ที่นี่คือที่ใด….
ข้าตายไปแล้ว? ที่นี่คือนรกหรือสวรรค์….หรือข้ายังไม่ตาย….
“ท่านพี่ ท่านพี่! กอดข้าที….” หนิงเสวี่ยผวาเข้ามาสู่อ้อมแขน กอดชิดกับร่างแทบจะเบียดเป็นเนื้อเดียว นัยน์ตาคู่นั้นพร่าไปด้วยน้ำตา “ข้าจะอยู่กับท่านพี่ไม่ว่าที่ใด ต่อให้ต้องตาย เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่กลัว” เขาลูบใบหน้าน้อยๆของนางพลางกล่าวตำหนิ “ไร้สาระ พี่ชายเจ้าจะปล่อยให้เจ้าตายได้อย่างไร….”
เสวี่ยเอ๋อร์ในอ้อมแขนพลันสลายหายไป ขณะที่กำลังมองโง่งม ผ้าพันคอสีขาวหิมะก็พันนุ่มนวลรอบลำคอ ปรากฎเรือนร่างงดงามของฮั่วฉุ่ยโหรว นางพันผ้าพันคอให้เขาและกล่าวอย่างนุ่มนวล “สามี อากาศหนาวนักกลับใส่เสื้อผ้าบาง ท่านสวมผ้าพันคอนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะป่วยไข้ได้…. สามี ให้ข้าได้ปักเสื้อคลุมให้ท่านได้ไหม? พอท่านกลับมาจะได้สวมให้ท่าน….”
เขากลัวว่านี่จะเป็นความฝัน ยื่นมือไขว่คว้าเพื่อกอดนาง ทว่าเมื่อมือเข้าใกล้ กลับคว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่า ร่างของฮั่วฉุ่ยโหรวค่อยๆจางลงและหายไป….
สองแขนโอบกอดจากเบื้องหลัง เย่ฉุ่ยเหยาแนบร่างชิดกับเขา นางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ชั่วชีวิตของข้าจะเป็นของเจ้าเพียงผู้เดียว จะแอบอยู่ข้างหลังเจ้าเงียบๆ ผู้อื่นผู้ใดข้าไม่สนใจ…. จะศีลธรรมจรรยาใดๆข้าก็ไม่สน…. เจ้ากลับมาได้ไหม?”
เย่ฉุ่ยเหยาค่อยๆหายไปช้าๆ ปรากฎร่างน้อยๆขึ้นมา ทงซินยืนมองโหยหาอยู่ห่างไกล รอคอยอยู่ด้วยความเจ็บปวด ดวงตาดำทมิฬคู่นั้น เก้าในสิบส่วนฉายแววทรมาน อีกหนึ่งส่วนเลือนรางด้วยความหวัง ด้วยสิ่งที่ค้ำจุนนางให้ยังคงรอ…. หากเขาไม่ได้ตะโกนถ้อยคำสุดท้ายว่า “รอข้ากลับมา” เวลานี้ไม่ทราบว่านางจะกลายเป็นตัวตนแบบไหน
“ทงซิน….” เย่หวูเฉินยื่นแขนออก หวังเข้าไปบอกกล่าวอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่ว่าเขาจะขยับไขว่คว้าเพียงใด ก็ไม่อาจเคลื่อนกายเข้าไปใกล้
“หวูเฉิน ท่านคือบุรุษคนแรกของข้า และข้าเป็นสตรีคนแรกของท่าน…. ท่านช่างโหดร้ายเหลือเกินที่ทอดทิ้งข้าไว้….” ทงซินหายไป เหยียนจื่อเมิ่งค่อยๆปรากฎร่างยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมของทงซิน สายตาทั้งสองสบกัน เรือนร่างนั้นยังคงงดงามดุจภาพความฝัน
“น้องชายน้อย หากเจ้าคิดถึงพี่หญิง จงไปหาข้าที่วังสตรีหิมะ พี่สาวจะรอคอยเจ้า รอจนผมเผ้ากลายเป็นสีขาว….” เย่หวูเฉินหันร่างและพบกับดวงหน้าทรงเสน่ห์ของเสวี่ยเฟยเยี่ยน เรือนร่างของนางทุกสัดส่วนเปี่ยมด้วยเสน่ห์ ถ้อยคำที่นางสลักไว้บนพื้นน้ำแข็ง ปรากฎขึ้นบ่อยครั้งในหัวใจ บางครั้งถ้อยคำก็สะท้อนก้องดังในความฝัน
เสวี่ยเอ๋อร์ , โหรวโหรว , พี่หญิง , ทงซิน , จื่อเมิ่ง และ….มารเสน่ห์….
ทุกสิ่งพลันเลือนหาย โลกทั้งใบกลายเป็นมืดลงอีกครั้ง
ภาพลวงตา…. เหตุใดถึงเกิดภาพลวงตา…. หรือว่าข้าตายไปแล้ว? ไม่…. ข้าจะตายไม่ได้ , ข้าจะตายได้ยังไง , ข้าจะตายได้ยังไง….
สติที่พึ่งตื่นขึ้น กลับกลายเป็นความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ เขาสูญสิ้นพลังทั้งหมดไป แต่ต่อให้ไร้เรี่ยวแรงก็จะฝืนดิ้นรน ขนตาของเขาเริ่มสั่นระริก พยายามยิ่งยวดเพื่อจะลืมตาขึ้น
สติขาดหายไปอีกครั้ง ความทรงจำพลันทะลักออกมา….บนใบหน้าของหนิงเสวี่ย ปรากฎรอยฝ่ามือจ้ำแดง ในเวลานั้น เขาคลุ้มคลั่งไปด้วยโทสะ แทบไม่หลงเหลือเหตุผลใดๆ ในใจไม่เคยพวยพุ่งด้วยปรารถนาสังหารถึงเพียงนั้น ดังนั้น เขาจึงสวมวิญญาณปีศาจ ชำแรกร่างของผู้ที่ทำร้ายหนิงเสวี่ยด้วยมือตน เป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นองเลือดในวันนั้น….
ภาพในความทรงจำ ทีละคนย่อยยับลงพื้น โลหิตสายสายแขนขาปลิวกระจาย สุ้มเสียงที่ได้ยินในเวลานั้น ประดุจดั่งเทพปีศาจที่บดขยี้ทารุณ ดื่มโลหิตด้วยกระบี่ไร้ใจ…. ในวันนั้น ทุกฉากเหตุการณ์ , ทุกรายละเอียดต่างๆ ได้ประทับฝังไว้ในจิตใจ สุดท้าย เขากับหนิงเสวี่ยหมดสิ้นพลังดิ้นรน และร่วงหล่นลงสู่หุบเหวปลิดวิญญาณ….
เสวี่ยเอ๋อร์….
อาณาจักรต้าฟง….
เสวี่ยเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์…. นางเป็นยังไงบ้าง? นางจะต้องไม่เป็นอะไร เพราะว่าข้า….
แต่เดิมที่คิดว่าตนตกตาย ยามนี้พลันได้สติตื่นขึ้น ดั่งรุ่งอรุณแห่งความหวัง เขาปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อ จึงดิ้นรนอีกครั้ง ขับไล่ความมืดที่อยู่รอบกาย เวลาค่อยๆเคลื่อนผ่าน ทุกวินาทีคือความเจ็บปวดยาวนาน ราวกับว่า เวลาผ่านไปเป็นปี , สิบปี และร้อยปี…. ในที่สุด แสงสว่างก็ซึมแทรกเข้ามา เปลือกตาขยับเปิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่ปิดไปกว่าสองปีไม่อาจสู้แสงได้ในทันที เขาหลับตาลงเป็นเวลานาน จึงค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ราวกับไม่ใช่ร่างกายตน ทั้งอ่อนแอและไร้ความรู้สึก เพียงขยับได้เพียงเล็กน้อย กระทั่งจะขยับแขนยังไม่อาจกระทำ สมองสับสนปั่นป่วน ลำคอแห้งผากราวกับถูกไฟเผา มีเพียงสายตาที่เริ่มมองเห็นได้ชัดเจน
ในหูได้ยินเสียงอึงอล ท้องฟ้าสีดำเป็นหนึ่งแผ่นผืน ราวกับว่ามองผ่านพลังหวูเฉินในยามกลางคืน ทว่าโดยรอบส่องสว่างอย่างประหลาด สายตาค่อยๆมองไปรอบๆ ที่นี่เป็นโลกที่แปลก , โดยรอบเป็นแผ่นผืนสีเขียว ดอกไม้ไม่ทราบชนิดกำลังเบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมบางจรุงใจ แผ่สัมผัสแตะจมูกด้วยอากาศสดชื่น
ข้างกายของเขา มีสาวน้อยผมขาวนอนชิดอยู่อย่างสงบ นางขดร่างราวกับแมวหิมะ มือน้อยๆจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น คล้ายว่านางขดร่างเพราะความหนาว จับชายเสื้อเพราะความกลัว มุมหางตาของเย่หวูเฉินเปียกชื้น เมื่อตื่นจากฝัน เขาพลันรู้จักว่าความสุขนั้นคืออะไร…. หลังผ่านวิบัติมา ยามแรกได้กำเนิดใหม่ สิ่งแรกที่เห็นคือบุคคลที่พร้อมยอมตายอยู่ข้างกาย หัวใจจึงอบอุ่นไปด้วยความสุข
เขาอยากยกแขนลูบใบหน้านาง แต่แขนนั้นราวกับหนักนับล้านชั่ง ไม่ว่าพยายามเพียงใดก็ไม่อาจยกขึ้น ตอนนี้เขาอ่อนแอราวต้นหญ้าที่ผ่านพายุบ้าคลั่ง เขาเลิกล้มความคิด เพียงมองนางอย่างอ่อนโยน และเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เสวี่ยเอ๋อร์….”
น้ำเสียงแหบแห้งจนเขาเองยังต้องตระหนก เขาไม่อาจเชื่อลงว่านี่คือเสียงของเขา น้ำเสียงราวกับคนชราที่ป่วยไข้รุนแรง แหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน ทว่าน้ำเสียงอ่อนแอนี้ กลับทำให้หนิงเสวี่ยที่หลับอยู่ราวกับถูกไฟดูด นางพลันผวาลืมตา ดีดกายลุกขึ้นนั่ง สองตามองที่เย่หวูเฉิน
หนิงเสวี่ยตะลึงค้างโง่งม ราวกับวิญญาณออกจากร่าง ทันใดนั้นในสายตาที่สั่นไหว เย่หวูเฉินได้ยิ้มให้กับนาง เผยอารมณ์แห่งความผูกพันล้ำลึก….
“ท่านพี่!!” นี่ไม่ใช่ตาฝาด อีกทั้งไม่ใช่ความฝัน ทุกความรู้สึกอัดอั้นในใจ นางไม่ทราบระบายออกมาแค่ไหน นางฟุบลงบนร่างของเขา ใช้ทุกเรี่ยวแรงในการร้องไห้ สะอึกสะอื้นเหมือนนกน้อย เสียงร้องกลบเสียงน้ำไหล สายลมกระทั่งนิ่งงัน ราวกับว่าสวรรค์และปฐพีหยุดฟังสาวน้อยร้องไห้
ตลอดเวลาสองปีที่ผ่าน นางเพียงร้องไห้เงียบๆเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หวูเฉิน เวลาอื่นนอกจากนั้น ไม่ว่านางจะเจ็บปวดหรือว่าหวาดกลัวเพียงใด นางก็ไม่ยอมหลั่งน้ำตา เพราะนางจะต้องช่วยพี่ชายให้ตื่น ดังนั้นจึงไม่อาจอ่อนแอ นางอ้อนวอนภาวนาให้เขาตื่นขึ้นมา หวาดกลัวอยู่ลึกในใจว่าวันหนึ่งเขาจะจากนางไปเงียบๆตลอดกาล เมื่อนางตื่นขึ้นจากฝันร้ายแต่ละครั้ง นางจะกอดเขาเอาไว้แน่น
ร่างกายนางยังคงเป็นเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ ในโลกประหลาดแห่งนี้นางไร้ผู้ใดให้พึ่งพิง หากไม่ใช่เพราะความหวังที่คอยค้ำจุน เวลาสองปีคงเพียงพอทำให้นางยอมแพ้
เขาตื่นขึ้นในที่สุด นางกอดเขาขณะร่ำไห้ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดหลั่งไหลออกมา คับข้องหัวใจและหวาดกลัว ร้องจนแทบแผ่นดินถล่ม ร้องจนหมดคำกล่าว หากใครเห็นอาจต้องกังวล ว่านางจะร้องไห้จนน้ำตาไหลออกมาเป็นสายเลือด….
เสียงร้องไห้จับจิตของเย่หวูเฉิน มีหลายสิ่งในน้ำเสียงนั้น หัวใจนางทุกข์ทรมานมามากเพียงใด เขามองหนิงเสวี่ยเงียบๆและฟังเสียงนาง เขาขอบคุณสวรรค์ที่ละเว้นความตายให้ หนิงเสวี่ยจึงได้ร้องไห้ระบายความทุกข์ออกมา
ในที่สุด นางร้องไห้จนเหน็ดเหนื่อย นางสลบไปขณะยังสะอื้น มือน้อยๆสองข้างจับเสื้อของเขาไว้ ดวงหน้าเล็กๆอาบด้วยน้ำตา นำพาผู้พบเห็นให้รู้สึกสงสารจับใจ
เย่หวูเฉินมองนางอย่างอ่อนโยน เมื่อเขามองที่เสื้อผ้าของตัวเอง ก็พบว่ายังคงเป็นชุดขาวตัวนั้น แม้มันเก่าโทรมแต่ยังคงสะอาด ราวกับว่าพึ่งถูกซักมา
‘หรือว่าข้าจะหลับไปนานมาก?’ เขาคิดอยู่ในใจ เพราะช่วงที่ผ่านมาเขาย่อมนอนอยู่เฉยๆ หากผ่านช่วงเวลาสั้นๆเสื้อผ้าของเขาจะเก่าลงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
“ฮือ~~เจ้านาย ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว ฮือ วันนั้นที่ท่านกระโดดลงมา หนานเอ๋อร์กลัวแทบตาย ถ้าเจ้านายตายไปหนานเอ๋อร์จะทำยังไง ฮืออ….” ในจิตใจของเย่หวูเฉิน มีเสียงของหนานเอ๋อร์ดังขึ้น เย่หวูเฉินกล่าวปลอบนาง “อย่าเสียใจเลยหนานเอ๋อร์ ข้าตื่นแล้วย่อมไม่เป็นไร เจ้านายของเจ้าย่อมไม่ตายง่ายๆ”
ตกจากความสูงระดับนั้น ร่วงหล่นลงพื้นด้วยแรงปะทะหนักหน่วง กลับยังไม่ตกตาย เขาอดไม่ได้ต้องถอนหายใจให้กับร่างกายและพลังชีวิตตนเอง
“อื้ม ข้ารู้…. เจ้านายจะต้องไม่ตายง่ายๆ ไม่แน่นอน” หนานเอ๋อร์เปล่งเสียงยินดี