พระราชวังแห่งอาณาจักรต้าฟง
“พระบิดา นางมาถึงแล้ว ท่านอยากไปพบนางรึเปล่า?” ฟงหลิงยืนอยู่ด้านข้างถัดจากบุรุษที่อยู่ในชุดคลุมยาว เขาแจ้งให้บุรุษนั้นด้วยความเคารพ ดวงตาของบุรุษนั้นคมกล้าราวกับอินทรีย์ สีหน้าท่าทางโอฬารที่สงวนไว้ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา อายุราว 40 ปี เขาคือบิดาของฟงหลิง จักรพรรดิองค์ใหม่แห่งอาณาจักรต้าฟง ฟงเลี่ย
“ไม่จำเป็น ข้าเห็นนางแล้ว” ฟงเลี่ยไม่ได้มองมาที่เขา เขากล่าวคำขณะที่หันหลังให้
ฟงหลิงไม่แปลกใจ เมื่อเขาออกจากประตูเมืองเพื่อไปรับเย่ฉุ่ยเหยา เขาบังเอิญเห็นฟงเลี่ยที่หน้าประตูเมืองโดยไม่ตั้งใจ ฟงเลี่ยเหลือบมองอย่างรวดเร็วแล้วจากไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ หลายปีที่ผ่านมา น้อยครั้งนักที่เขาจะเห็นฟงเลี่ยยิ้ม ความภาคภูมิปรากฎตรึงอยู่บนใบหน้าของเขามานาน ทำให้ผู้คนที่เผชิญหน้ากับเขาต้องรู้สึกหวั่นเกรง
“สตรีแห่งตระกูลเย่นับว่าเป็นเทพธิดาจากฟ้าอย่างแท้จริง ทั้งรูปโฉมและอุปนิสัยล้วนเหนือล้ำเกินธรรมดา คู่ควรกับทุกบุรุษแห่งโลกใบนี้ แต่เจ้าในฐานะบุตรของข้าฟงเลี่ย เป็นว่าที่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฟง เจ้ากลับฝืนบังคับให้ข้าต้องละทิ้งโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ไป เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ” ฟงเลี่ยแค่นเสียงเย็นชา ยังคงไม่หันหน้ามาทางเขา
ฟงหลิงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง เขาได้แต่ถอนหายใจบางแล้วกล่าว “ข้าขอโทษ พระบิดา ข้ารู้ว่าตัวเองทำให้ท่านต้องผิดหวัง ข้าไม่อาจตั้งมั่นแน่วแน่ได้เหมือนเช่นที่ท่านเป็น ข้าเพียงรู้สึกว่าหากไม่ได้ตัวนาง ข้าจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิต แต่ข้าสามารถรับรองท่านได้ว่า แค่ครั้งนี้เท่านั้น หลังจากนี้ไปข้าจะสนับสนุนท่านอย่างสุดกำลัง ช่วยท่านพิชิตโลกหล้าและปกครองโลกทั้งใบ…”
ฟงเลี่ยหันมามองด้วยสายตาซับซ้อน “เจ้าคิดหรือว่าเจ้ายังจะทำครั้งที่สองได้อีก? ข้าไม่คิดอย่างนั้นแน่นอน ตอนเจ้าเกิดข้าได้สัญญากับผู้อาวุโสฟงไว้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะใช้วิธีนี้ บุญคุณของอาวุฟงหนักหนายิ่งกว่าขุนเขา ไม่เช่นนั้น ต่อให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าสามวันสามคืน ข้าก็ไม่มีวันยอมรับหรือกระทั่งขยับคิ้ว”
“พระบิดาโปรดสงบใจลงก่อน” ฟงหลิงได้ฟังน้ำเสียงที่อ่อนลงจากบิดา หัวใจจึงรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ป่วยการที่จะกล่าวถึงมัน เจ้ามีผลงานมากกว่าเหล่าพี่น้องอยู่หลายเท่า เมื่อข้าตายไป ข้าหวังว่าเจ้าจะสืบสานเจตนารมณ์ พิชิตดินแดนที่ข้ายังไม่อาจพิชิต นี่คือภาระหน้าที่ของเจ้า ครั้งนี้ข้าจะถือเสียว่าความผิดที่เจ้าก่อเป็นเพราะจิตใจยังเยาว์วัย หวังว่าเจ้าจะชดใช้ความผิดและแสดงให้ข้าเห็นด้วยการกระทำ”
“ข้าจะไม่ทำให้พระบิดาต้องผิดหวังอย่างแน่นอน!” ฟงหลิงตะโกนกล่าว สาบานอย่างจริงจัง
ฟงเลี่ยผงกศีรษะ ในที่สุดเขาก็วางใจได้ จากนั้นจึงกล่าวอย่างสงบ “เรื่องบางอย่าง หากไม่รีบจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว เจ้าจะรู้สึกไม่อาจวางใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ งานแต่งของเจ้าจะจัดขึ้นวันพรุ่งนี้ ข้าจะส่งเทียบเชิญในทันที งานแต่งของบุตรชายข้าจะต้องยิ่งใหญ่ ทั่วโลกจะต้องรับรู้เรื่องนี้ ตระกูลเย่จะต้องเสื่อมขวัญกำลังใจ เจ้าพอใจหรือไม่?”
ฟงหลิงดีใจอย่างยิ่ง คุกเข่าข้างหนึ่งพร้อมตะโกน “ขอบพระทัยพระบิดาที่เมตตา”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อปีนั้นข้ากับเย่เว่ยเป็นปรปักษ์อาฆาตกันอยู่ในสนามรบ ตอนนี้ลูกสาวของมันถูกบังคับให้กลายมาเป็นลูกสะใภ้ข้า… เย่เว่ย เอ๋ย เย่เว่ย ในที่สุดเจ้าก็พ่ายแพ้ให้กับข้า ข้าจะรอดูว่ารอบนี้เจ้าจะเอาชนะข้ายังไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
ศาลาเหยาฟง
ฟงหลิงเข้ามาด้วยฝีเท้าเงียบเชียบ ขณะเดียวกันเขายกมือทำท่าบอกให้สาวใช้อย่าส่งเสียง พวกนางรออยู่ที่หน้าประตู เขาเกรงว่าจะรบกวนเย่ฉุ่ยเหยาที่อยู่ข้างใน
เย่ฉุ่ยเหยานั่งอยู่บนเตียงลายปักหงส์ปักษา นางใช้เวลาทั้งหมดอยู่ตรงนี้ตลอดบ่าย ราวกับนางได้สูญเสียจิตใจ ไม่ทราบว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“องค์หญิงเหยาฟง” ฟงหลิงเข้ามา เรียกนางอย่างสุภาพและให้เกียรติ ในวันนั้นที่คฤหาสน์ตระกูลเย่เขาเพียงได้เห็นสายตาเย็นชา ในตอนที่เขาออกไปรับนางก็เห็นเพียงแผ่นหลังเป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถมองนางได้จากเบื้องหน้า ยิ่งมองหัวใจก็ยิ่งเต้นรัว ราวกับร่างกายกำลังล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ
“ออกไป!”
น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้สติของฟงหลิงกลับมากระจ่าง เขาไม่โกรธแม้แต่น้อย เพราะนี่คืออุปนิสัยและเสน่ห์ของนาง เขาเพียงยิ้มและกล่าว “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่รบกวนเจ้าอีก ข้ามาที่นี่เพื่อจะแจ้งองค์หญิงว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันสมรสของพวกเรา หากองค์หญิงเหยาฟงคิดถึงบ้าน เจ้าอาจผ่อนคลายโดยการไปเดินเล่นรอบราชวัง เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะชอบราชวังแห่งนี้ ฟงหลิงขอตัว”
หลังจากกล่าวคำด้วยกิริยามารยาทอันดี เขายิ้มนุ่มนวลและก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเย่ฉุ่ยเหยาไปถึงเมืองเทียนฟง เย่หวูเฉินก็กำลังกลับมาถึงเมืองเทียนหลง ตอนที่เดินทางไปยังเมืองเหยียนหลง เขาใช้เวลาเดินทางมากกว่า 20 วัน เมื่อตอนเดินทางกลับบ้าน เขาใช้เวลาน้อยกว่า 15 วัน
เมื่อเย่หวูเฉินเหยียบเท้าเข้ามายังเมืองเทียนหลง ก็มีใครบางคนไปรายงานให้หลงหยินทราบข่าว เย่หวูเฉินมีบางสิ่งอยู่ในใจ เขาเร่งฝีเท้าขึ้น มันไม่ใช่อารมณ์ที่คิดถึงบ้าน แต่เป็นความกังวลต่อเย่ฉุ่ยเหยา ระหว่างช่วงเวลาหลายวัน ความรู้ประหลาดบอกเขาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเย่ฉุ่ยเหยา
เมื่อผ่านบ้านตระกูลฮั่ว เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นให้ทงซินกับหนิงเสวี่ยรออยู่ด้านนอก เช่นเดียวกับตอนที่เขาเข้าบ้านตระกูลฮั่วครั้งแรก เขาปีนกำแพงเข้าไปข้างในอย่างเงียบงัน
ฮั่วฉุ่ยโหรวนั่งก้มอยู่บนเตียง ขยับนิ้วปักผ้าพันคอสีขาว อากาศเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว หลังผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงก็จะย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ผ้าพันคอผืนนี้ เห็นได้ชัดว่านางปักให้ว่าที่สามีของนาง เย่หวูเฉินเคยยกย่องฝีมือการทำอาหารของนางที่ไม่เหมือนใคร นางมีทักษะของกุลสตรียอดเยี่ยมเช่นเดียวกับการทำอาหาร เรื่องเหล่านี้คือคุณสมบัติของภรรยาที่ดีพึงมี นางมีทุกสิ่งที่กล่าวมา อีกทั้งแต่ละอย่างยังยอดเยี่ยมสมบูรณ์
แต่ก่อน นางปักเย็บเสื้อผ้าให้บิดาและตัวนาง ตอนนี้นางทำให้เย่หวูเฉินเพียงผู้เดียว ทำให้ฮั่วเจิ้นเทียนบ่นพึมพำด้วยความอิจฉา พอนางมีคนรักนางก็ลืมบิดาไปแล้วเรียบร้อย
มุมปากนางประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด ทั้งอ่อนหวานและงดงาม มีความสุขและเพลิดเพลินที่ได้ปักเย็บเสื้อผ้าให้กับคนรัก นางคาดหวังว่าเขาจะชอบพวกมัน เมื่อก่อนนางไม่เคยรู้สึกยอดเยี่ยมขณะปักผ้า กล่าวให้ถูกคือหัวใจนางเป็นของหนึ่งบุรุษ เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่อาจตัดขาด ความรู้สึกจึงเริ่มเปลี่ยนไปเงียบๆเพราะเหตุนี้
ในห้องเงียบอย่างมาก มีเพียงเสียงปักเย็บผ้าเบาๆ ขณะที่นางปักไหมสุดท้ายเสร็จ กลิ่นอันคุ้นเคยก็สัมผัสจมูก ฮั่วฉุ่ยโหรวเงยศีรษะขึ้นทันที เผชิญกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มชวนมอง นางไม่ได้ตกใจเหมือนครั้งแรกที่เขาบุกรุก นางพลันลืมทุกสิ่งที่อยู่ในมือ ไม่อาจห้ามอารมณ์และโยนร่างเข้าอ้อมแขนของเขา ต้องแยกจากกันยาวนานกว่าหนึ่งเดือนครึ่ง สุดท้ายนางจึงรู้ว่าความทรมานเป็นเช่นไร
“ในที่สุดท่านก็กลับมา…” เสียงนุ่มนวลดังอยู่ข้างหู นางกอดแขนเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยกลัวว่าเขาจะจากไป นางกระทั่งไม่ทันมองผ้าพันคอที่ร่วงลงพื้น
เป็นครั้งแรกที่ฮั่วฉุ่ยโหรวเข้ามากอดก่อน ปิติยินดีที่เห็นนางเอาชนะความเอียงอายเพราะความคิดถึง ทำให้เขาหวั่นไหวจับใจจากสัมผัสอ่อนโยนของนาง เขาลูบหลังนางเบาๆแล้วกล่าว “เสี่ยวโหรวโหรวของข้าดูเหมือนจะผอมลง หรือเพราะว่าเจ้าคิดถึงข้ามาก?”
ฮั่วฉุ่ยโหรวยังคงกอดเขา เพลิดเพลินกับสัมผัสเบียดชิดใกล้ หลังจากผ่านไปนาน เย่หวูเฉินจึงได้ยินเสียงตอบกับเบาๆว่า “อื้ม” หัวใจเขารู้สึกอบอุ่น
หลังแสดงความรักยาวนานโดยไม่ถูกใครขัดจังหวะ ทั้งสองก็แยกออกจากกัน เย่หวูเฉินลูบใบหน้าละมุนของนางและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าพึ่งกลับมาถึง ยังไม่ได้เข้าบ้าน พอดีข้าผ่านมาทางนี้และอดไม่ได้จึงแอบมาหาเจ้าก่อน ตอนนี้ข้าต้องกลับบ้านแล้ว ครอบครัวของข้าจะได้ไม่เป็นห่วง หลังจากนั้นข้าจะกลับมาอีก ตกลงมั้ย?”
พอได้ยินว่าเขาอดใจไม่ได้กระทั่งไม่กลับไปที่บ้านก่อน ฮั่วฉุ่ยโหรวปิติยินดียิ่งจนแทบละลายอยู่ตรงนั้น นางกล่าวด้วยใบหน้าเรื่อแดง “สามี ท่านเดินทางไปสถานที่ห่างไกลมาก ท่านป้าคงกำลังเป็นห่วงท่านอยู่ ท่านควรกลับไปที่บ้านก่อน”
“หือ? ป้าเหรอ?” เย่หวูเฉินดูคล้ายกำลังยกยิ้มขณะมองนาง
ฮั่วฉุ่ยโหรวก้มศีรษะลง ใบหน้าเรื่อแดงตอนนี้ดูราวกับดอกลิลลี่บานสะพรั่ง งดงามและน่าหลงใหล นางเอาชนะความเอียงอายและกล่าวเสียงเบา “หมายถึงท่านแม่”
“ถูกต้อง จากนี้ไปก็อย่าลืมอีก เข้าใจรึเปล่า?” เย่หวูเฉินยิ้มกล่าว
“อื้ม……” นางรับคำเสียงเบา ในที่สุดเมื่อเห็นผ้าพันคอร่วงกองอยู่บนพื้น นางก้มกายหยิบมันขึ้นมา ท่าทางดูกระวนกระวายขณะปัดผ้าไร้ฝุ่นที่สะอาดดีอยู่แล้ว
“นี่คือ?” เย่หวูเฉินบอกได้เพียงปราดตามอง ว่านี้คือผ้าพันคอที่นางทำไว้สำหรับเขา
“นี่คือ… ผ้าพันคอที่ข้าทำไว้สำหรับท่าน อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว… เอ๋ ทำไมท่านถึงยังสวมใส่ชุดบางอยู่อีก ท่านจะต้องหนาวมากแน่ๆ” ฮั่วฉุ่ยโหรวพบว่าเขาสวมใส่เสื้อผ้าชุดบาง นางยืนบนปลายเท้าพันผ้าพันคอไว้รอบคอเขา “ท่านสวมมันไว้ได้ไหม? ตอนนี้ข้างนอกอากาศเย็นลงแล้ว เดี๋ยวท่านจะไม่สบายเอา”
เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้เรื่องที่เย่หวูเฉินไม่เกรงกลัวต่อความเย็นและความร้อน ต่อให้เขายืนล่อนจ้อนกลางหิมะและน้ำแข็ง เขาก็จะไม่รู้สึกเหน็บหนาวแม้แต่น้อย เย่หวูเฉินไม่ต้องการเห็นนางผิดหวัง ดังนั้นจึงวางมือบนผ้าพันคอ กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ดีเลย ต่อไปข้าจะใส่เฉพาะผ้าพันคอที่เสี่ยวโหรวโหรวของข้าเป็นคนทำเท่านั้น”
“แต่ชุดของท่านบางเกินไป ข้าจะทำชุดนอกให้ท่านด้วย ตกลงนะ?” ฮั่วฉุ่ยโหรวเลื่อนสายตาขึ้นมอง
“ได้สิ ชุดนอกที่เสี่ยวโหรวโหรวของข้าเป็นคนทำ ข้าจะต้องชอบมันแน่นอน” เย่หวูเฉินกล่าวเอาอกเอาใจ เขารู้ดีว่าสำหรับหญิงสาวอย่างนาง การทำชุดนอกไม่นับว่าเป็นการใช้แรงงาน ตรงกันข้ามกลับเป็นความเพลิดเพลิน ช่วงเวลาที่เขาไปจากเมืองเทียนหลง เขาคิดถึงความอ่อนโยนของฮั่วฉุ่ยโหรว รู้สึกสุขใจที่นางจะได้กลายมาเป็นภรรยาของเขา
เข้ามาอย่างเงียบเชียบ และออกไปอย่างเงียบกริบ ต่างกันตรงที่ว่าเมื่อเขาออกมาจากบ้านตระกูลฮั่ว มีผ้าพันคอสีขาวพันรอบคอของเขาไว้อยู่ เข้ากันดีกับชุดสีขาวของเขา
“ไปเถอะ กลับบ้านกัน!” เย่หวูเฉินจูงมือหนิงเสวี่ยและทงซิน มุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลเย่
เมื่อผลักประตูเข้าไป ตระกูลเย่ได้มารอต้อนรับอยู่แล้วเนื่องจากได้รับข่าวก่อน หวังเวิ่นชูแทบจะผวาร่างเข้ามา พรั่งพรูถ้อยคำขณะถามถึงความผาสุกของเขา นางถามถึงความยากลำบากที่เขาเผชิญตอนอยู่ข้างนอก จนเมื่อเห็นสีหน้าของเขายังคงปกติดีเช่นตลอดมา นางจึงคลายความกังวลเมื่อรู้ว่าน้ำหนักเขาไม่ได้ลดลง
เมื่อเขาก้าวผ่านประตูหลักของคฤหาสน์ตระกูลเย่ เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ รู้สึกเหมือนบางอย่างได้ขาดหายไป และไม่ว่าจะเป็นเย่หนู่ , เย่เว่ย , หวังเวิ่นชู หรือแม้กระทั่งเย่หวูหยุนที่ยิ้มเสแสร้ง สีหน้าท่าทางของทุกคนมีบางอย่างที่ปกปิดไว้อย่างพิกล หัวใจเขาเริ่มหนักอึ้งขึ้น แต่เขายับยั้งตัวเองไม่ให้ถามออกไป เพราะว่าก่อนอื่น ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องจัดการ
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าได้ผลมังกรเพลิงฟ้ามารึเปล่า?” ไม่ต้องรอนานจริงๆ เย่หนู่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับชีวิตของจักรพรรดิและจักรพรรดินี และยังเกี่ยวพันไปถึงเกียรติภูมิและชื่อเสียงของตระกูลเย่
“ได้มาแล้ว” เย่หวูเฉินตอบและฝืนยิ้มที่มุมปาก คำตอบของเขาทำให้เย่หนู่และเย่เว่ยโล่งอกและถอนหายใจยาว
เวลานี้เอง เกิดความแตกตื่นที่ด้านหน้าของคฤหาสน์ตระกูลเย่ หลงหยินมาหาด้วยตัวเอง หัวเราะลั่นด้วยเสียง “ฮ่าฮ่า” ขณะที่ก้าวเข้ามาข้างใน
เย่หวูเฉินรู้ว่าเหตุใดเขาถึงมาที่นี่ แต่เขากังวลใจและไม่อยากเสียเวลาอีก ดังนั้นก่อนที่ตระกูลเย่จะได้ทำความเคารพ เขาก็ก้าวออกไปเบื้องหน้าแล้วกล่าว “หวูเฉินถวายบังคมฝ่าบาท โชคดียิ่งนักที่ข้าไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวัง ในที่สุดข้าก็ได้ผลมังกรเพลิงฟ้ามาแล้ว”
“ฮี่ ฮี่ ฮี่ ฮี่ ข้ารู้ว่าเจ้าย่อมไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้ฟังเจ้าเมืองเหยียนหลงรายงานให้ฟังว่า มีชายหนุ่มอายุราว 17-18 ปี สวมชุดสีขาวพาดรุณีน้อยสองนางมุ่งหน้าไปที่ภูเขาไฟเทียนเม่ย นั่นสมควรเป็นเจ้า ให้ข้าดูซิว่า ผลมังกรเพลิงฟ้าอันวิเศษนี้มีหน้าตาอย่างไร”
หากหลงหยินเคยสงสัยมากมายในก่อนหน้า ตอนนี้ความสงสัยต่อเย่หวูเฉินสมควรลดน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเย่หวูเฉินจากไป เขาส่งคนควบม้าเต็มกำลังไปยังเมืองเหยียนหลง ถามผู้คนถึงทิศทางที่เย่หวูเฉินมุ่งหน้าไป เมื่อได้รู้ว่าจุดหมายของเขาคือภูเขาไฟเทียนเม่ยจริงๆ ความสงสัยทั้งหมดก็ถึงคราวจบลง กลายเป็นว่าเขาไม่ควรสงสัยเรื่องนี้ เย่หวูเฉินย่อมไม่โง่พอที่จะกุเรื่องพิษขึ้นมา และสร้างผลงานโดยการสละชีพพาตัวเองไปเก็บยาถอนพิษ