นี่เป็นบ้านมุงจากที่แข็งแรงแน่นหนา แม้จะทำขึ้นหยาบๆ แต่ก็ดูสะอาดเรียบร้อย เสื่อบนเตียงจัดวางเป็นระเบียบ ด้านล่างเสื่อซ้อนด้วยฟางมากมาย ยามนอนลงรู้สึกนุ่มสบาย เย่หวูเฉินนอนอยู่บนเตียง หัวใจครุ่นคิดนับพันสิ่ง หนิงเสวี่ยนั่งอยู่ข้างๆเขาบนเตียง นางกล่าวเสียงเบา “ท่านพี่ ข้าชอบผู้คนที่นี่ พวกเขาไม่กลัวข้า ไม่รังเกียจข้า อีกทั้งยังดีกับพวกเรา พวกเขาเป็นคนดีมากๆ”
“ใช่” เย่หวูเฉินเอ่ยรับและมองนางอ่อนโยน “เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปไหม?”
หนิงเสวี่ยพยักหน้า แล้วก็ส่ายศีรษะ “หากได้อยู่กับท่านพี่ที่นี่ ข้าย่อมมีความสุขตลอดไป แต่ข้าคิดถึงพี่สาว คิดถึงพี่ทงซิน….รวมถึงอีกหลายคน พวกเขาต้องคิดว่าพวกเราตายไปแล้วและเสียใจมาก หากข้ากับท่านพี่สามารถกลับไป พวกเขาคงไม่ต้องโศกเศร้า”
เย่หวูเฉินจุกอยู่ในอก เขาปิดตาลงช้าๆ สองปีผ่านไปหลายสิ่งคงเปลี่ยนไปมากมาย พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง….
“พวกเราจะกลับไป” เขากล่าวเสียงเบาขณะลืมตามองขึ้นข้างบน สายตามองผ่านเลยหลังคา ตรงไปยังท้องฟ้าอันห่างไกล “ได้กลับไปแน่ ชะตามักพลิกผันตลอดเวลา บางครั้งโหดร้ายทารุณ แต่บางครั้งก็มีสิ่งดีๆ”
เสียงประตูแง้มเปิดออก มีร่างหนึ่งยืนอยู่ปากประตูด้วยศีรษะก้มต่ำ ในมือถือถ้วยซุปร้อนส่งไอกรุ่น เป็นสตรีอายุราว 25-26 ปี ร่างกายเติบโตเต็มสัดส่วนทั่วร่าง ใต้ชุดฝ้ายหยาบกร้านแต่สะอาด เป็นอกคู่ตระหง่านทรนง สะโพกกลมแน่นและโค้งเว้าอันดรุณีเยาว์วัยไม่อาจเทียบเคียง ทว่านางมีผิวพรรณดุจสาวน้อยวัย 15-16 ดูละมุนบอบบางไร้เดียงสา สีหน้าท่าทางกลับดูคล้ายเสน่ห์ของสาวน้อยวัย 13-14 ปี
ชายชรามีบุตรหนึ่งคน และบุตรของเขาก็มีลูกชาย 1 คน กับลูกสาวอีก 3 คน ลูกสาวคนโตตายตั้งแต่เกิด แม้จะทุ่มเทช่วยเหลือก็ไม่อาจยื้อชีวิตได้ หลังจากนั้นหนึ่งปีจึงมีลูกสาวคนที่สองชื่อ ‘เอ้อหยา’ ปีนี้นางอายุได้ 25 ปี ถัดจากนั้นสามปีจึงให้กำเนิดลูกคนที่สามคือ ‘กงลั่ว’ ถัดมาอีกเจ็ดปีจึงมีลูกสาวอีกคนชื่อ ‘ซื่อหยา’ ปีนี้อายุได้ 15 ปี
ทว่าเมื่อเย่หวูเฉินเห็นสตรีที่ชื่อเอ้อหยา ผู้ที่กงลั่วเป็นคนพามา ในใจเกิดความตะลึงลึกล้ำ คิ้วนางดุจพระจันทร์เสี้ยวบาง ผิวพรรณเรียบละมุน นัยน์ตากระจ่างดั่งน้ำใส ริมฝีปากประดุจหยกแดง…. ในโลกเล็กๆใบนี้ กลับซ่อนนางงามเย้ายวน ที่กลืนกินจิตใจ
หากแต่สายตาของเย่หวูเฉิน กลับทำให้นางหน้าแดงผ่าว นางจึงเบือนหน้าหลบออก กงลั่วลอบหัวเราะ “เป็นไงบ้าง พี่สาวข้าสวยไปเลยใช่มั้ย? ต่อไปเจ้าสามารถเรียกพี่สาวของข้าว่า เอ้อหยา”
เอ้อหยาเดินเข้ามาไม่กล้าเงยหน้าขึ้น จู่ๆมีแขกจากโลกภายนอกมาเยือนสู่บ้านทำให้นางไม่อาจผ่อนคลาย จุดร้ายแรงที่สุดคือรูปร่างหน้าตาของเย่หวูเฉินสมบูรณ์แบบเกินไป สำหรับสตรีนางนี้ที่ยังไม่แต่งงาน ทุกวันนางเพียงได้เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย ผลลัพธ์เมื่อเจอกับเย่หวูเฉินจึงพอคาดเดาได้
“ขอบคุณ พี่หญิงเอ้อหยา” เมื่อนางวางถ้วยน้ำซุปลง เย่หวูเฉินจึงยิ้มกล่าว เอ้อหยายืนอยู่ตรงนั้นสบตาเล็กน้อย ครู่หนึ่งที่นางไม่รู้จะตอบคำใด นางหน้าแดงอีกครั้งแล้ววิ่งหนีออกไป
“ท่านพี่ พี่หญิงเอ้อหยาขี้อายมากเลย” หนิงเสวี่ยแอบขบขัน จากนั้นหยิบช้อนตักน้ำซุป นางเป่าให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว ช้อนเองก็หยาบกร้าน ทว่าในที่ผนึกปิดตายแห่งนี้ กลับสามารถหาอาหารพึ่งพาตนเอง ในขณะที่ทุกสิ่งขาดแคลน กระทั่งถ้วยน้ำซุปยังแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของผู้คนเหล่านี้
ด้วยหญิงสาวในวัยนี้ กลับมีอุปนิสัยและการแสดงออกที่แปลก ทำให้ผู้คนรู้สึกขบขัน เย่หวูเฉินยิ้มและพลันถามกับหนิงเสวี่ย “เจ้าว่า ทำไมนางถึงยังไม่แต่งงาน?”
หนิงเสวี่ยเกาศีรษะครู่หนึ่งและกระพริบตาปริบ “ข้าไม่รู้ ท่านพี่รู้เหรอ?”
เย่หวูเฉินยิ้มและส่ายศีรษะ แต่เขาลอบสังเกตอยู่เงียบๆ เมื่อถึงเวลา บางสิ่งที่ธรรมดาอาจเป็นกุญแจเปิดเผยเรื่องราวลึกลับทั้งหมด
หนิงเสวี่ยยกช้อนดำขึ้นมาแตะชิมรสชาติย่ำแย่ของน้ำซุป “ท่านพี่ เย็นพอทานได้แล้ว”
“ป้อนข้าหน่อย”
“อื้ม ฮิๆ” หนิงเสวี่ยยิ้มอ่อนหวาน ยื่นช้อนป้อนใส่ปากของเย่หวูเฉิน มองเขาด้วยความสุขใจ ขณะที่ป้อนไปได้ครึ่งหนึ่ง ชายชราที่เดินมาถึงประตูก็หยุดและถอยออกไปเงียบๆ เขาลอบถอนหายใจเมื่อเห็นความผูกพันธ์แน่นแฟ้น จนกระทั่งเมื่อเย่หวูเฉินดื่มน้ำซุปหมด เขาจึงเดินเข้ามาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และช่วยตรวจดูร่างกายของเย่หวูเฉินอีกครั้ง
“เป็นยังไงบ้าง” เย่หวูเฉินถาม
ชายชรามองมาครู่หนึ่ง เขาสั่นศีรษะเบาๆและถอนหายใจ “เฮ้อ ร่างกายของเจ้าไม่อาจรองรับพลังได้ ยาที่ช่วยเพิ่มพลังชีวิตนี้ไม่อาจมีผลกับเจ้า มันรั่วไหลออกไปทั้งหมด ข้าจะลองใช้วิธีอื่นดู เจ้าพักให้สบายเถอะ อย่าได้กังวล สิ่งที่บรรบุรุษสืบทอดกันมาหลายชั่วรุ่นนั้นลึกซึ้งและกว้างขวาง แน่นอนว่าจะต้องมีทางรักษา” เขาตบไหล่ของเย่หวูเฉิน ปลอบให้เขาสบายใจ
“ลำบากท่านแล้ว”
ชายชรายิ้มขณะส่ายศีรษะและเดินออกไป เขาเดินผ่านเอ้อหยาที่เดินเข้ามาเงียบๆเพื่อเก็บถ้วยน้ำซุปออกไป นางไม่กล้ากล่าวคำพูดกับพวกเขาสักคำ
“เสวี่ยเอ๋อร์ อย่ากังวลเลย” เย่หวูเฉินเกรงว่าหนิงเสวี่ยจะถือเอาคำพูดของชายชรามาเป็นอารมณ์ เขากล่าวปลอบนาง
“ข้าไม่กังวล เพราะท่านพี่บอกแล้วว่าจะต้องรักษาได้” หนิงเสวี่ยยิ้มและปลอบเขากลับ
“ซานหวา ออกมานี่ พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว ระหว่างทางได้ยินว่าเจ้าเก็บคนจากโลกภายนอกกลับมาด้วย ให้พ่อของเจ้าดูหน่อยเร็วเข้า!”
น้ำเสียงหยาบหนาทำให้เย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยตกใจ ทั้งถ้อยคำจากปากยังทำให้ทั้งสองลอบขบขัน เสียงของเขาทำให้เย่หวูเฉินนึกถึงฮั่วเจิ้นเทียน ที่ต่างกันก็คือฮั่วเจิ้นเทียนมีน้ำเสียงใหญ่ตามธรรมชาติ แต่เสียงของคนผู้นี้แฝงด้วยพลังโอ่อ่าน่าประหลาดใจ เสียงที่เปล่งออกมาทำให้แก้วหูคนฟังสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างปกติ ผิวพรรณออกไปทางเข้มคล้ำ เสื้อผ้ามอมแมมมีรอยขาดหลายจุด หมวกฟางที่สวมอยู่ขาดเป็นรูใหญ่ และที่เท้าสวมด้วยรองเท้าไม้ เหมือนคนงานต่างเมืองที่ถูกส่งกลับบ้าน ที่ต่างกันคือเขาไม่ได้ถือค้อนเหล็กหรืออะไรทำนองนั้น แต่เป็นหมีดำตัวใหญ่กว่าเขาหลายเท่า แม้เขาจะลากหมีตัวใหญ่ขนาดนั้นมาด้วย แต่ท่าทางดูเหมือนเขาไม่ได้ออกแรง กระทั้งฝีเท้ายังไม่หนักขึ้นแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาลากปุยนุ่นอยู่
สตรีวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ๆก็มีลักษณะคล้ายกัน รูปร่างพอประมาณค่อนไปทางท้วมเล็กน้อย ผิวเข้มและสวมใส่ชุดที่หยาบกร้าน นางสวมหมวกฟางและรองเท้าไม้ แต่สิ่งที่อยู่ในมือนางกลับมากกว่า มีนกป่าหลายชนิด , ไก่ฟ้า , เป็ดป่า , และหมูป่า รวมๆแล้วมีสัตว์กว่า 7-8 สายพันธุ์ และหากมองสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าที่คอของสัตว์เหล่านั้น มีใบไม้เล็กๆเสียบอยู่
ชายกลางคนโยนหมีดำลงพื้นจนฝุ่นฟุ้ง จากนั้นเดินตรงเข้าไปในบ้านไปหากงลั่ว เขาผลักประตูเปิดออกและต้องตัวแข็ง
“สวัสดีท่านลุง ข้าคือคนจากโลกภายนอกที่พี่ซานเก็บกลับมา ส่วนนี่คือน้องสาวของข้า” เย่หวูเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มและค่อยๆมองสำรวจชายคนนี้ด้วยสายตา
ชายกลางคนมองปราดหนึ่งและหัวเราะ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าเป็นพวกเซ่อซ่าที่พูดจาไม่ระวังปาก น้องชายอย่าได้ถือสาเลย ข้าได้ยินว่าร่างกายของเจ้ามีปัญหา มาเถอะ ให้ข้าดูหน่อย”
ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหา ร่างของเขาก็ถูกถีบออก สตรีกลางคนกวาดสิ่งกีดขวางออกจากประตูแล้วก้าวเข้ามา มองที่เย่หวูเฉินด้วยความตื่นเต้น นางยิ้มและชื่นชม “ตายแล้วๆ! ดูเหมือนพวกเขาจะพูดไม่ผิด พ่อหนุ่มช่างเหลาจริงๆ ยิ่งมองก็ยิ่งน่าชม หล่อเหลายิ่งกว่าซานหวาของพวกเรา ตายแล้ว! แม่หนูผมขาวน่ารักเหลือเกิน…. พวกเจ้าเพิ่งมาถึงคงกำลังหิว พวกเจ้าอยากกินอะไรเดี๋ยวข้าจะไปทำมาให้ ฝีมือทำอาหารของข้ารับรองพวกเจ้าต้องติดใจ”
สตรีกล่าวด้วยความตื่นเต้นออกมาเป็นชุดๆ เย่หวูเฉินอ้าปากอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็มีโอกาสกล่าว “สวัสดีท่านป้า ข้ากำลังหิวอยู่พอดี”
ด้วยสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ เขาแทบไม่รับรู้ถึงความหิว อย่างไรก็ตามหนิงเสวี่ยสมควรหิ้วท้องหิวมานาน เนื้ออย่างเดียวที่ได้ทานคือเนื้อกระต่ายในวันนั้น
หญิงกลางคนเมื่อได้รับคำตอบน่าพอใจก็หัวเราะมีความสุข “ได้เลย ข้าจะไปทำมาให้เดี๋ยวนี้” นางไม่อาจทนรอและวิ่งออกไป
ชายกลางคนได้โอกาสเข้ามาในที่สุด เขายิ้มกล่าว “อย่าสนใจหญิงบ้าคนนั้นเลย….”
ป้าบ….มีบางอย่างกระแทกใส่หลังศีรษะ เป็นฝ่ามือและตามมาด้วยเสียงขุ่นเขียว “เมื่อกี้เจ้าว่าใครบ้า?”
ชายกลางคนรีบหันกลับไปขอโทษ จากนั้นหันกลับมามองที่เย่หวูเฉิน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วเขาจึงยิ้มกล่าว “เอ่อ แค่กๆ มาเถอะ ให้ข้าลองตรวจดูอาการของเจ้าเบื้องต้นก่อน ถึงข้าจะทำอะไรไม่ได้มากนักก็เถอะ”
โลกอันอิสระ , บริสุทธิ์ , กระตือรือร้นเต็มเปี่ยม , เอื้ออารีย์ , ผู้คนหลากหลายอารมณ์และน่าสนใจ ดูเหมือนชีวิตในอนาคตที่นี่คงจะน่าตื่นเต้นไม่น้อย เย่หวูเฉินคิดอยู่เงียบๆ
ไม่กี่วันถัดมา เย่หวูเฉินกับหนิงเสวี่ยได้รับการดูแลอย่างดีจากกงลั่ว ทว่าเขาไม่เคยเห็นคนที่ชื่อ ‘ซื่อหยา’ เลยสักครั้ง หลังจากที่ถามกงลั่วจึงทราบว่าซื่อหยาไปแถวภูเขาทางใต้เพื่อฝึกฝน เป็นเวลาหลายวันนางถึงจะกลับมาพร้อมกับย่า เย่หวูเฉินยังรู้อีกว่าเหล่าอาวุโสของที่นี่จะเข้มงวดกับรุ่นเยาว์ พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งอื่นแต่ไม่อาจละทิ้งการฝึกปรือ ทุกคนจะต้องฝึกฝนทักษะอย่างหนึ่งที่ไม่ทราบชื่อของมัน กงลั่วเป็นรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น
แท้จริงแล้วเป็นทักษะแบบใดกันแน่ ถึงทำให้ชายหนุ่มอายุ 20 กว่าปีบรรลุพลังขอบเขตสวรรค์ได้ ระดับพลังที่ทำให้ทุกคนต้องหวั่นกลัว เย่หวูเฉินครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าหากผู้คนในแดนสันโดษแห่งนี้ออกไปสู่โลกภายนอกและใช้พลังตนเอง พวกเขาย่อมเป็นขุมกำลังที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทวีปเทียนเฉิน