่วน ทำให้ร่างกายอ่อนแอของเขารวดร้าว มันเป็นผู้เรียกเขามา และตอนนี้มันอยู่ในมือเขา แต่มันกลับปรากฎเหมือนไม่ยอมเชื่อฟัง
ไม่มีเสียงตอบกลับ คันศรบาปวิบัติที่อยู่ในมือเริ่มสั่นรุนแรงขึ้น
“เจ้านาย ในศรบาปวิบัติไม่น่ามี ‘จิตวิญญาณ’ ดำรงอยู่เหมือนเช่นข้า เดิมทีเมื่อกระบี่ตัดดารากับคันศรบาปวิบัติถือกำเนิดขึ้นในห้วงโกลาหล มันดำรงอยู่พร้อมสองจักรพรรดิ พวกมันมีพลังและความคิดเป็นของตัวเอง คันศรบาปวิบัติเดิมทีไม่ได้ชื่อบาปวิบัติ แต่ที่จริงมันชื่อคันศรทลายดารา จักรพรรดิเหนือใช้โลหิตของตนอาบชะโลมมัน ลดทอนความคิดของมันลงอย่างมาก ทำให้คันศรทลายดารากลายเป็นศรแห่งภัยพิบัติและสังหาร และชื่อของมันยังได้เปลี่ยนเป็นบาปวิบัติ ถึงแม้คันศรบาปวิบัติไม่อาจฉลาดเทียบเท่ากระบี่ตัดดารา แต่ว่าพลังแท้จริงของมันย่อมเหนือล้ำยิ่งกว่า”
ตัดดารา , ทลายดารา การประสานของมันมีไว้เพื่อทำลายดวงดาว!
ประสาน….
“….ดังนั้น เจ้านายต้องป้อนโลหิตของตัวเองให้มันดื่ม ไม่อย่างนั้น ถึงแม้คันศรบาปวิบัติจะถือว่าท่านเป็นเจ้านาย แต่มันก็ย่อมหลุดการควบคุมของเจ้านายอยู่บ่อยๆ”
กระบี่ตัดดาราวาบออก กรีดตัดบนนิ้วก้อยของเย่หวูเฉินอย่างแผ่วเบา โลหิตแดงที่สะท้อนแสงทองหยดลงจากนิ้วก้อย ตกลงสู่คันศรบาปวิบัติที่สั่นระริก มันดูดซับโลหิตเข้าไปในพริบตา
แสงสีแดงเกิดเสียงเล็กน้อย สีสันของคันศรค่อยๆหม่นลง ในที่สุดแสงแดงก็หายไป กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นก็สลายไปเช่นกัน ศรที่ดีดดิ้นรุนแรงในที่สุดก็สงบลง เช่นเดียวกับกระบี่ตัดดารา คันศรบาปวิบัติกลายเป็นแสงแดงและพุ่งมาที่หว่างคิ้วของเย่หวูเฉิน
ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นได้หายไป หนิงเสวี่ยโผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังของเย่หวูเฉิน เมื่อเห็นว่าคันศรหายไป นางลูบอกน้อยๆและกล่าว “ท่านพี่ อาวุธนี้น่ากลัวจัง”
ไม่เพียงแค่หนิงเสวี่ย ตอนที่เย่หวูเฉินมองมันคราแรกในใจก็บังเกิดความหวาดหวั่น สามารถแผ่ความน่าสะพรึงเช่นนี้ หากจะเรียกมันว่าคันศรปีศาจก็ไม่นับว่าเกินจริง เขาเคลื่อนร่างกลับมานั่งบนรถเข็น ถอนหายใจสองเฮือก และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าห่วงเลย ตอนนี้มันกลายเป็นของข้าแล้ว นับจากนี้ไป มันย่อมทำได้เพียงปกป้องและไม่อาจทำอันตรายพวกเรา ถ้าหากจะกลัว สมควรเป็นผู้อื่นที่ต้องกลัวมัน”
“อื้ม!” หนิงเสวี่ยผงกศีรษะ ใบหน้าคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม “ท่านพี่ พวกเราจะกลับกันเลยมั้ย?”
เย่หวูเฉินแหงนหน้ามองฟ้า ตอนนี้ม่านพลังโปร่งแสงได้หายไปแล้ว ด้วยคันศรบาปวิบัติถูกถอนออกไป ไม่ทราบว่าผู้คนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แม้ว่าม่านพลังจะหายไปแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็สมควรไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมาก อย่างดีที่สุด พวกเขาก็เพียงมีพื้นที่ให้ใช้ชีวิตกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม
“พวกเรากลับกันเถอะ นานแล้วที่พวกเราออกมา พวกเขาคงจะเริ่มกังวลถึงพวกเราบ้างแล้ว เรื่องคันศร ให้เก็บเป็นความลับจากพวกเขา”
เมื่อเย่หวูเฉินกลับไปถึงบริเวณที่พักอาศัย ในหูก็ได้ยินเสียงถกเถียงกันอึงอล แน่นอนหัวข้อย่อมเป็นเรื่องม่านพลังที่จู่ๆก็แตกทำลาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นเกินไปหรือสูญเสียการควบคุมเพราะเรื่องนี้ รวมทั้งยังไม่มีใครออกไปสำรวจพื้นที่ที่ยังไม่เคยมีใครเหยียบย่าง แม้ว่าพวกเขาจะคิดถึง “ข้างนอก” เพียงใด สิ่งแรกที่ต้องทำคือฟังคำสั่งของชายชราและไม่อาจแตกตื่นวุ่นวายได้
ถ้อยคำของชายชราถือเป็นที่สุด และถือเป็นบัญชาในดินแดนเล็กๆแห่งนี้