ตอนมองเพียงผ่านๆ นางดูด้อยกว่าพี่สาวของนางอย่างมาก ตอนที่นางอยู่ในน้ำไม่อาจมองนางได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม เมื่อนางมายืนอยู่ตรงหน้า นางทำให้เย่หวูเฉินและหนิงเสวี่ยต้องตะลึงโง่งมไปชั่วขณะ
ร่างกายนางบางกรอบ สองส่วนกลมยังดูเอียงอาย เสื้อผ้าบางโปร่ง แต่หญิงสาวอายุราว 15-16 ปีนางนี้มีเรียวขาอันน่าภาคภูมิ เห็นแล้วอดตกตะลึงไม่ได้ ส่วนสูงของนาง….ไม่ต้องกล่าวถึงเย่หวูเฉินที่นั่งอยู่ กระทั่งยามเขายืน นางก็สูงกว่าอยู่เล็กน้อย
แม้นางมีร่างที่สูง แต่ส่วนล่างของกายนางก็ยาวกว่าส่วนบนมาก ทำให้เผยเรียวขาอัศจรรย์จนไม่อาจลบจากดวงตา มันไม่ได้นำพาความรู้สึกไม่สมสัดส่วนแต่อย่างใด เรียวขายาวชุ่มด้วยหยดน้ำ โผล่พ้นชายกระโปรงหยาบกร้านเกินครึ่งขา ขางดงามสองข้างเป็นลำตรง รูปทรงดีเยี่ยม ดูแข็งแรงทะมัดทะแมง นุ่มนิ่มและยืดหยุ่น
ราวกับตอบรับกับขางดงามคู่ยาว สะโพกของหญิงสาวต่างสิ้นเชิงกับหน้าอกขวยเขิน มันกลมกลึงได้สัดส่วนงอนงาม ส่วนโค้งสมบูรณ์ไร้ที่ติ มองด้านข้างดูราวกับคอขวด ดึงดูดสายตาจนไม่อาจไถ่ถอนออกจากเรียวขาทรนงคู่นั้น
ขาของนางดุจดั่งผลงานชั้นเลิศที่สวรรค์ทุ่มเทหัวใจเสกสรรปั้นขึ้น ไม่เพียงสะโอดสะองด้วยความยาว รูปร่างยังสมบูรณ์แบบ ผิวดูละมุนเปล่งปลั่ง ขาวดุจดั่งน้ำนม งดงามร้ายกาจและดึงดูดร้ายแรงต่อผู้คน
ย่อมพอจะคิดออกถึงยามที่อยู่บนเตียง ด้วยขาเรียวยาวและเอวอ้อนแอ้น ร่างบางของนางย่อมบิดได้หลายท่วงท่าสร้างลีลาอันอัศจรรย์
เย่หวูเฉินเริ่มหายใจฟืดฟาด แม้รูปร่างหน้าตาของนางจะงามล้ำ แต่ยังนับว่าห่างไกลกับสตรีที่เขาเคยชิดใกล้ แต่อย่างไรก็ตาม ขาคู่งามของหญิงสาววัย 15-16 ปีควรคู่ที่จะเรียกได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก เมื่อคนมองนางสิ่งแรกที่จะเห็นคือเรียวขายาว นี่ขนาดด้วยวัยเพียงเท่านี้ หากนางเติบโตขึ้นย่อมสร้างหายนะล่มอาณาจักรรวมไปถึงผู้คน พลังของทำลายล้างของนางสูงส่งกว่าพี่สาวตนเอง
“พี่สาวตัวสูงจังเลย” หนิงเสวี่ยแหงนหน้ามอง กระทั่งเผลอลืมตัวเขย่งยืดอยู่บนปลายเท้า ก่อนหน้านี้เย่ฉุ่ยเหยาคือผู้หญิงที่สูงที่สุดที่นางเคยพบเจอ แต่ในตอนนี้ซื่อหยากลับสูงยิ่งกว่านาง ด้วยร่างกายที่เพรียวบาง ขาสองข้างจึงดูเรียวยาวน่าอัศจรรย์
หญิงสาวดูภูมิใจกับส่วนสูง เมื่อได้ฟังหนิงเสวี่ยกล่าวจากใจนางยิ่งเชิดลำคอระหงส์สูงขึ้น นัยน์ตากลมจ้องเย่หวูเฉินพร้อมแค่นเสียงบาง “ข้าถามว่าท่านรู้ได้ยังไงว่าข้าคือซื่อหยา ท่านถามเรื่องของข้ามาจากพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”
เย่หวูเฉินเพิ่งเคยเห็นหญิงสาวผู้มีอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้เป็นคนแรก เขารู้สึกสนใจมากและเอ่ย “ไม่จำเป็นต้องถามใครข้าก็พอเดาได้ นอกจากเจ้ากับย่าแล้วข้ารู้จักที่นี่ทั้งหมด ในเมื่อเจ้าดูไม่เหมือนจะเป็นย่า ดังนั้นเจ้าย่อมเป็นซื่อหยา”
มุมปากของซื่อหยาหุบลง นางไม่พอใจกับคำตอบของเขาอย่างยิ่ง สองมือนางเท้าสะเอว และกล่าวด้วยใบหน้าคับข้อง “เฮอะ! เหตุใดท่านถึงมาแอบดูข้าอาบน้ำ!”
ท่วงท่านี้ของนางเผยให้เห็นองค์เอวคอดโค้ง ราวต้นหลิวบอบบางอ้อนแอ้น ใต้เส้นโค้งขอบหลิว สะโพกกลมนูนดูเด่นชูงอน กระทบกระแทกสายตาเหนือสิ่งอื่นใด ยากนักที่จะละสายตาออกไปได้
“ข้าไม่ได้แอบดูเสียหน่อย” เย่หวูเฉินมองจ้องต่อภาพตรงหน้า ชื่นชมกับฉากอันงดงาม ในใจลอบอุทาน หญิงสาวผู้นี้กินอะไรลงไปถึงเติบโตได้ถึงเพียงนี้
“ท่าน…..ยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอีก!”
“การแอบดูคือการลอบมอง แล้วข้าได้ลอบมองเจ้าที่ไหน?” เย่หวูเฉินส่งยิ้มสงบ ทำสีหน้าแบบว่าช่วยไม่ได้ เขาไม่อาจช่วยได้อย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะสูญเสียพลัง จิตสัมผัสของเขาคงไม่เสื่อมหาย และเขาย่อมได้ยินเสียงตีน้ำมาแต่ไกล รวมทั้งไม่เข้ามาใกล้
“ท่านพูดเล่นคำ! สถานที่สำหรับให้บุรุษอาบน้ำคือด้านนู้น สถานที่นี้มีไว้สำหรับพวกเราสตรี บุรุษอย่างท่านห้ามเข้ามาที่นี่ แต่ท่านกลับ….”
“เจ้าก็รู้ว่าข้ามาจากโลกภายนอก มีหลายสิ่งที่ข้ายังไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้จึงไม่อาจถือว่าเป็นความผิด เจ้าให้อภัยข้าสักครั้งไม่ได้หรือ?” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว เขายิ่งรู้สึกว่านางน่าสนใจ นางทำท่าโกรธเคือง ทว่าแววตาเป็นประกายเจิดจรัส นางมองใบหน้าเขาและไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด
“พี่หญิงซื่อหยา ที่ท่านพี่พูดมาเป็นความจริง พวกเราไม่รู้ว่านี่เป็นที่อาบน้ำของผู้หญิง ไม่อย่างนั้น ข้ากับท่านพี่ย่อมไม่เข้ามาที่นี่” หนิงเสวี่ยแหงนหน้าพยายามอธิบายช่วยพี่ชาย
“ท่าน…..ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่ ว่าที่แห่งนี้คือที่อาบน้ำของสตรี ท่านได้เห็นเรือนร่างของข้าไปแล้ว แล้วหลังจากนี้ข้าจะแต่งงานกับใครได้?” ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มไม่เปลี่ยนของเย่หวูเฉิน ทั้งไร้ระลอกคลื่นแห่งความกังวล หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมีโทสะ เมื่อคิดว่าร่างกายของตนถูกมองลวนลาม นางกัดริมฝีปากและคับข้องใจ นางกระทั่งไม่ทราบสมควรทำเช่นไร
“เช่นนั้นเจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?” เย่หวูเฉินแบมือยักไหล่
หญิงสาวกัดเม้มริมฝีปากแน่น ทันใดนั้น นางดีดเท้าพลิกร่างและหายไปในพริบตา มีเสียงชัดเจนของนางดังอยู่ในหู “ข้าเกลียดท่าน! ข้าจะจำท่านไว้! ข้าจะไปฟ้องท่านย่าและกลับบ้านวันนี้….ข้าจะไม่ปล่อยท่านเอาไว้แน่ ท่านรอดูก็แล้วกัน!”
หากว่านางจากไปด้วยการเดิน เย่หวูเฉินย่อมระบุตำแหน่งทิศทางของนางได้ แต่ยามนี้ไม่อาจเห็นแม้แต่เงา เขาได้แต่ลอบถอนหายใจอีกครั้ง “ที่นี่ไม่มีคนปกติธรรมดาสินะ”
หนิงเสวี่ยมองไปรอบๆอยู่ข้างเย่หวูเฉิน นางกล่าวอย่างกังวล “ท่านพี่ หรือว่านางจะ…..”
“เจ้าวางใจได้ เมื่อหญิงสาวได้เกลียดใคร นางย่อมกลายเป็นตัวอันตราย ทว่าไม่ใช่ตัวอันตรายสำหรับข้า” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ
หนิงเสวี่ยเอียงศีรษะ แม้จะคิดครึ่งค่อนวันก็ไม่อาจเข้าใจความหมาย ทว่านางเคยชินกับเรื่องนี้มานานแล้ว
เย่หวูเฉินขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตามองไปยังทิศใต้ จากนั้นหลับตาลงเงียบๆอีกครั้ง ราวกับเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง หนิงเสวี่ยเมื่อเห็นท่าทางของเขาจึงไม่กล้ารบกวน นางยืนอยู่เงียบๆไม่ส่งเสียงใด
“เอาละ ไปทางนั้นกัน” เย่หวูเฉินชี้ไปทางทิศใต้ หนิงเสวี่ยวิ่งมาอยู่ด้านหลังทันที นางดันล้อเข็นและเดินเลียบริมทะเลสาบเล็กๆตรงไปทางใต้ทันที
ดินแดนผนึกแห่งนี้ นอกเสียจากทางเหนือ ทางด้านอื่นๆล้วนแต่เป็นป่าทึบ สัตว์น้อยใหญ่สามารถพบเจอได้ทั่วทุกแห่งในป่า ทว่าพวกมันล้วนแต่เป็นเหมือนกัน เมื่อเห็นมนุษย์มันจะตกใจและวิ่งหนี กระทั่งสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่ามนุษย์ยังไม่กล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ ในทางฝั่งเหนือ….กงลั่วเคยบอกกับเขาอย่างจริงจังว่ามีบริเวณหนึ่งที่ไม่อาจเข้าใกล้
ถึงขนาดทำให้กงลั่วผู้แข็งแกร่งกล่าวคำเช่นนั้นได้ เย่หวูเฉินจึงไม่อาจหักห้ามความสนใจ เมื่อเย่หวูเฉินสอบถามเกี่ยวกับมัน กงลั่วเพียงส่ายศีรษะตอบ “บริเวณแห่งนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดอยู่ ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เข้าไปใกล้จะได้รับบาดเจ็บ หากโยนสิ่งของเข้าไปมันจะถูกทำลายทันที พวกเราทุกคนไม่กล้าเข้าไปยังบริเวณนั้น กระทั่งปู่ของข้าก็ยังไม่กล้า”
ด้วยเหตุนี้ เย่หวูเฉินจึงจดจำสถานที่แห่งนั้นเอาไว้
หลังจากเดินมานาน หนิงเสวี่ยเหน็ดเหนื่อยและหอบหายใจ นางยังคงเข็นเย่หวูเฉินไปตามทิศทางที่เขาบอก ค่อยๆเข้าใกล้ขอบม่านพลังลึกลับทางฝั่งใต้ เย่หวูเฉินมักหลับตาอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเขาจะลืมตาขึ้นและบอกทิศทางกับหนิงเสวี่ย
แม้ที่นี่มีสัตว์จำนวนมาก หากแต่ไร้เงาของผู้คน มีเพียงไม่กี่คนที่ทำหน้าที่ล่าสัตว์ในทุกวัน คนอื่นๆจะไม่เข้ามาที่นี่ กระทั่งนักล่าสัตว์ยังไม่เข้ามาลึกถึงเพียงนี้
ตุบ
เย่หวูเฉินพลันลืมตาขึ้น ด้านหน้าไม่ปรากฎสิ่งใด แต่ขาสองข้างได้ชนเข้ากับของแข็งบางสิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นขอบม่านพลัง
“ท่านพี่” หนิงเสวี่ยสังเกตได้ถึงความผิดปกติ นางรีบวิ่งมาดูเขา เย่หวูเฉินอ้าแขนกอดนางไว้บนตัก กล่าวด้วยความรักใคร่ “ต้องเหนื่อยเจ้าแล้ว”
“ข้าไม่เหนื่อยสักหน่อย” หนิงเสวี่ยกระซิบ จากนั้นเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านพบอะไรบางอย่างใช่ไหม?”
เย่หวูเฉินผงกศีรษะเล็กน้อยและกล่าว “ข้าไม่คิดเลยว่าจะเป็นสิ่งของต้องห้ามในระดับเดียวกัน กระทั่งวิธีปกปิดตัวเองยังเหมือนกันด้วย” เขายื่นมือออกและดันบนกำแพงโปร่งใส “ม่านพลังแห่งนี้สามารถกีดกั้นทุกสิ่งไม่ให้ออกไป มันมีขึ้นเพื่อปกปิดกลิ่นอายของตัวมัน และเพื่อที่จะให้เจ้านายของมันสามารถหาพบ มันจึงยอมให้ทุกสิ่งเข้ามา เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้ายังจำสถานที่ที่พวกเราพบกันครั้งแรกได้หรือเปล่า สถานที่ซึ่งมีม่านพลังโปร่งใสแบบเดียวกัน?”
“ข้าจำได้ ตอนนั้นท่านพี่กับข้าก็เดินไปยังสุดขอบ ท่านพี่พบกระบี่ที่ทรงอานุภาพซ่อนอยู่ในใต้ดิน” หนิงเสวี่ยกล่าวอย่างมีความสุข
“ถูกต้อง….ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นกฎธรรมชาติของพวกมัน เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าที่แห่งนี้เองก็มีศาสตราทรงอานุภาพซ่อนอยู่?” เย่หวูเฉินยิ้มลึกลับ
“อื้ม!” หนิงเสวี่ยกระพริบตาและพยักหน้า “ข้าเชื่อ หากท่านพี่บอกมี มันก็ต้องมี”
“งั้นเรามาขุดมันขึ้นมากัน ตกลงมั้ย?” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาน้อมความคิด ที่หว่างคิ้วก็วาบแสงสีทอง กระบี่ตัดดาราปรากฎออกมาและปักลงบนพื้น วันนี้เขาไร้พลังและทำได้เพียงพึ่งพาหนานเอ๋อร์
หนานเอ๋อร์สามารถใช้พลังได้เล็กน้อยกับกระบี่ตัดดารา การขุดดินเป็นไปด้วยความทุลักทุเล เย่หวูเฉินกอดหนิงเสวี่ย กระบี่ตัดดาราที่อยู่ตรงหน้าขยับขึ้นและปักลงด้วยตัวมันเอง
พลังเล็กน้อยแผ่พุ่งออกมาจากรอยแยก ผืนดินเรียบถูกขุดออก ลำแสงสีแดงสาดส่องออกมาจากพื้นดิน แฝงพลังที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัว มันคือกลิ่นอายสังหารโลหิต!