“หนานเอ๋อร์ ข้าหลับไปนานเท่าไหร่”
“…..สองปี นานมากที่เจ้านายไม่รู้สึกตัว” หนานเอ๋อร์กล่าวอย่างคับข้องใจ เสียงในหัวใจบอกกับนางว่า มีเพียงเจ้านายของนางเท่านั้นที่จะสามารถช่วยนางออกจากกระบี่ได้ หากเขาตกตาย นางจะต้องติดอยู่ในกระบี่ไปตลอดกาล ดังนั้นสองปีที่ผ่านมาไม่มีวันใดที่นางไม่หวาดกลัว
สองปี!?
ลมหายใจของเย่หวูเฉินพลันชะงัก ร่างกายกลายเป็นนิ่งแข็ง เขาไม่คิดเลยว่าตนจะติดอยู่ใต้หุบเหวมานานกว่าสองปี โลกแห่งนี้ย่อมไม่มีผู้ใด มันคือหุบเหวปลิดวิญญาณ ทั้งลึกลับ , โดดเดี่ยว และไม่คุ้นเคย หนิงเสวี่ยผู้อ่อนแอกลับต้องติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ใช้เวลาดูแลเขาเป็นเวลาถึงสองปี
สองปีที่นางต้องทนเงียบเหงาและหวาดกลัวอยู่ทุกขณะ นางตั้งตารอคอยให้เขาตื่นขึ้นมาทุกๆวัน…. หัวใจของเย่หวูเฉินเจ็บปวด เขาไม่รู้เลยว่านางต้องเจออะไรมาบ้าง และต้องดิ้นรนมากถึงเพียงใด เด็กหญิงตัวน้อยๆถึงสามารถช่วยเขาให้มีชีวิตอยู่รอดมาได้
“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเจ็บปวดอีก ไม่อีกแล้ว” เขาจ้องมองนาง กล่าวคำออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
เมื่อตกลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ แรงกระแทกย่อมทำลายอวัยวะภายในสิ้น หากเป็นคนทั่วไปย่อมตกตายทันที ทว่าร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาในยามนี้ กลับไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เขาเชื่อว่าอาการบาดเจ็บภายในสมควรหายดีแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังไร้พลังป้องกันตัวเอง เขาย่อมไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้นานถึงสองปี
แต่ว่า…. สิ่งใดกันที่ทำให้อาการบาดเจ็บภายในหายสนิท ทั้งยังทำให้ตลอดสองปีนี้เขายังไม่ตาย
หรือว่าจะเป็นพลังหวูเฉิน? ไม่สิ ไม่ใช่…. ขณะนี้ที่นอนนิ่งอยู่ เขาไม่อาจสัมผัสถึงพลังจิตปราณได้แม้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งร่างกายยังไม่หลงเหลือพลังใดๆ ย่อมไม่อาจดูดซับพลังจิตปราณแห่งสวรรค์และปฐพีได้อีก ตอนนั้นที่กลืนกินผลมังกรเพลิงฟ้า มันได้เผาผลาญพลังแฝงที่มีอยู่ทั้งหมด จึงทำให้หมดสิ้นพลัง ราวกับต้นหญ้าเล็กๆ ตราบใดที่สภาพแวดล้อมเหมาะสม แม้จะตัดต้นและใบออกไป แต่หากรากยังคงอยู่ มันย่อมแตกต้นใบได้อีกครั้ง ตรงกันข้ามหากไร้รากหยั่ง มันย่อมไม่อาจแตกต้นใบได้อีก
วันนั้นผลมังกรเพลิงฟ้าได้เผาผลาญพลังแฝงทั้งหมด และตอนที่เขาร่วงหล่นลงมา เขารีดเร้นพลังทั้งหมดเปลี่ยนเป็นธาตุลมเพื่อช่วยหนิงเสวี่ย จนไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวของพลัง
แม้ตอนนี้ร่างกายจะหายดี แต่เขาก็กลายเป็นคนธรรมดาที่ไร้ซึ่งพลัง
“เป็นสิ่งใดช่วยข้าไว้ หนานเอ๋อร์ เจ้ารู้รึเปล่า?” เย่หวูเฉินถามอ่อนแรง
“ข้ารู้ ข้ารู้” หนานเอ๋อร์ตอบกลับว่องไว นางไม่อาจทนรอที่จะบอกถึงการค้นพบครั้งนี้ “มันคือพลังแห่งชีวิต หลังจากที่เจ้านายสลบไป มักจะมีพลังแห่งชีวิตไหลเข้ามาในร่างของเจ้านายอยู่บ่อยๆ หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เจ้านายคงได้ตายไปนานแล้ว….”
“พลังแห่งชีวิต?”
ในบรรดาสามธาตุลิขิตชะตา ชีวิต , มรณะ และจิตใจ พลังแห่งชีวิตนั้นอ่อนโยนและทรงพลังที่สุด ตรงกันข้ามกับธาตุมรณะ มันสามารถขับไล่ความตายและมอบชีวิตให้ได้ ด้วยการที่สามารถหักล้างกับธาตุมรณะ ธาตุชีวิตจึงไม่มีพลังโจมตีใดๆ แต่กระนั้น อำนาจการรักษากลับเหนือล้ำจนธาตุแสงไม่อาจเทียบเคียง และกล่าวกันว่าหากธาตุชีวิตมีพลังแกร่งกล้าถึงขีดสุด มันจะทำได้แม้กระทั่งการชุบชีวิต
“แล้วมันมาจากไหน?” เย่หวูเฉินถาม
“ข้าไม่รู้ หลังจากที่เจ้านายสลบไป ดวงตาของข้าก็มืดมิด ข้าไม่อาจเห็นสิ่งใดได้ แต่ว่า พลังแห่งชีวิตนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา มันจะมาเพียงบางครั้งเท่านั้น บางทีก็วันหนึ่งหลายครั้ง บางทีก็หลายวันครั้งหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่ามันมาจากไหน” หนานเอ๋อร์เองก็สงสัยเช่นกัน
“ท่านพี่….ท่านพี่….”
หนิงเสวี่ยที่ร้องไห้จนหมดสติละเมอพึมพำ ดูเหมือนกำลังฝันอยู่ มือสองข้างกำแน่น นางค่อยๆลืมตาหมอกมัว สบสายตากับเย่หวูเฉิน
“เสวี่ยเอ๋อร์….” มุมปากของเย่หวูเฉินโค้งเล็กน้อย กล่าวเสียงแหบแห้งอ่อนโยน ราวสายลมพัดผ่านแผ่วเบา
ร้องไห้จนแทบสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อหนิงเสวี่ยลืมตา นางกลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะเป็นเพียงความฝัน และพอตื่นขึ้นมามันจะหายไป เมื่อนางเห็นใบหน้าของพี่ชาย นางยิ้มโง่งม จากนั้นพิงร่างลงบนอก ร้องไห้และยิ้ม “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านจะต้องตื่นขึ้นมาในไม่ช้า….”
เย่หวูเฉินปรารถนายกมือมาลูบปลอบ ทว่าร่างกายไม่ฟังคำสั่ง หลังจากทุ่มความพยายาม เขาก็รู้สึกวิงเวียน เขาเกรงว่าจะหมดสติอีกครั้งจึงเลิกดิ้นรน ในใจหวนนึกถึงสัมผัสยามกอดนาง เขายิ้มและกล่าว “ไหนเลยข้าจะทิ้งเสวี่ยเอ๋อร์ได้?”
ผ่านไปสองปี หนิงเสวี่ยที่อยู่ต่อหน้า กลับไม่เปลี่ยนไป นางไม่เติบโตขึ้นแม้แต่น้อย
“อื้ม…. ในที่สุดท่านพี่ก็ตื่น ดีจริงๆ จากนี้ไปพวกเราจะไม่แยกจากกัน ตกลงมั้ย?” หนิงเสวี่ยกล่าวล่องลอย น้ำตายังคงไม่หยุดไหล มือของนางจับเสื้อของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ด้วยกลัวว่าความฝันแสนสุขนี้จะหายไป
“ตกลง…. ข้าจะแยกจากเสวี่ยเอ๋อร์ได้อย่างไร? เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าคงลำบากมามาก” เขากล่าวอย่างคับใจ
หนิงเสวี่ยออกแรงสั่นศีรษะ “ไม่ลำบากเลย ตราบใดที่ท่านพี่ดีขึ้น ข้าไม่เคยรู้สึกลำบาก”
ถ้อยคำที่ออกจากปาก ไม่มีแววโกหกแม้ครึ่งคำ ดวงตาม่านน้ำมีหลายสิ่งมากมาย ทำให้เย่หวูเฉินสงสารจับใจ เขาเปิดปากกล่าว “ข้ากระหายน้ำ”
คนที่ร่างกายแทบเป็นอัมพาตโดยสมบูรณ์ บางครั้งก็เกิดความอยากน้ำโดยสัญชาตญาณ หนิงเสวี่ยรีบรับคำ หยิบใบบัวแล้ววิ่งไปที่ริมธารที่ไม่ไกล น้ำภูเขาไม่ทราบว่ามาจากแห่งใด มันใสสะอาดอย่างยิ่ง
เนื่องจากรีบร้อนวิ่งเกินไป หนิงเสวี่ยร้องอุทานขณะสะดุดล้ม นางรีบยืนขึ้นทันที เข้าไปที่ริมธารโดยไว ประคองใบบัวค่อยๆตักน้ำ จากนั้นหันกายกลับมา ยิ้มให้เขาอ่อนโยน ประคองใบบัวค่อยๆเดินเข้าหา ระหว่างที่นางเดินมา น้ำตาได้หยดลงมาเงียบๆ ตกลงในน้ำสะอาดบนใบบัว
“ท่านพี่ ดื่มน้ำ” หนิงเสวี่ยย่อกายลงอยู่ข้างเขา แตะขอบใบบัวกับขอบปากเขา เอียงมือเล็กน้อย น้ำใสค่อยๆไหลเข้าสู่ปาก เมื่อเขาตื่นขึ้นมานางรู้สึกสุขใจแท้จริง ความเจ็บปวดสลายไปในอากาศ ยามนี้ความทรมานทั้งปวง ราวกับเมฆหมอกทะมึนถูกแหวก หลุดพ้นจากความรู้สึกมืดมน นางได้พบว่าหลังการสูญเสีย เพียงได้คุยกับเขาไม่กี่คำก็นับเป็นความสุขที่สุด
หากตกลงสู่ก้นหุบเหวปลิดวิญญาณจะไม่อาจกลับขึ้นไปเบื้องบนได้ ทว่าหนิงเสวี่ยไม่มีความกลัวหรือเสียใจแม้นิดน้อย ได้เห็นเขามีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ ได้อยู่สองคนลำพังในโลกของพวกตน ได้ใช้ชีวิตอิสระเสรี ล้วนเป็นความสุขที่นางฝันถึงตลอดมา
น้ำเย็นไหลลงสู่ปาก ไหลผ่านลำคอลงสู่ร่าง น้ำเย็นกลับนำพาความอบอุ่นสบาย มันแผ่กระจายไปทั่วร่าง เริ่มจากอวัยวะภายในแผ่ลามออกมาที่แขนขา ในสมองค่อยๆมีเสียงสะดุ้งขึ้น
“นี่แหละ! นี่แหละ! นี่คือพลังที่รักษาเจ้านาย!” หนานเอ๋อร์พลันส่งเสียงแตกตื่น น้ำที่ไหลเข้าไปในร่างของเย่หวูเฉิน ตลอดสองปีที่ผ่านมามันค่อยๆฟื้นฟูเขาด้วยพลังแห่งชีวิต นางสามารถมองเห็นเฉพาะสิ่งที่เขามองเห็น เมื่อโลกของเย่หวูเฉินมืดลง โลกของหนานเอ๋อร์ก็มืดตาม เวลานี้ ในที่สุดก็ได้รู้ว่าพลังชีวิตที่ลึกลับนั้น มาจากน้ำในธารที่อยู่ในมือหนิงเสวี่ย
เย่หวูเฉินดื่มน้ำลงไปจนหมด สัมผัสความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เขากล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าอยากดื่มอีก”
“อื้ม!” หนิงเสวี่ยพยักหน้าสุดแรง เช็ดน้ำตาบนใบหน้าด้วยแขนเสื้อ นางรีบวิ่งกลับไปที่ลำธาร แล้วตักน้ำเดินกลับมา ป้อนให้เขาดื่มระมัดระวัง
ครั้งนี้ กลับมีเพียงรสของน้ำ
เมื่อดื่มน้ำจนหมด เย่หวูเฉินพ่นลมหายใจระบายโล่งใจ ร่างกายรู้สึกสบายขึ้นมาก ในสมองมีเสียงหนานเอ๋อร์งุนงง “เอ๋? แปลกจริง เมื่อครู่นี้ยังมีอยู่ไม่ผิดแน่ เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่มี? แปลก แปลกจริงๆ….”
“มันไม่ได้มาจากน้ำ” เย่หวูเฉินตอบในห้วงความคิด “เป็นน้ำตาของหนิงเสวี่ย”
“เอ๋?”
หนานเอ๋อร์บอกเขาว่าพลังชีวิตอันลึกลับ บางครั้งวันหนึ่งมาหลายครั้ง บางครั้งหลายวันมาครั้งหนึ่ง เขารู้ว่าพลังดังกล่าวย่อมไม่ใช่มาจากน้ำในลำธาร เพราะเป็นไปไม่ได้ที่หนิงเสวี่ยจะปล่อยให้เขาอดน้ำหลายวัน แต่น้ำจากธารสองครั้งมีจุดแตกต่างกันก็คือ….ครั้งแรกมีน้ำตาของหนิงเสวี่ยหยดลง
สองปี พลังชีวิตที่ไม่เคยขาด หมายความว่าเมื่อนางอยู่ต่อหน้าเขาแต่ละครั้ง ในขณะที่ป้อนน้ำให้เขาดื่ม นางจะต้องร้องไห้อยู่เงียบงัน ร้องไห้มาตลอดสองปี….บางครั้งน้ำตาจะหยดลงน้ำโดยที่นางไม่รู้ตัว และมันได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
นางเหมือนเทพธิดาตัวน้อยที่สวรรค์ประทานมาให้กับเขา ช่วยดึงเขาขึ้นจากขอบเหวความตายครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อที่จะช่วยเขาในครั้งแรก นางออกไปขโมยไข่อสูรสวรรค์ ใช้มันช่วยเขาทะลวงปราณโกลาหลขั้นที่สอง จนเขารอดพ้นหายนะมาได้ และนี่ก็เป็นอีกครั้ง นางยืนกรานดูแลเขาตลอดสองปี ด้วยน้ำตาของนาง จึงได้ช่วยเขาให้รอดพ้นจากชะตาความตายอีกครั้ง
นางคือเทพธิดาที่แท้จริง ในขณะสุดท้ายของชีวิตมังกรเพลิงฟ้า มันเปล่งเสียงส่งผ่านมายังจิตใจของเย่หวูเฉินจากระยะไกลว่า “เทพแห่งชีวิตและแสงสว่าง”
เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าติดค้างเจ้านัก ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจชดใช้ได้หมด มีเพียงสิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือไม่ทอดทิ้งเจ้าตลอดกาล ต่อให้ข้าไร้พลังปกป้อง ข้าก็จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเจ้าได้….
“ท่านพี่ ท่านยังกระหายอยู่หรือเปล่า?” หนิงเสวี่ยวางใบบัวลง ดวงตาจ้องเขาเป็นประกาย เพียงได้มองเขา นางก็รู้สึกพอใจ
ร่างกายคืนความรับรู้สัมผัสขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนพลังจะฟื้นคืนมาเล็กน้อยเช่นกัน ปากเขาโค้งเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน “ไม่แล้วล่ะ”