หนิงเสวี่ยจ้องมองโง่งมไปยังทิศที่ทงซินบินลับไป เป็นเวลานานที่นางไม่ทราบว่าจะทำสิ่งใด ความง่วงเมื่อครู่นี้ได้หายไปสิ้น นางห่อไหล่ขดตัวซุกศีรษะอยู่ระหว่างเข่า นับเสียงหัวใจเต้นอย่างเงียบงัน รอคอยให้พี่ชายกับทงซินกลับมา เป็นเวลานานมากแล้วนับจากครั้งล่าสุดที่นางได้อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ความรู้สึกนี้ทำให้นางไม่สบายใจและหวาดกลัว
หลังจากที่ทงซินจากไปได้พักหนึ่ง เสียงฝีเท้าสนั่นดังเข้ามาใกล้หนิงเสวี่ย นางเงยศีรษะขึ้นมอง และพบว่าเป็นกลุ่มคนในชุดเกราะอ่อน ถือกระบี่อยู่ในมือ แต่งกายในชุดที่เหมือนกัน ตรงอกปักอักษร “ฟง” ขนาดใหญ่ และที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา เป็นสตรีที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรา แต่ลักษณะดูก้าวร้าว นางมองมาที่หนิงเสวี่ยโดยไม่กระพริบตา ใบหน้าเผยแววประหลาดใจและยินดี
“พวก….พวกท่านเป็นใคร?” หนิงเสวี่ยถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว หัวใจสับสนด้วยเงาทะมึน
“องค์หญิง สาวน้อยคนนี้ดูเหมือนจะเป็น….” องครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ข้างนางกล่าวเสียงต่ำ
“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบอก!” ฟงรู่หัวเราะ “นี่คือสาวน้อยผมขาวที่อยู่กับเย่หวูเฉิน มีลักษณะโดดเด่นเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีทางลืม… นับว่าข้าคิดถูก พวกมันยังไปได้ไม่ไกลนัก ตอนนี้พวกมันจะต้องยังอยู่ในบริเวณนี้ เร็วเข้ารีบตามหาพวกมัน! ส่วนสำหรับสาวน้อยผู้นี้…”
ฟงรู่ก้มกายลงคว้าคอเสื้อของหนิงเสวี่ยแล้วยกขึ้นมา หนิงเสวี่ยหวาดกลัวจนหน้าซีด นางใช้เรี่ยวแรงที่มีทุบกระหน่ำที่แขนของฟงรู่ “ปล่อยข้านะ…. ปล่อยข้า…. ท่านจะทำอะไร… ปล่อยข้า….”
ฟงรู่ไม่สนใจการดิ้นรนของหนิงเสวี่ย นางกล่าวอย่างพออกพอใจ “สาวน้อยคนนี้ ข้าจะพานางกลับไปก่อน พวกเจ้าจงค้นหาบริเวณนี้โดยรอบต่อ หากพวกเจ้าพบพวกมัน จงจับตัวมา…. แต่เย่หวูเฉินไม่ได้อ่อนแอ หากพวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะมันได้ จงบอกกับมันว่า หากอยากช่วยสาวน้อยผมขาวผู้นี้ ให้มันกลับไปที่ราชวัง เฮอะ! ถึงขนาดกล้าทำร้ายพี่ชายข้า และยังจับตัวพระบิดาเป็นตัวประกัน”
นางหิ้วหนิงเสวี่ยด้วยสองแขน พอใจอย่างยิ่งขณะโดดขึ้นบนหลังม้าและกลับไป ตระกูลฟงต้องทรมานจากการถูกหยามครั้งใหญ่ แต่นางทำได้เพียงมองเย่หวูเฉินหลบหนีจากไป หากแต่ในเวลานี้ ในที่สุดนางก็ได้สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ นางพลันรู้สึกว่าความพยายามของนางไม่ได้สูญเปล่า
“ท่านพี่~~ ท่านพี่!!” หนิงเสวี่ยตะโกนร้องสุดเสียง ภาวนาให้พี่ชายนางโผล่ออกมาอยู่เบื้องหน้า
ท่านพี่~~….
ฟงรู่ไม่รู้ตัวเลยว่านางได้เฉียดใกล้ประตูนรกแค่ไหน หากไม่ใช่เพราะการผลิกผันที่สวรรค์ประทานพร นางคงได้ตกตายมีสภาพศพไม่ครบสมบูรณ์ด้วยเพราะทงซิน แต่นับว่าสวรรค์ประทานพรโดยแท้ เพราะว่าคนผู้นั้น….ปรากฎกายออกมาจากฟากฟ้า!
ทงซินหยุดบินในที่สุด เพราะคนผู้นั้นที่ใช้ไอปราณติดตรึงร่างทงซินเป็นเป้าหมาย ยามนี้มันได้อยู่เบื้องหน้านาง คนทั้งสองต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอย่างเงียบงัน
เป็นชายกลางคนร่างกายขนาดสูงใหญ่ ความสูงราวสองเมตร ไหล่กว้างผึ่งผาย ใบหน้าหยาบกร้าน สวมใส่เกราะม่วงที่สะท้อนแสงเย็น แขนหนากำยำ ที่เท้าสวมใส่รองเท้าทองคำที่หุ้มเหนือข้อเท้า ยืนอย่างผ่าเผยประจัญหน้ากับทงซิน สายตาขยับไหวด้วยความงุนงงและแปลกใจ หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาคู่นั้นเผยแววดีใจ มันก้าวมาเบื้องหน้าคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น สองมือประสานคารวะและคำนับต่อทงซิน “องค์หญิง ในที่สุดข้าก็พบท่าน… องค์หญิงเฮยเย่ บ่าวของท่านลู่เทียนผู้นี้ขอคารวะต่อท่าน องค์หญิงเฮยเย่!”
เปรี้ยง!
เสียงสนั่นสะท้านเสียดโสตทำลายความเงียบ แสงสีแดงพุ่งตรงไปที่บุรุษกำยำนามว่า “ลู่เทียน” ลู่เทียนเงยศีรษะขึ้น ใช้แขนป้องกัน…. เสียง “เปรี้ยง” แตกบิดเบือนบริเวณโดยรอบ ลู่เทียนกระโดดถอยไปด้านหลัง เกราะบนแขนขวาเกิดรอยเว้าแหว่งขนาดใหญ่ และในมือทงซินถือกริชเทพพิโรธที่สั่นระริกอยู่เล็กน้อย
ลู่เทียนขมวดคิ้วแน่น ก้มศีรษะแล้วกล่าว “ไม่ทราบว่าบ่าวได้ทำสิ่งใดผิดไป องค์หญิงเฮยเย่ถึงได้ต้องการชีวิตข้า ยิ่งกว่านั้น… องค์หญิง ร่างของท่านไม่เพียงหดเล็กลง แต่พลังของท่านยังลดทอนลงเป็นอย่างมาก แล้วองค์หญิงไป่เย่อยู่ที่ใด? เหตุในนางถึงไม่อยู่กับท่าน? ต่อให้ร่างกายท่านเปลี่ยนไปอย่างมาก แต่ข้าก็สามารถจดจำพลังที่ใต้สวรรค์นี้มีเพียงองค์หญิงที่ใช้ได้”
“กริชเทพพิโรธที่มีเพียงองค์หญิงที่สามารถควบคุม ข้าคือลู่เทียน หนึ่งในแปดเทพขุนพลใต้บัญชาองค์เทพจักรพรรดิ ลู่เทียนแห่งทิศบูรพา ท่านจำข้าไม่ได้หรือ องค์หญิง?”
ทงซินไม่เข้าใจที่เขาพูดโดยสิ้นเชิง นางค่อยๆยกกริชเทพพิโรธในมือขึ้น เคลื่อนพลังทั่วร่างแล้วระเบิดออก บุรุษผู้นั้นผวาอย่างยิ่ง นางไม่ยั้งมือต่อเขาแม้เพียงนิดน้อย… ราวกับนางต้องการกำจัดเขาให้สิ้นซาก ซึ่งโอกาสที่จะทำได้สำเร็จนั้นยังไม่แน่นอน
ไอปราณมรณะบ้าคลั่งแผ่ท่วมจนทุกอย่างหยุดนิ่ง ลู่เทียนเห็นดวงตาทงซินฉายแววเจตนาฆ่าฟันอันไม่คุ้นเคย เขาถอนหายใจเฮือกยาว “องค์เทพจักรพรรดิกล่าวได้ถูกต้อง เพราะไม่ได้กลับอาณาจักรเทพเป็นเวลายาวนาน ท่านสมควรได้รับทุกข์ทรมานจากคำสาปของทวีปแห่งนี้ ไร้ซึ่งพลังที่ท่านเคยมี และสูญเสียความทรงจำ เพื่อหลีกเลี่ยงคำสาปโหดร้าย อาณาจักรเทพอนุญาตให้หนึ่งคนอยู่บนทวีปนี้ได้หนึ่งวันในทุกสามปี และตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยบัญชาขององค์เทพจักรพรรดิที่ให้ตามหาองค์หญิงเฮยเย่และองค์หญิงไป่เย่ ทุกๆสามปีจึงมีบัญชาให้หนึ่งคนลงมาที่ทวีปเทียนเฉิน แต่ไม่มีผู้ใดเคยได้รับข่าวคราวใดๆ วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้พบองค์หญิงเฮยเย่… ได้โปรดมากับข้า เมื่อท่านกลับไปยังอาณาจักรเทพ องค์เทพจักรพรรดิย่อมมีวิธีรักษาองค์หญิง”
เฟี้ยว ~~
เส้นแสงสีแดงสาดใส่ราวอสรพิษฉกเล็งไปที่ดวงตา ลู่เทียนกระพริบดวงตาพยัฆค์และคำราม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้โปรดอภัยที่ข้าล่วงเกิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้ ข้าก็จะต้องพาองค์หญิงกลับไปให้จงได้!”
…………………………………
ห่างไกลออกไปที่ริมลำธาร บุรุษและสตรีลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ทั้งสองไม่สนใจเรื่องใด เรือนร่างของเย่ฉุ่ยเหยาผู้บอบบาง หลังถูกจู่โจมและสนองรับอยู่หลายครั้งในที่สุดนางก็ยอมแพ้ เหน็ดเหนื่อยจนมือเท้าไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อหอมหวาน นวลเนื้อตรงอกขาวราวกับงาช้าง มีรอยแดงบางประปราย แต่งเติมด้วยเม็ดเหงื่อพราว ตัดกับเส้นผมยาวที่สยายยุ่งเหยิง ด้วยท่วงท่าที่อ้อนแอ้นเย้ายวน เผยจริตจะก้านเจ้าชู้คลอเคลีย
เย่หวูเฉินยังคงหมอบอยู่บนร่างของนาง สูดดมกลิ่นหอมบนเรือนร่าง เขายิ้มและกล่าว “พี่หญิง ตั้งแต่นี้ไป ท่านเป็นของข้าเพียงผู้เดียว….”
ตูม!
ตูม!
ตูม….
เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่องสามครั้ง เย่หวูเฉินเอียงสายตามองไปด้านข้าง เขากล่าวเสียงเบา “นี่เป็นกลิ่นอายของทงซิน หึ หึ ดูเหมือนพวกมันจะมาถึงแล้ว และยั่วยุโทสะของทงซิน….”
!!
เย่หวูเฉินดันร่างตัวเองขึ้นพรวด มองไปยังทิศที่เกิดเสียง สถานที่แห่งนั้น กลับไม่ใช่ตำแหน่งเดิมที่ทงซินและหนิงเสวี่ยควรอยู่ มันอยู่ไกลออกไป และพลังที่ทงซินใช้ออกมาในยามนี้ กลับแกร่งกล้ายิ่งกว่าทุกครั้งที่นางเคยใช้…. หรือว่าตอนนี้ทงซินจะเจอเข้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง?
แล้วเสวี่ยเอ๋อร์ล่ะ?
เย่หวูเฉินหลั่งเหงื่อเย็นท่วมร่างและกัดฟันแน่น ฟงเฉาหยางย่อมไม่ตามพวกเขามา หรือว่าเขาจะฝืนทำผิดความคาดหมายและไล่ตาม? หรือว่าบางที… มียอดฝีมือไร้ต้านคนอื่นอีกในอาณาจักรต้าฟง!?
เย่หวูเฉินประคองร่างของเย่ฉุ่ยเหยาที่อ่อนระทวยราวกับไร้กระดูก นำชุดสีฟ้าออกมาจากแหวนเทพกระบี่ ทั้งชุดชั้นนอกและชุดชั้นในมีครบสมบูรณ์ ขณะที่ช่วยนางสวมใส่ชุด เขากล่าว “พี่หญิง มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นที่เสวี่ยเอ๋อร์ ท่านรอข้าอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะรีบกลับมา”
เย่ฉุ่ยเหยาดึงแขนของเขาไว้ เย่หวูเฉินสบสายตากับนาง ลมหายใจนางเงื่องหงอย เขายิ้มและกล่าว “ตกลง ข้าจะไปกับท่าน พี่หญิง”
สตรีที่พึ่งมอบหัวใจและร่างกายทั้งหมดให้กับบุรุษ ความปรารถนาของนางในเวลานี้คือชิดใกล้อยู่ข้างเขา ไม่ต้องการแยกจากแม้เพียงชั่วขณะนาที ยามนี้ ความร้อนและความซาบซ่านยังไม่หายไปจากร่างของนาง นางยังคงรื่นรมณ์ที่เขาช่วยสวมใส่เสื้อผ้าให้ ความรักใคร่ในแววตาแทบจะละลายเขาได้
หลังจากช่วยนางสวมชุดแล้ว นางยังคงพิงร่างอย่างไร้เรี่ยวแรงบนกายเขา ขณะที่นางเดินไป ความเจ็บปวดชำแรกจากส่วนล่างทำให้นางขมวดคิ้วย่นขึ้นเล็กน้อย ก้าวย่างอย่างผิดธรรมดา เย่หวูเฉินยิ้มบางแล้วอุ้มนางขึ้น จากนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไปกันเถอะ…” เมื่อเขาเคลื่อนสายตาออก แววตากลับกลายเป็นเย็นเยียบในทันที เขาใช้ความเร็วสูงสุดทะยานร่างตรงไปยังตำแหน่งของทงซิน
เสียงลมพัดผ่านใบหู เย่ฉุ่ยเหยาหลับตาลง พิงร่างชิดกับเขา ความสำราญที่ได้ตามใจ ความสุขเช่นนี้… เมื่อพวกเขากลับไปยังอาณาจักรเทียนหลง มันจะยังดำเนินต่อไปอยู่หรือไม่? นางเริ่มปรารถนาถึงสถานที่สำหรับให้พวกเขาซ่อนตัว สถานที่ที่ไม่มีใครพบเจอ โลกที่มีเพียงคนทั้งสอง ถึงแม้นางจะรู้ว่า นี่เป็นเพียงความคิดปรารถนา แต่อย่างน้อย ในโลกที่มีบุรุษที่นางรัก นางย่อมจะไม่เดียวดาย
เมื่อผ่านมาได้ครึ่งทาง มีบุรุษสองคนปรากฎอยู่เบื้องหน้าเขา ถือกระบี่เล่มใหญ่และสวมชุดเกราะขององครักษ์ เย่หวูเฉินมองอย่างเย็นชา สองบุรุษนี้คือองครักษ์แห่งอาณาจักรต้าฟง
สององครักษ์ดูสับสนขณะมองหาทิศทางของเสียงระเบิดเลื่อนลั่น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เย่หวูเฉินจงใจทำ พวกเขาหันศีรษะมามองทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเย่หวูเฉิน พวกเขาจับจ้องและเข้าล้อมจากด้านซ้ายขวาให้เย่หวูเฉินอยู่ระหว่างกลาง พวกเขายกกระบี่ขึ้นและตะโกน “เจ้าโจรเทียนหลง ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่วิ่งหนีจากไป จงยื่นมือออกมาให้จับกุมเดี๋ยวนี้…”
ตุบ! ตุบ!
เสียงทึบหนักดังขึ้นสองครั้ง ก่อนที่สององครักษ์จะกล่าวจบ พวกเขาก็ถูกเย่หวูเฉินเตะใส่ เย่หวูเฉินไม่เคยสังหารผู้ใด ลูกเตะสองครั้งนี้ย่อมไม่ได้สังหาร อย่างมากก็ทำให้พวกเขาเป็นอัมพาตไปชั่วคราว เขากำลังจะเดินจากไป แต่ก็ได้ยินเสียงขององครักษ์ที่นอนแผ่อยู่บนพื้นตะโกนเกรี้ยวกราดด้วยความเจ็บปวด “เจ้าโจรเทียนหลง…. อย่าโอหังเกินไปนัก สาวน้อยผมขาวของเจ้าถูกองค์หญิงของพวกเราจับตัวไว้แล้ว หากเจ้าต้องการช่วยนาง…. แน่จริงก็ไปที่ราชวัง….”
เย่หวูเฉินหยุดเท้าในทันที ร่างสั่นสะท้านขณะหันกลับมา ดวงตาจับต้องยังองครักษ์ที่เป็นคนพูด เขากล่าวเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างยากเย็น “เมื่อครู่…เจ้าพูด…ว่าอะไร!!!”
เมื่อองครักษ์เห็นสีหน้าของเย่หวูเฉินในตอนนี้ เขาหวาดกลัวตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม เขาอ้าปากกล่าว แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงใดๆออกมา
เย่หวูเฉินหายใจหนักหน่วง ในใจรู้สึกราวกับถูกค้อนยักษ์ฟาดใส่ เขากัดฟันแน่นแต่ก็ไม่สามารถระงับความโกรธเกรี้ยวในใจได้ ราวกับพร้อมปะทุออกมาทุกเวลา